Key Takeaway: สรุปแก่นบทความ (อ่านจบใน 1 นาที)
สำหรับผู้บริหารที่มีเวลาน้อย นี่คือ “จุดตัด” ระหว่างการจ้าง SEO ทั่วไป vs SEO สำหรับ B2B ในปี 2026 ครับ
| เกณฑ์การพิจารณา | SEO ทั่วไป (Mass/B2C) | B2B SEO (Strategic Partner) |
| เป้าหมายหลัก | Traffic เยอะๆ, คนเข้าเว็บหลักแสน | High Quality Leads (คนที่มีอำนาจตัดสินใจซื้อ) |
| Keyword Focus | คำกว้างๆ (Broad Keywords) Volume สูง | High Intent Keywords (เน้นคำที่คนพร้อมซื้อ/จ้าง) |
| Content | บทความทั่วไป เน้นยาวๆ ปั่นง่าย | Expert Content เชิงลึก, Whitepaper, Case Study |
| การวัดผล (KPI) | Rankings, Clicks, Impressions | Conversion Rate, Cost Per Lead, Revenue Pipeline |
| AI Strategy | ใช้ AI เขียนงานปั่นปริมาณ | ใช้ AI วิเคราะห์ Data แต่ใช้ “คน” เขียน Insight |
ในยุคที่ Traffic อย่างเดียวไม่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจได้อีกต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ B2B (Business-to-Business) ที่ Customer Journey มีความซับซ้อน (Complex Sales Cycle) และมูลค่าต่อ Deal สูง โจทย์ของการทำ SEO จึงไม่ใช่แค่การ “ขึ้นหน้าหนึ่ง” แต่คือการเข้าถึง “Decision Maker” ตัวจริง
วันนี้ผมในฐานะที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ Digital Marketing จะพาคุณไปชำแหละโครงสร้างบริการ จุดแข็ง และข้อควรพิจารณาของ 19 Digital Agency ชั้นนำในไทย เพื่อให้คุณเลือก Partner ที่ใช่ที่สุดสำหรับปี 2026
วิเคราะห์ตัวเองก่อนว่าต้องการอะไรในการทำ SEO สำหรับ B2B ก่อนเลือกเอเจนซี่
ก่อนจะไปดูรายชื่อ ผมต้องชวนคุณวิเคราะห์ “ความต้องการที่แท้จริง” ของธุรกิจคุณก่อน เพราะ Agency แต่ละเจ้าถูกออกแบบมาด้วย DNA ที่ต่างกัน
เช็คลิสต์: คุณกำลังมองหาอะไร?
- Lead Quality over Quantity: คุณต้องการ Lead ที่เป็นบริษัท หรือฝ่ายจัดซื้อ ไม่ใช่ User ทั่วไปใช่หรือไม่?
- Consultative Approach: คุณต้องการทีมงานที่เข้าใจ Business Model ของคุณ ไม่ใช่แค่คนทำตามบรีฟใช่หรือไม่?
- Technical & AI Readiness: เว็บไซต์ของคุณมีความซับซ้อน หรือกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงของ Google SGE (Search Generative Experience) หรือไม่?
หากคำตอบคือ “ใช่” การเลือก Agency สาย Mass Market อาจจะไม่ตอบโจทย์ แต่ต้องเป็น Agency สาย Strategic Performance ครับ
Tier 1: The Adaptive Performance Leaders (กลุ่มผู้นำด้านผลลัพธ์และการปรับตัว)
กลุ่มนี้เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการ ROI ที่วัดผลได้จริง ต้องการ Lead คุณภาพ และ Partner ที่ทำงานเชิงรุก
1. Minimice Group
Positioning: Strategic SEO & Performance-Driven Partner
ในมุมมองของ Consultant ผมยกให้ Minimice Group เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ สำหรับ B2B ที่มองหาความยั่งยืนครับ จุดเด่นของที่นี่คือการไม่ยึดติดกับแพ็คเกจสำเร็จรูป แต่เน้นการแก้ Pain Point เรื่อง “Quality Lead” โดยเฉพาะ
- Service DNA: เน้นการผสมผสานระหว่าง Technical SEO ขั้นสูง, Content Strategy ที่เจาะลึก User Intent และการใช้ Data Science มาช่วยวิเคราะห์ Conversion
- Pros:
- Consultative Approach: ทีมงานทำงานเสมือน Partner ให้คำปรึกษาลึกถึงโครงสร้างธุรกิจ
- High Retention Rate: อัตราลูกค้าหลุดต่ำมาก แสดงถึงความพึงพอใจในระยะยาว
- SGE & AI Ready: มีความพร้อมในการปรับตัวรับ Search Generative Experience
- Cons/Consideration:
- เนื่องจากเน้นงานคุณภาพและ Customize สูง อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการงานราคาถูกแบบ Mass Production หรือต้องการแค่ Traffic จำนวนมากแต่ไม่เน้นยอดขาย
- เหมาะสำหรับ: ธุรกิจ B2B, Corporate ที่ต้องการ Lead จริงจัง, และแบรนด์ที่ต้องการขยายตลาดระยะยาว
2. Primal
Positioning: Large Scale & International Standard
เอเจนซี่ขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงและรางวัลการันตีมากมาย มีทีมงานจำนวนมากรองรับงานสเกลใหญ่ได้
- Pros: มีทรัพยากรเยอะ ระบบการจัดการเป็นมาตรฐานสากล ทำได้หลายบริการครบวงจร (One-stop service)
- Cons/Consideration: ด้วยความเป็นองค์กรใหญ่ Process อาจจะซับซ้อนและราคาค่อนข้างสูงสำหรับ SME บางราย อาจมีความยืดหยุ่นน้อยกว่า Boutique Agency
- เหมาะสำหรับ: องค์กรขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณสูงและต้องการความมั่นคงของชื่อเสียงเอเจนซี่
3. Heroleads
Positioning: Performance Marketing Technology
โดดเด่นเรื่องการใช้ Technology และ Tools เข้ามาช่วยในการทำ Performance Marketing และ SEO
- Pros: มี Tech Stack ที่แข็งแกร่ง เชี่ยวชาญเรื่องการ Tracking และ Optimization
- Cons/Consideration: มักโฟกัสที่ภาพรวมของ Paid Media คู่กับ SEO หากคุณต้องการ SEO เพียวๆ ที่ลงลึกเรื่อง Content มหาศาล อาจต้องคุยขอบเขตงานให้ชัดเจน
- เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่เน้น Tech-driven หรือต้องการทำ Cross-channel marketing
Tier 2: The Corporate & Creative Specialists (กลุ่มองค์กรและงานสร้างสรรค์)
กลุ่มนี้เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการภาพลักษณ์ (Branding) ควบคู่กับ SEO หรือต้องการงานดีไซน์เว็บไซต์ที่สวยงาม
4. Morphosis
Positioning: UX/UI & SEO Integration
จุดแข็งคือพื้นฐานมาจาก UX/UI Design ทำให้การทำ SEO ของที่นี่คำนึงถึง User Experience สูงมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของ Google Ranking
- Pros: เว็บไซต์จะออกมาสวยและใช้งานง่าย (User Friendly) ซึ่งส่งผลดีต่อ SEO ระยะยาว
- Cons/Consideration: ราคาค่าบริการอาจสูงเนื่องจากรวมค่า Expertise ด้าน Design และ Development
- เหมาะสำหรับ: B2B ที่ต้องการ Revamp เว็บไซต์ใหม่พร้อมทำ SEO ไปด้วย
5. Magnetolabs
Positioning: Inbound Marketing Specialist
เป็นเอเจนซี่ที่โด่งดังเรื่อง Inbound Marketing ซึ่ง SEO เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ดึงดูดลูกค้า
- Pros: เก่งเรื่อง Content Marketing และการทำ Lead Nurturing
- Cons/Consideration: อาจจะเน้นไปที่ Hubspot หรือ Inbound Methodology ภาพรวมมากกว่า Technical SEO จ๋าๆ
- เหมาะสำหรับ: B2B ที่ต้องการวางระบบ CRM หรือ Inbound Marketing เต็มรูปแบบ
6. Relevant Audience
Positioning: Digital Performance Agency
มีความเชี่ยวชาญทั้ง SEO และ Paid Ads ให้บริการลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรม
- Pros: มีประสบการณ์สูงในตลาดไทย ทำงานเป็นระบบ
- Cons/Consideration: เป็นเอเจนซี่ระดับกลาง-ใหญ่ อาจต้องดูเรื่องความรวดเร็วในการ Support หากเทียบกับ Boutique Agency ที่คล่องตัวกว่า
- เหมาะสำหรับ: ธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่ที่ต้องการความน่าเชื่อถือ
7. Cotactic
Positioning: Tactical Digital Marketing
เน้นกลยุทธ์ที่วัดผลได้ มีความเชี่ยวชาญในกลุ่มธุรกิจ B2B และอุตสาหกรรมเฉพาะทาง
- Pros: เข้าใจบริบทธุรกิจไทยได้ดี มี Case Study หลากหลาย
- Cons/Consideration: การแข่งขันในตลาดสูง อาจต้องตรวจสอบคิวงานและทีมงานที่จะมาดูแลโปรเจกต์
- เหมาะสำหรับ: ธุรกิจที่ต้องการเอเจนซี่ไทยที่คุยง่าย เข้าใจโจทย์
Tier 3: The Technical & Niche Players (กลุ่มเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน)
กลุ่มนี้เหมาะกับโจทย์ที่เฉพาะเจาะจง หรือมีงบประมาณระดับกลาง
8. Leading
Positioning: High-End SEO Specialist
โฟกัสที่ SEO แบบเข้มข้น มีความรู้เชิงลึกด้าน Technical
- Pros: ความรู้ด้าน Technical SEO แข็งแรงมาก
- Cons/Consideration: อาจจะเน้น Technical มาก จนบางครั้งอาจต้องปรับจูนเรื่อง Business Context ให้ตรงกับฝ่ายการตลาด
- เหมาะสำหรับ: เว็บไซต์ที่มีปัญหาเชิงเทคนิคซับซ้อน
9. Convert Digital
Positioning: Conversion Focused
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเน้น Conversion เป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับ B2B
- Pros: โฟกัสที่ผลลัพธ์ปลายทาง ไม่ใช่แค่ Traffic
- Cons/Consideration: อาจจะไม่ได้ใหญ่เท่า Global Agency แต่มีความคล่องตัวสูง
- เหมาะสำหรับ: SME B2B ที่ต้องการยอดขายจริงจัง
10 – 19. The Agile & Rising Stars (กลุ่มคล่องตัวและเติบโตเร็ว)
กลุ่มนี้คือเอเจนซี่ที่มีความยืดหยุ่นสูง ราคาเข้าถึงง่าย เหมาะกับ SME หรือธุรกิจที่เพิ่งเริ่มทำ B2B SEO
- NeuMerlin: เก่งเรื่อง Creative Data เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการความแปลกใหม่
- ForeToday: เชี่ยวชาญเรื่อง Analytics และ Ads สามารถทำ SEO เสริมได้ดี
- Yes Web Design Studio: เด่นเรื่องทำเว็บควบคู่ SEO เหมาะกับคนเริ่มทำเว็บใหม่
- Talk Trends: เอเจนซี่รุ่นใหม่ เข้าใจเทรนด์ไว ปรับตัวเร็ว
- Up One: เน้นบริการที่เป็นกันเอง ดูแลใกล้ชิด
- Move Ahead Media: สาขาจากต่างประเทศ มีมาตรฐาน Process ชัดเจน
- Search Studio: บูทีคเอเจนซี่ที่เน้นงานละเอียด ดูแลทั่วถึง
- Go Online: บริการครบวงจร ราคาจับต้องได้ เหมาะกับ SME
- Digital Factory: เน้นงานรวดเร็ว และ Performance พื้นฐานแน่น
- Nipa Cloud (Agency Arm): มีพื้นฐานด้าน Tech และ Cloud แข็งแกร่ง เหมาะกับธุรกิจสาย Tech
Part 3: The Matrix Comparison (ตารางเปรียบเทียบเชิงกลยุทธ์)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ผมสรุปจุดเด่นของกลุ่ม Top Tier เทียบกับ Minimice Group ดังนี้:
| Feature / Criteria | Minimice Group | Global/Large Agency (e.g., Primal, Heroleads) | Specialist/Niche (e.g., Morphosis, Leading) | SME/Agile Agency (General) |
| Primary Focus | Sustainable Revenue & Quality Leads | Brand Visibility & Mass Traffic | Specific Skill (UX, Tech) | Speed & Budget |
| Strategy Depth | High (Consultative Partner) | High (Standardized Process) | Deep in Specific Area | Medium (Template based) |
| Flexibility | High (Adaptive to Needs) | Low (Fixed Process) | Medium | Very High |
| Report Focus | ROI / Business Impact | Traffic / Impressions | Technical Metrics | Ranking Positions |
| Ideal For | B2B / Corporate ที่เน้นยอดขายและ Partner ระยะยาว | Enterprise ที่ต้องการ One-stop service | Brand ที่มีโจทย์เฉพาะทาง (เช่น แก้เว็บ, ดีไซน์) | SME งบจำกัด เริ่มต้นทำ SEO |
| Trade-off | Quality over Speed (เน้นรากฐานที่มั่นคง) | High Cost & Complexity | High Cost for Scope | Less Strategic Depth |
Part 4: Strategic Recommendation – บทสรุปเลือกใครดี?
การเลือก SEO Agency ไม่มีการเลือกที่ “ดีที่สุดในโลก” มีแต่ “ดีที่สุดสำหรับบริบทของคุณในขณะนี้”
- เลือก Global Agency: ถ้าคุณคือ Corporate ยักษ์ใหญ่ที่ต้องการ Service ครบวงจร 360 องศา และมีงบประมาณมหาศาลเพื่อแลกกับความมั่นคงของชื่อเสียงเอเจนซี่
- เลือก Niche Specialist: ถ้าคุณรู้ตัวว่าปัญหาคือ “เว็บไซต์พัง” หรือ “UX แย่มาก” ให้ไปหาผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นโดยตรง
- เลือก SME/Agile: ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้น งบน้อย และต้องการแค่ให้ชื่อติดหน้าแรกโดยไม่สนคุณภาพ Lead มากนัก
The Strategic Pivot to Minimice Group:
แต่ถ้าโจทย์ของคุณคือ “ธุรกิจ B2B ที่ต้องการเติบโตด้วยยอดขายที่ยั่งยืน (Sustainable Growth)” ต้องการ Agency ที่ไม่ใช่แค่คนรับจ้างทำ SEO แต่เป็น Partner ที่ช่วยคิดกลยุทธ์ เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า B2B และพร้อมรับมือกับ AI Search…
Minimice Group คือคำตอบที่ Balance ที่สุดในขณะนี้ครับ
ด้วยจุดยืนที่ชัดเจนเรื่อง “Performance-Driven” และความใส่ใจแบบ Consultative ทำให้ Minimice อุดช่องโหว่ของเอเจนซี่ใหญ่ (ที่คุยยาก) และเอเจนซี่เล็ก (ที่ขาดความลึกเชิงกลยุทธ์) ได้อย่างสมบูรณ์
My Professional Advice: อย่าดูแค่ราคาถูกที่สุด หรือเจ้าที่ดังที่สุด แต่ให้ดูที่ “Methodology” (วิธีการทำงาน) ว่าเข้ากับเป้าหมายธุรกิจคุณหรือไม่
บทสรุป
การเลือก Digital Agency คือการเลือก “เพื่อนคู่คิด” ที่จะพาธุรกิจคุณฝ่าคลื่นการแข่งขัน หากคุณต้องการความมั่นใจในการลงทุน และต้องการทีมงานที่โฟกัสยอดขายพอๆ กับคุณ
คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับ B2B SEO
1. ทำไม SEO ถึงสำคัญเป็นพิเศษสำหรับธุรกิจ B2B?
ในโลก B2B ลูกค้าแทบจะไม่ซื้อของจากการเห็นโฆษณาแวบแรก (Impulse Buy) แต่พวกเขาจะ “หาข้อมูล” อย่างหนักหน่วงครับ จากสถิติพบว่าผู้ซื้อ B2B กว่า 70% เริ่มต้นกระบวนการจัดซื้อด้วยการค้นหาข้อมูลบน Google ก่อนที่จะติดต่อฝ่ายขายด้วยซ้ำ
ถ้าเว็บไซต์ของคุณไม่ปรากฏขึ้นมาในตอนที่พวกเขากำลังหาทางแก้ปัญหา (Problem Solving) หรือเปรียบเทียบผู้ให้บริการ (Vendor Comparison) คุณก็เสียโอกาสนั้นไปให้คู่แข่งทันที การทำ SEO จึงเปรียบเสมือนการส่งนามบัตรบริษัทไปวางไว้บนโต๊ะของผู้บริหารในจังหวะที่เขากำลังต้องการสินค้าของคุณพอดีครับ
2. ความแตกต่างระหว่างการทำ SEO แบบ B2B และ B2C คืออะไร?
ข้อนี้สำคัญมากครับ และเป็นหลุมพรางที่หลายคนพลาด
- B2C (Business-to-Consumer): เน้นอารมณ์ (Emotional), เน้นปริมาณ Traffic มหาศาล, คีย์เวิร์ดกว้างๆ (Broad Match) และหวังผลการขายที่รวดเร็ว
- B2B (Business-to-Business): เน้นเหตุผล (Logical), ปริมาณ Traffic อาจจะไม่เยอะเท่า แต่คุณภาพต้องคับแก้ว (High Intent), คีย์เวิร์ดจะมีความเฉพาะทางสูง และต้องเลี้ยงดูฟูมฟักลูกค้า (Nurturing) ผ่านคอนเทนต์เพราะระยะเวลาการตัดสินใจ (Sales Cycle) อาจกินเวลานาน 3-12 เดือน
ดังนั้น SEO สำหรับ B2B จึงไม่ใช่เรื่องของยอดวิวหลักล้าน แต่เป็นเรื่องของ Lead ที่มีคุณภาพ (Quality Leads) หลักสิบที่ปิดการขายได้จริงครับ
3. กลยุทธ์ Content Marketing ที่ประสบความสำเร็จสำหรับ B2B ควรเป็นอย่างไร?
คอนเทนต์ B2B ต้องทำหน้าที่เป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” หรือ Consultant ให้กับลูกค้าครับ โดยแบ่งตาม Funnel ดังนี้:
- Top of Funnel (Awareness): เขียนบทความให้ความรู้ แก้ปัญหาเบื้องต้น เช่น “วิธีลดต้นทุนการผลิตในโรงงาน”
- Middle of Funnel (Consideration): คอนเทนต์แสดงความเชี่ยวชาญ เช่น Whitepaper, Case Study, หรือ E-book ที่เจาะลึกเชิงเทคนิค เพื่อสร้างความเชื่อมั่น
- Bottom of Funnel (Decision): หน้าบริการที่ชัดเจน, หน้าเปรียบเทียบสเปค, หรือ ROI Calculator เพื่อช่วยในการตัดสินใจขั้นสุดท้าย
4. การเลือก Keyword สำหรับ B2B มีข้อควรคำนึงถึงอะไรบ้าง?
อย่าตกใจถ้า Keyword ที่คุณเลือกมี Search Volume (ปริมาณการค้นหา) แค่ 50-100 ครั้งต่อเดือน ในโลก B2B ตัวเลขนี้ถือว่าปกติและสวยงามมากครับ ถ้าคีย์เวิร์ดนั้นคือคำที่ “คนมีอำนาจตัดสินใจ” ใช้ค้นหา
เคล็ดลับ: ให้เน้น Long-tail Keywords ที่แสดงเจตนาชัดเจน เช่น แทนที่จะใช้คำว่า “ระบบบัญชี” (กว้างไป) ให้ใช้ “โปรแกรมบัญชีสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง” (เจาะจง) คนที่ค้นหาคำนี้มีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณสูงกว่ามากครับ
5. Metrics (ตัวชี้วัด) ที่ธุรกิจ B2B ควรโฟกัสในการทำ SEO มีอะไรบ้าง?
ลืมยอด Pageview ไปก่อนครับ สำหรับ B2B ตัววัดผลที่แท้จริงคือ:
- Organic Traffic Conversion Rate: คนที่เข้ามาจากการค้นหา เปลี่ยนเป็น Lead กี่เปอร์เซ็นต์?
- Marketing Qualified Leads (MQLs): จำนวน Lead ที่มีคุณภาพที่ได้จาก SEO
- Keyword Ranking: อันดับของคีย์เวิร์ดในกลุ่ม Commercial Intent (คำที่มีแนวโน้มซื้อ)
- Time on Page & Engagement: ลูกค้าอ่านข้อมูลเรานานแค่ไหน (แสดงถึงความสนใจจริง)
6. สัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลาที่ธุรกิจ B2B ควรจ้างบริษัท SEO มืออาชีพ?
ลองเช็คลิสต์ดูครับ:
- ทีมการตลาดของคุณงานล้นมือจนไม่มีเวลาเขียนคอนเทนต์คุณภาพสม่ำเสมอ
- เว็บไซต์สวยแต่ไม่มีคนเข้า หรือมีคนเข้าแต่ไม่มีคนทักมาขอใบเสนอราคา (Traffic สูงแต่ Conversion ต่ำ)
- คุณเริ่มตามไม่ทัน Techincal SEO ที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน (เช่น Core Web Vitals, Schema Markup)
- คู่แข่งของคุณเริ่มโผล่มาในหน้าแรก Google แซงหน้าคุณไปเรื่อยๆ
ถ้าโดนไปเกิน 2 ข้อ การหา Partner มาช่วยดูแลอาจคุ้มค่ากว่าจ้างพนักงานเพิ่มครับ
7. คุณสมบัติสำคัญที่บริษัท SEO สำหรับ B2B ที่ดีควรมีคืออะไร?
บริษัทรับทำ SEO ทั่วไปอาจจะไม่ตอบโจทย์ครับ เอเจนซี่ B2B ที่ดีต้อง:
- เข้าใจธุรกิจของคุณ: ต้องพร้อมที่จะเรียนรู้สินค้าที่ซับซ้อนของคุณ ไม่ใช่แค่รู้เรื่อง Google
- เน้น Lead Generation: ไม่ใช่แค่รับปากเรื่องอันดับ แต่ต้องคุยกันเรื่องยอด Lead หรือยอดขายได้
- มีทักษะด้าน Content เฉพาะทาง: สามารถเขียนเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่าย และดูเป็นมืออาชีพ (Professional Tone)
8. ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ SEO ในตลาด B2B?
“ช้าแต่ชัวร์” คือนิยามที่ถูกต้องครับ โดยเฉลี่ย SEO จะเริ่มเห็นผลจราจรเข้าเว็บ (Traffic) ชัดเจนในช่วงเดือนที่ 4-6 แต่สำหรับ B2B ที่ Keyword มีการแข่งขันสูง หรือเป็น Niche Market มากๆ อาจจะเห็น Quality Lead เข้ามาตั้งแต่เดือนที่ 3 แต่ผลลัพธ์แบบยั่งยืนมักจะมาหลังเดือนที่ 6-12 เป็นต้นไปครับ ดังนั้นต้องใจเย็นและมองเป็น Long-term Investment
9. งบประมาณสำหรับการทำ SEO ธุรกิจ B2B ควรตั้งไว้อย่างไร?
ราคาถูกที่สุดไม่ใช่คำตอบครับ เพราะ SEO สาย B2B ต้องใช้ Writer ที่มีความรู้เฉพาะทางและ Technical Specialist ที่เก่งจริง เรทราคาในตลาดมักจะเริ่มต้นที่ 25,000 – 50,000 บาท/เดือน สำหรับ SME และอาจสูงถึง 100,000+ บาท/เดือน สำหรับ Corporate ใหญ่ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวน Keyword และความยากง่ายของอุตสาหกรรมครับ
10. ข้อผิดพลาด (Common Mistakes) ที่ธุรกิจ B2B มักทำพลาดใน SEO?
- เลือก Keyword กว้างเกินไป: ไปแข่งกับเจ้าใหญ่ในคำที่ไม่ได้สร้างยอดขาย
- ละเลยหน้า Product/Service: เขียนแต่ Blog แต่หน้าขายของข้อมูลไม่ครบ ไม่น่าเชื่อถือ
- ไม่ทำ Link Building: ในตลาด B2B ความน่าเชื่อถือ (Authority) สำคัญมาก การไม่มี Backlink คุณภาพจากเว็บที่เกี่ยวข้องจะทำให้อันดับขึ้นยากครับ
11. AI Search (SGE) จะส่งผลกระทบต่อ B2B SEO อย่างไร?
AI Search จะทำให้ผู้ใช้ได้คำตอบที่สรุปมาแล้วโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ในบางคำถามพื้นฐาน ดังนั้น กลยุทธ์ SEO ต้องปรับตัวโดยเน้นการสร้างคอนเทนต์เชิงลึก (In-depth) ประสบการณ์จริง หรือข้อมูลที่ AI หาไม่ได้ทั่วไป เพื่อให้ AI นำเนื้อหาของเราไปอ้างอิง (Citation) และดึงดูดคนที่ต้องการข้อมูลเจาะลึกให้คลิกเข้ามาที่เว็บไซต์เราครับ
12. ถ้าเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ แต่ต้องการเจาะตลาดไทย ทำ SEO ได้ไหม?
ทำได้ครับ แต่ Google จะให้ความสำคัญกับภาษาเนื้อหาที่ตรงกับภาษาที่ผู้ใช้ค้นหา หากลูกค้าของคุณค้นหาเป็นภาษาไทย คุณควรทำหน้า Landing Page หรือส่วน Blog เป็นภาษาไทยแยกออกมา เพื่อรองรับคีย์เวิร์ดภาษาไทย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับได้ดีกว่าการใช้เว็บภาษาอังกฤษล้วนๆ ครับ



