Key Takeaway
- Digital Footprint คือร่องรอยดิจิทัลที่เราทิ้งไว้เมื่อใช้อินเทอร์เน็ต ทั้งเว็บไซต์ที่เข้าชม อีเมล และการโต้ตอบออนไลน์ ในโลกธุรกิจทุกการกระทำออนไลน์ของแบรนด์ ทั้งบทความ การตอบแชต หรือการปรากฏในสื่อ ล้วนเป็นร่องรอยที่สะท้อนภาพลักษณ์และย้อนกลับมาหาแบรนด์ได้เสมอ
- ประเภทของ Digital Footprint ได้แก่ Active Digital Footprint, Passive Digital Footprint, Private Digital Footprint และ Commercial Digital Footprint
- Digital Footprint เป็นการตลาดที่คุ้มค่ากับต้นทุน ช่วยเรื่องการมองเห็น การรับรู้แบรนด์ เปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ ช่วยเก็บข้อมูลเชิงลึก เพิ่มโอกาสให้ธุรกิจ E-Commerce ช่วยปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลง ช่วยปรับปรุง และพัฒนาชื่อเสียงของแบรนด์
- ทุกการกระทำออนไลน์ล้วนส่งผลต่อ Digital Footprint โดยข้อมูลเหล่านี้อาจถูกอาชญากรไซเบอร์นำไปใช้ในการหลอกลวงหรือก่ออาชญากรรม ละเมิดข้อมูลสำคัญ ส่งผลให้ความเป็นส่วนตัวลดลงและทำให้คนติดตามกิจกรรมดิจิทัลของคุณได้ง่าย
Digital Footprint หรือรอยเท้าดิจิทัล คือข้อมูลต่างๆ ที่โพสต์เอาไว้แล้วยังคงอยู่บนโลกออนไลน์ สามารถย้อนกลับไปดูทีหลังได้ โดยเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อการสร้างแบรนด์มาก เพราะข้อมูลต่างๆ ที่แบรนด์เคยลงจะเป็นตัวชี้วัดให้กับลูกค้าในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า หรือบริการของแบรนด์ บทความนี้จะพาไปดูว่า Digital Footprint คืออะไร แบ่งออกเป็นกี่ประเภท แบบไหนที่เรียกว่า Digital Footprint ได้ รวมถึงข้อดีและข้อเสียต่างๆ
ทำความรู้จัก Digital Footprint คืออะไร
Digital Footprint คือร่องรอยของข้อมูลที่ทิ้งไว้เมื่อใช้อินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ที่เข้าเยี่ยมชม รวมถึงอีเมลและข้อมูลที่ส่งทางออนไลน์ โดย Digital Footprint สามารถใช้เพื่อติดตามกิจกรรมทางออนไลน์ของบุคคลได้ โดยในทางธุรกิจ ทุกบทความที่โพสต์ลงบนเว็บไซต์ ทุกข้อความที่แบรนด์ตอบแชตลูกค้า หรือตอบคอมเมนต์ลูกค้าในหน้าเพจ รวมไปถึงข่าวหรือการอ้างอิงในบทความที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ ทุกสิ่งล้วนเป็นร่องรอยที่จะกลับมาหาแบรนด์ได้ทั้งสิ้น ซึ่งร่องรอยเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถสะท้อนทัศนคติ และภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้

ประเภทของ Digital Footprint
ประเภทของ Digital Footprint มีประเภทที่เปิดเผยโดยเจตนา และข้อมูลที่ไม่ได้เจตนาเปิดเผย หรือการถูกรวบรวมข้อมูลไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ดังนี้
1. Active Digital Footprint
Active Digital Footprint คือการที่ผู้ใช้งานตั้งใจแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เช่น การโพสต์ การเข้าร่วมบนเว็บไซต์ หรือเว็บบอร์ด (Internet forum) โดยหากผู้ใช้งานเข้าสู่ระบบเว็บไซต์โดยใช้ชื่อผู้ใช้ หรือโปรไฟล์ที่ลงทะเบียน โพสต์ต่างๆ ที่สร้างขึ้นจะเป็นส่วนหนึ่งของ Active Digital Footprints รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ หรือการกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ เช่น การสมัครรับจดหมายข่าว หรือการยอมรับคุกกี้บนเบราว์เซอร์ ก็มีส่วนทำให้เกิด Active Digital Footprint ได้เช่นกัน
2. Passive Digital Footprint
Passive Digital Footprint คือ Digital Footprint ที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อมีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้งาน โดยที่ผู้งานใช้ไม่รู้ตัว หรือไม่ได้มีเจตนาเปิดเผยข้อมูล เช่น เมื่อเว็บไซต์รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานเข้าเยี่ยมชม ที่มาของผู้ใช้งาน และที่อยู่ IP ของผู้ใช้งาน
3. Private Digital Footprint
Private Digital Footprint คือข้อมูลที่เข้าถึงได้เฉพาะคนบางกลุ่ม เช่น กลุ่มเฉพาะสมาชิกออนไลน์หรือข้อความแบบแชตกลุ่ม
4. Commercial Digital Footprint
Commercial Digital Footprint คือข้อมูลที่รวบรวมโดยธุรกิจ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า เมื่อมีการซื้อสินค้าออนไลน์ เช่น เพศ ช่วงอายุ ที่อยู่การจัดส่ง ช่องทางการติดต่อ หรือความสนใจของผู้ใช้งาน

ทำไม Digital Footprint ถึงสำคัญกับแบรนด์
ยุคดิจิทัลในปัจจุบัน ธุรกิจจำเป็นต้องมี Digital Footprint เพื่อดูความเกี่ยวข้องทางธุรกิจ การแข่งขัน และการประสบความสำเร็จในตลาดออนไลน์ Digital Footprint หมายถึงการมีอยู่ และการมองเห็นของธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตผ่านช่องทาง และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เหตุผลที่ Digital Footprint สำคัญกับแบรนด์มีดังนี้
1. ช่วยในเรื่องการมองเห็น และการเข้าถึงข้อมูล
Digital Footprint ช่วยให้ธุรกิจถูกค้นพบจากผู้ชมทั่วโลก เนื่องจากผู้คนหลายพันล้านคนใช้อินเทอร์เน็ตทุกวัน การมีตัวตนทางออนไลน์ จึงเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าได้มากขึ้น
2. สนับสนุนการรับรู้แบรนด์ และสร้างความน่าเชื่อถือ
การมีรอยเท้าดิจิทัลคือการสร้างตัวตนทางดิจิทัลที่จะช่วยสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ และสร้างความน่าเชื่อถือได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการมีเว็บไซต์ระดับมืออาชีพ โปรไฟล์โซเชียลมีเดีย และการรีวิวในเชิงบวกก็จะช่วยสร้างความไว้วางใจในกลุ่มผู้บริโภค และผู้ที่มีโอกาสจะเป็นลูกค้าได้มากขึ้น
3. เปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์
แพลตฟอร์มดิจิทัลเปิดโอกาสให้ธุรกิจได้มีส่วนร่วมกับผู้ชมโดยตรงผ่านโซเชียลมีเดีย บล็อก เว็บไซต์ อีเมลการตลาด และการแชทสด ทางแบรนด์เองจึงสามารถโต้ตอบ ตอบคำถาม และสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับลูกค้าได้
4. เป็นการตลาดที่คุ้มค่ากับต้นทุน
ช่องทางการตลาดดิจิทัล เช่น โซเชียลมีเดีย การตลาดผ่านอีเมล และการเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา นำเสนอทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิม ซึ่งช่วยให้ธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจสตาร์ตอัป และองค์กรขนาดเล็กสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
5. ช่วยเก็บข้อมูลเชิงลึก และวิเคราะห์ข้อมูล
Digital Footprint ช่วยให้แบรนด์รวบรวมข้อมูลอันมีค่าเกี่ยวกับพฤติกรรม ความชอบ และการโต้ตอบของลูกค้า ข้อมูลนี้สามารถวิเคราะห์เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ระบุแนวโน้ม และปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมได้
6. ความได้เปรียบของการแข่งขันทางธุรกิจ
ในโลกที่ธุรกิจส่วนใหญ่มักอยู่บนโลกออนไลน์ การไม่มี Digital Footprint จะทำให้บริษัทเสียเปรียบอย่างมาก เพราะผู้บริโภคคาดหวังว่าธุรกิจต่างๆ จะสามารถเข้าถึงได้ผ่านช่องทางออนไลน์ เมื่อขาดตัวตนทางดิจิทัลไปอาจทำให้ผู้บริโภคหันไปเลือกคู่แข่งแทน
7. เพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจ E-Commerce
Digital Footprint คือประตูสู่โอกาสในการทำธุรกิจแบบ E-Commerce โดยที่ธุรกิจสามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ รับการชำระเงินผ่านทางดิจิทัล และเข้าถึงตลาดอีคอมเมิร์ซได้มากขึ้น
8. มีความพร้อมในการให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ธุรกิจต่างๆ ที่มี Digital Footprint จะสามารถดำเนินการและให้ข้อมูลแก่ลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน โดยเอาชนะข้อจำกัดเรื่องของเวลาทำการ หรือไทม์โซน และสามารถให้บริการแก่ผู้รับบริการทั่วโลกได้
9. ช่วยปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้โลกดิจิทัลได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และการมี Digital Footprint ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีและแนวโน้มทางธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
10. ช่วยปรับปรุง และพัฒนาชื่อเสียงของแบรนด์
Digital Footprint ช่วยให้แบรนด์สามารถจัดการเรื่องชื่อเสียง หรือการเป็นที่รู้จักทางออนไลน์ได้ด้วยการมีส่วนร่วมกับลูกค้าอย่างกระตือรือร้น และตอบสนองต่อข้อเสนอแนะต่างๆ เพียงเท่านี้ธุรกิจก็จะสามารถสร้างภาพลักษณ์เชิงบวก และลดภาพลักษณ์เชิงลบที่อาจเกิดขึ้นได้

ตัวอย่างของ Digital Footprint
ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตสามารถมี Digital Footprint ได้ผ่านการทำกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป โดยตัวอย่างของ Digital Footprint ที่สามารถพบได้มีดังนี้
1. เว็บเบราว์เซอร์
เว็บเบราว์เซอร์เป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนข้อมูลประเภทต่างๆ ระหว่างผู้ใช้งานกับเว็บไซต์ ดังนั้น เพื่อมอบประสบการณ์ที่แม่นยำ ตรงตามเป้าหมาย และเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยว็บเบราว์เซอร์จะทำการเก็บร่องรอยการท่องเว็บไว้ ซึ่งจะเป็นพฤติกรรมในออนไลน์ ความชอบ และความสนใจของผู้ใช้งาน จึงสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูล Digital Footprint ของผู้ใช้งาน เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาธุรกิจได้
2. ที่อยู่ IP
อุปกรณ์ทุกเครื่องที่ใช้ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตจะได้รับการกำหนดสตริงการระบุเฉพาะที่เรียกว่าที่อยู่ IP สามารถเทียบได้ว่าเป็นลายนิ้วมือดิจิทัล โดยผู้คุกคามหรือผู้ที่ไม่หวังดีสามารถใช้ที่อยู่ IP เพื่อติดตามตำแหน่งของคุณ นำไปใช้ก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ หรือทำการหลอกลวงผ่านที่อยู่ IP ได้ แต่ข้อมูลนี้มีประโยชน์ต่อแบรนด์หรือธุรกิจ เนื่องจากทำให้แบรนด์สามารถรู้เกี่ยวกับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ หรือเครือข่ายที่ใช้ของผู้ใช้งานได้ ทำให้มีข้อมูลว่าลูกค้าส่วนใหญ่มาจากที่ไหน เพื่อวางแผนการทำการทำการตลาดต่อไป
3. โซเชียลมีเดีย
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Twitter (X), Instagram และ TikTok จะมีการโต้ตอบในรูปแบบต่างๆ เช่น การถูกใจ การแชร์ โพสต์ การอัปโหลด คำขอเป็นเพื่อน และอื่นๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Digital Footprint เช่นกัน โดยนำไปประยุกต์ใช้ในการโปรโมตสินค้าได้ เพราะรอยเท้าดิจทัลนี้สามารถส่งผลทางอ้อมต่อการมองเห็นของเว็บไซต์ การเพิ่มการเข้าชม และการสร้างลิงก์ย้อนกลับ
4. การสมัครรับข้อมูล หรือจดหมายข่าว
การสมัครรับข้อมูล จดหมายข่าว บล็อก และบัตรกำนัลสามารถกำหนด Digital Footprint ได้ กิจกรรมเหล่านี้จะเป็นการเปิดเผยลักษณะนิสัย ความสนใจ หรือรสนิยม ทำให้นักการตลาดสามารถนำข้อมูลนี้ไปวิเคราะห์ได้ว่าผู้บริโภคมีความสนใจอย่างไร เพื่อนำไปพัฒนาในผลิตภัณฑ์หรือปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดในอนาคต
5. อีเมลและข้อความ
อีเมลและข้อความที่ส่งเป็นส่วนหนึ่งของ Digital Footprint จากการที่ผู้ใช้งานมีส่วนร่วมในการสื่อสารทางอีเมล ซึ่งครอบคลุมไปถึงองค์ประกอบและข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้งาน ทางแบรนด์จะสามารถรู้ถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้ส่ง ผู้รับ เนื้อหา เวลา และอื่นๆ บางธุรกิจสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้เป็นข้อมูลอันมีค่าสำหรับการวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดในการทำธุรกิจได้
6. การแสดงความคิดเห็นสาธารณะ
ความคิดเห็นที่แบ่งปันบนกระดานข้อความ โซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ข่าว สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ การลบหรือแก้ไขความคิดเห็นสาธารณะในภายหลังอาจทำได้ยากมากขึ้น โดยการแสดงความคิดเห็นนี้สามารถบ่งบอกถึงการมีส่วนร่วม การเชื่อมต่อทางสังคม และระดับการมีส่วนร่วมในชุมชนออนไลน์ได้ หากเป็นคนที่มีผู้ติดตามมากก็ยิ่งทรงอิทธิพลต่อโลกโซเชียลมีเดีย แบรนด์มักติดต่อกับคนที่มีผู้ติดตามมาก เพื่อให้ผู้มีอิทธิพลหรืออินฟลูเอนเซอร์พูดถึงสินค้าของแบรนด์แล้วมีคนมองเห็นและสนใจมากขึ้น
7. การกรอกฟอร์ม
ข้อมูลที่กรอกในแบบฟอร์มออนไลน์เมื่อซื้อสินค้า สมัครสินเชื่อ หรือขอรับบริการจะถูกจัดเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ที่ใดที่หนึ่ง ข้อมูลนี้อาจมีคุณค่าต่อนักการตลาด เพราะสามารถใช้ติดตามและวิเคราะห์เพื่อนำไปทำความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคและปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
8. บล็อก หรือโพสต์
โพสต์ในบล็อกที่ให้ความเห็นอย่างจริงจังมีผลกระทบอย่างมากต่อแบรนด์ และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ Digital Footprint เพราะเมื่อมีคนอื่นมาเห็นรีวิว หรือความคิดเห็นที่ถูกทิ้งไว้ อาจส่งผลต่อการตัดสินใจในการเลือกซื้อหรือใช้บริการของแบรนด์นั้นๆ ได้
9. พฤติกรรมการชอปปิงออนไลน์
พฤติกรรมการชอปปิงออนไลน์เป็นส่วนประกอบหนึ่งของ Digital Footprint ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันบนมือถือ แพลตฟอร์มการชอปปิงออนไลน์สามารถบันทึกพฤติกรรมการซื้อและข้อมูลส่วนบุคคลไว้ได้ เช่น ชื่อ ที่อยู่ ข้อมูลติดต่อ และข้อมูลบัตรเครดิต ซึ่งทางแบรนด์จะสามารถรู้ความถี่ในการซื้อ ประเภทผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ ความชื่นชอบ และมูลค่าการสั่งซื้อโดยเฉลี่ย โดยรายละเอียดเหล่านี้สามารถนำไปใช้อ้างอิงในการจัดทำโปรโมชันเพื่อสนับสนุนความต้องการของลูกค้าในอนาคต
10. การเงิน และการธนาคาร
Digital Footprint เกี่ยวกับการเงินและการธนาคาร เช่น การสมัครบัตรเครดิต การใช้แอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ การซื้อสกุลเงินดิจิทัล การขายหุ้น การสมัครรับจดหมายข่าวทางการเงิน ข้อมูลต่างๆ นี้จะถูกบันทึกไว้ โดยนักการตลาดจะสามารถนำไปวิเคราะห์ถึงความสามารถในการใช้จ่ายของผู้ใช้งานในภายหลังได้ เพื่อให้รู้ถึงรายละเอียดของวิธีการชำระเงินที่ใช้ และทำให้รู้พฤติกรรมการทำธุรกรรม เช่น การใช้เงินไปกับการท่องเที่ยว การซื้ออาหาร หรือการซื้อของ เป็นต้น ข้อมูลนี้จำเป็นมากสำหรับการทำธุรกรรมออนไลน์แต่ก็ควรได้รับการจัดการอย่างปลอดภัยเช่นกัน

ข้อดี-ข้อเสียของ Digital Footprint
การมี Digital Footprint มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้สามารถส่งผลโดยตรงต่อแบรนด์ได้ โดยข้อดีและข้อเสียต่างๆ มีดังนี้
ข้อดี Digital Footprint
Digital Footprint ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่มีประโยชน์ในการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับแบรนด์ โดยประโยชน์ของ Digital Footprint ที่มีต่อแบรนด์ มีดังนี้
- ช่วยเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์
- สามารถสร้างและปรับปรุงการเชื่อมต่อระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย
- ช่วยสร้างผลกำไรได้โดยการดึงดูดอินฟลูเอนเซอร์และลูกค้า ให้มาซื้อสินค้าหรือบริการแบรนด์
- แบรนด์สามารถพัฒนาสื่อโฆษณาที่ปรับแต่งตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนด้านโฆษณา
ข้อเสีย Digital Footprint
สำหรับข้อเสียของ Digital Footprint หลักๆ แล้วเป็นผลกระทบที่ส่งผลต่อการสร้างแบรนด์ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ และข้อเสียอื่นๆ ดังนี้
- ทุกการกระทำที่คุณทำผ่านทางออนไลน์จะส่งผลต่อ Digital Footprint ทั้งหมด
- Digital Footprint สามารถดึงข้อมูลมาใช้ได้ โดยเฉพาะอาชญากรไซเบอร์ที่สามารถใช้ข้อมูลประจำตัวที่ละเอียดอ่อน เพื่อนำไปหลอกลวงหรือก่ออาชญากรรมได้
- การละเมิดข้อมูลที่กระทำโดยการหาประโยชน์จากช่องโหว่ในระบบธนาคาร หรือการดูแลสุขภาพสามารถปลดล็อกข้อมูลที่เป็นความลับ ส่งผลให้ผู้คนเสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกงได้
- Digital Footprint ทำให้ความเป็นส่วนตัวลดลง ทำให้ใครก็ตามสามารถติดตามกิจกรรมบนดิจิทัลได้ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง
สรุป
Digital Footprint คือร่องรอยของข้อมูลที่ทิ้งไว้เมื่อใช้อินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ที่เข้าเยี่ยมชม รวมถึงอีเมลและข้อมูลที่ส่งผ่านทางออนไลน์ โดย Digital Footprint สามารถใช้เพื่อติดตามกิจกรรมและอุปกรณ์ออนไลน์ของบุคคลได้ มีความสำคัญต่อแบรนด์ เช่น ทำให้เกิดการมองเห็น การรับรู้ถึงแบรนด์ แบรนด์มีความน่าเชื่อถือ ทำให้มีข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปปรับปรุงในธุรกิจ และมีความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ เป็นต้น ทั้งนี้ควรศึกษาข้อดีและข้อเสียของ Digital Footprint ให้ดีก่อนนำมาใช้ในการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์
อีกทางเลือกง่ายๆ หากต้องการให้คนมองเห็นแบรนด์ได้มากขึ้นจากการค้นหาผ่านทาง Google แล้วขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ ทาง Minimice Group มีบริการทำ SEO โดยทีมงานที่มีความรู้และประสบการณ์จากการดูแลมาให้หลายๆ แบรนด์ พร้อมสนับสนุนแบรนด์ของคุณให้เป็นที่รู้จักได้มากขึ้น
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
เราได้รวบรวมคำถามที่หลายคนมักสงสัยเกี่ยวกับ Digital Footprint มาไว้ที่นี่เพื่อตอบคำถามคลายข้อสงสัย ไปดูกันว่าจะมีคำถามอะไรบ้าง
1. สามารถป้องกัน Digital Footprint ได้อย่างไร
- ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ เพื่อหยุดการโจมตีประเภทมัลแวร์ที่เข้ามาบุกรุกความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
- อัปเดตซอฟต์แวร์เป็นประจำด้วยแพตช์รักษาความปลอดภัยใหม่ล่าสุด เพื่อลดความเสี่ยงของข้อมูลรั่วไหล
- ใช้ VPN เพื่อซ่อนที่อยู่ IP เป็นการปกป้องตัวตน และการเข้ารหัสเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
- เรียนรู้วิธีล้างคุกกี้เพื่อป้องกันไม่ให้เว็บไซต์มาติดตาม
- ใช้เครื่องมือค้นหาเพื่อจับตาดู Digital Footprint
- แบ่งปันข้อมูลกับเว็บไซต์ แพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชันเฉพาะเมื่อจำเป็นเท่านั้น
- หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย หากต้องแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคล ให้แบ่งปันกับเพื่อนที่เชื่อถือได้เท่านั้น
2. คนที่สามารถเข้าถึง Digital Footprint ได้คือใครบ้าง
คนที่เข้าถึง Digital Footprint ได้หลักๆ คือตัวเราเอง แต่ก็มีคนอื่นที่เข้าถึงได้เช่นกัน โดยเข้าถึงได้เพียงบางสิ่งที่เราทำผ่านทางออนไลน์เท่านั้น ดังนั้น จึงควรตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของโซเชียลมีเดียอย่างถูกต้องเพื่อไม่ให้คนอื่นสามารถติดตามสถานที่ รูปภาพ วันเกิด และรายละเอียดอื่นๆ ได้
3. Digital Footprint ที่ไม่ดีเป็นอย่างไร
Digital Footprint ที่ไม่ดีอาจประกอบไปด้วยโพสต์บนโซเชียลมีเดียที่น่ารังเกียจ การรีวิวบน Google ที่เต็มไปด้วยความโกรธ รูปภาพยาเสพติด ปืน ความรุนแรง และการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ซึ่งเชื่อมโยงกับชื่อ หรือที่อยู่ รวมถึงพฤติกรรมของผู้ที่ไม่บรรลุนิติภาวะ หรือการไม่ให้เกียรติใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับชื่อของคุณอาจได้รับความสนใจ หรือถูกเครื่องมือค้นหาดึงเข้ามา ทำให้เกิด Digital Footprint ในเชิงลบได้