Key Takeaway
- Hreflang คือแท็กที่ใช้บอกเครื่องมือค้นหาว่าหน้าเว็บไซต์ไหนรองรับภาษาไหน และภูมิภาคใด เพื่อให้แสดงผลที่เหมาะสมกับ User ในแต่ละพื้นที่ และเหมาะกับภาษาที่ค้นหา
- วิธีติด Hreflang ให้ถูกคือใช้รหัสภาษา และประเทศให้ถูกต้อง เช่น “en-US” เชื่อมโยงสองทางระหว่างหน้าภาษาเดียวกัน และภาษาอื่นๆ เพิ่มแท็ก Hreflang ในหัว HTML หรือไฟล์ XML Sitemap
- เทคนิคการนำมาใช้ คือใช้ Hreflang ตั้งค่าภาษา และภูมิภาคให้ตรงกับ User เชื่อมโยงหน้าภาษาเดียวกัน และหน้าภาษาอื่นๆ เพื่อให้เครื่องมือค้นหาจัดแสดงผลที่เหมาะสม เพิ่มแท็กในหัว HTML หรือ XML Sitemap
- การปรับ Hreflang ช่วยให้เครื่องมือค้นหารู้ว่าเว็บไซต์รองรับภาษา หรือภูมิภาคใด ช่วยป้องกันปัญหาหน้าเนื้อหาซ้ำ และเพิ่มโอกาสในการแสดงผลที่ตรงกับกลุ่ม User ทำให้ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Hreflang หรือ Hreflang Tag คือเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างลิงก์ภายในเว็บไซต์ เพื่อบอก Search Engine ว่าเพจไหนเหมาะสมกับ User ในแต่ละภาษา หรือภูมิภาค บทความนี้ Minimice Group จะอธิบายเกี่ยวกับการใช้งาน Hreflang เทคนิคที่เหมาะสม และวิธีการนำไปใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO

Hreflang ในลิงก์ HTML คืออะไร
Hreflang หรือ Hypertext Reference Language คือแท็กใน HTML5 ที่ช่วยระบุภาษาของเว็บไซต์ให้ Google รู้ว่าเว็บไซต์รองรับภาษาใดบ้าง เมื่อเว็บไซต์ตรงกับความต้องการของ User หรือกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยเพิ่มโอกาสติดอันดับ SEO ได้ง่ายขึ้น
ตัวอย่างของ Hreflang มีรูปแบบดังนี้
- <link rel=”alternate” hreflang=”x” href=”https://www.minimicegroup.com/alternate-page” />
โดยมีความหมายของแต่ละส่วน ดังนี้
- link rel=”alternate” = แท็กที่ทำให้หน้าเว็บไซต์เป็นเวอร์ชันสำรอง เพื่อใช้ใน Hreflang Tag สำหรับภาษาอื่น
- hreflang=”x” = แท็กที่ระบุภาษาที่ต้องการ เช่น hreflang=”en” (ภาษาอังกฤษ) หรือ hreflang=”es” (ภาษาสเปน)
- href=”https://www.minimicegroup.com/alternate-page” = แท็กที่ระบุ URL ไปยังหน้าเว็บไซต์ที่เป็นเวอร์ชันสำรองในภาษานั้นๆ

เว็บไซต์แบบไหนต้องติด Hreflang บ้าง?
ทุกเว็บไซต์ไม่จำเป็นต้องใช้ Hreflang Tag แต่จะเหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการแสดงผลในภาษา หรือภูมิภาคที่ตรงกับ User ดังนี้
- เว็บไซต์ที่รองรับหลายภาษา ควรใช้ Hreflang เพื่อบอก Google ว่ามีเวอร์ชันภาษาใดบ้าง
- เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาสำหรับตลาดต่างประเทศ เมื่อเว็บไซต์มีเนื้อหาที่แตกต่างตามภูมิภาค หรือประเทศ ควรใช้ Hreflang เพื่อแสดงเนื้อหาที่เหมาะสมกับ User ในแต่ละที่
- เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาในภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาจีน สเปน หรือฝรั่งเศส เพื่อช่วยให้ Google แสดงผลการค้นหาตามภาษา หรือภูมิภาคที่ตรงกับ User
- เว็บไซต์ที่มีหลายเวอร์ชันของเพจ เช่น หน้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในหลายภาษา ควรใช้ Hreflang เพื่อให้ Google รู้ว่าเพจเหล่านั้นเหมาะกับ User ที่ใช้ภาษาต่างๆ

วิธีการติด Hreflang Tag ให้ถูกต้อง
หากติด Hreflang Tag ถูกต้อง จะช่วยให้การแสดงผลในผลการค้นหาของ Google มีประสิทธิภาพมากขึ้น และต่อไปนี้คือวิธีติด Hreflang ที่ถูกต้องเพื่อให้ใช้งานได้จริง
1. การติดตั้ง Hreflang Tag ด้วย HTML Tags
การติดตั้ง Hreflang Tag ด้วย HTML เป็นวิธีที่ง่าย และสะดวกที่สุด โดยการใส่โค้ดในส่วน <head> ของหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการระบุภาษาเพิ่ม ตัวอย่างเช่น
- หน้าเว็บไซต์ภาษาอังกฤษ: https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/ ซึ่งสามารถติดตั้ง Hreflang Tag ลงในส่วน <head> ของโค้ด HTML ได้ดังนี้
<link rel=”alternate” hreflang=”en”href=”https://www.minimicegroup.com/blog/zh/digital-marketing-agency/” />
- หน้าเว็บไซต์ภาษาจีน: https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/ ซึ่งสามารถติดตั้ง Hreflang Tag ลงในส่วน <head> ของโค้ด HTML ได้ดังนี้
<link rel=”alternate” hreflang=”zh”href=”https://www.minimicegroup.com/blog/zh/digital-marketing-agency/” />
2. การติดตั้ง Hreflang Tag ด้วย HTML Headers
หากไม่สามารถติดตั้ง Hreflang Tag ด้วย HTML ได้ เช่น ในกรณีที่หน้าเว็บไซต์เป็นไฟล์ PDF เราสามารถใส่ Hreflang Tag ในส่วนของ HTTP Headers แทน วิธีนี้ช่วยให้หน้า PDF รองรับการแสดงผลที่เหมาะสมตามภาษาของ User ตัวอย่างเช่น
- หน้าเว็บไซต์ภาษาอังกฤษ: <https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency.pdf>; สามารถใส่โค้ด Hreflang ใน HTTP Headers ได้ โดยเพิ่มโค้ดต่อท้าย คือ rel=”alternate”;hreflang=”en”
- หน้าเว็บไซต์ภาษาจีน: <https://www.minimicegroup.com/blog/zh/digital-marketing-agency.pdf>; สามารถใส่โค้ด Hreflang ใน HTTP Headers ได้ โดยเพิ่มโค้ดต่อท้าย คือ rel=”alternate”;hreflang=”zh”
3. การติดตั้ง Hreflang Tag ใน Sitemap
การติดตั้ง Hreflang Tag ใน Sitemap ของเว็บไซต์ สามารถทำได้เช่นกัน แต่มีวิธีการที่ต่างจากการใช้ HTML ในหน้าเว็บไซต์ปกติ หากเว็บไซต์ของเราเป็นภาษาอังกฤษ และต้องการเพิ่มภาษาจีน ให้ติดตั้งโค้ดใน Sitemap ตามตัวอย่าง เช่น
- <url> <loc>https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/</loc> <xhtml:link rel=”alternate” hreflang=”x-default” href=”https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/” /> <xhtml:link rel=”alternate” hreflang=”en” href=”https://www.minimicegroup.com/blog/en/digital-marketing-agency/” /> <xhtml:link rel=”alternate” hreflang=”zh” href=”https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/” /> </url>
- <url> <loc>https://www.minimicegroup.com/blog/zh/digital-marketing-agency/</loc> <xhtml:link rel=”alternate” hreflang=”x-default” href=”https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/” /> <xhtml:link rel=”alternate” hreflang=”en” href=”https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/” /> <xhtml:link rel=”alternate” hreflang=”zh” href=”https://www.minimicegroup.com/blog/zh/digital-marketing-agency/” /> </url>

เทคนิคการนำแท็ก Hreflang ไปใช้งาน
เพื่อให้การใช้ Hreflang Tag และ Meta Hreflang มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถทำตามเทคนิคดังนี้
ลิสต์ Hreflang Tag ของแต่ละหน้าเว็บ
ตามที่ Google ระบุไว้ว่าทุกหน้าที่เกี่ยวข้องต้องมี Hreflang Tag ที่อ้างอิงถึงตัวเองด้วย
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีหน้าบริการ 3 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน แต่ละหน้าต้องมี Hreflang Tag ของตัวเอง หน้าภาษาอังกฤษต้องมี Hreflang Tag ภาษาอังกฤษ หน้าฝรั่งเศสต้องมี Hreflang Tag ภาษาฝรั่งเศส และหน้าภาษาเยอรมันต้องมี Hreflang Tag ภาษาเยอรมัน
หากไม่ระบุ Hreflang Tag ที่ครบถ้วน เครื่องมือค้นหาอาจไม่แสดงหน้าที่เหมาะสมให้กับ User
รวมลิงก์ทั้งสองทิศทาง
ลิงก์สองทางช่วยให้เครื่องมือค้นหารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหน้าเว็บไซต์ และยืนยันว่าเราควบคุมทั้งสองหน้า ดังนั้น หากมีหน้าภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส หน้าภาษาอังกฤษต้องมี Hreflang Tag เชื่อมไปยังหน้าภาษาฝรั่งเศส และหน้าภาษาฝรั่งเศสต้องมี Hreflang Tag เชื่อมกลับมาที่หน้าภาษาอังกฤษ ตัวอย่างเช่น
- หน้าเว็บไซต์ภาษาอังกฤษ: <https://www.minimicegroup.com/en/>; rel=”alternate”; hreflang=”en”, <https://https://www.minimicegroup.com/fr/>; rel=”alternate”; hreflang=”fr”
- หน้าเว็บไซต์ภาษาฝรั่งเศส: <https://www.minimicegroup.com/fr/>; rel=”alternate”; hreflang=”fr”, <https://www.minimicegroup.com/en/>; rel=”alternate”; hreflang=”en”
ใช้ X-Default ในแท็ก Hreflang
แท็ก X-Default ใช้สำหรับกำหนดหน้า Fallback เมื่อเครื่องมือค้นหาไม่พบเวอร์ชันที่เหมาะสมตามภาษา หรือภูมิภาคของ User แม้ว่าแท็กนี้จะไม่จำเป็น แต่ Google แนะนำให้ใช้
เพื่อใช้แท็ก X-Default ให้ตั้งค่า Hreflang เป็น “X-Default” สำหรับ URL ที่ต้องการให้ User เข้าหากเว็บไซต์ของเราไม่รองรับภาษานั้น ตัวอย่างเช่น
- <link rel=”alternate” href=”https://www.minimicegroup.com/es/” hreflang=”es” />
- <link rel=”alternate” href=”https://www.minimicegroup.com/pt/” hreflang=”pt” />
- <link rel=”alternate” href=”https://www.minimicegroup.com/pt/” hreflang=”pt” />
- <link rel=”alternate” href=”https://www.minimicegroup.com/us/” hreflang=”en-us” />
- <link rel=”alternate” href=”https://www.minimicegroup.com/” hreflang=”x-default” />

การปรับ Hreflang Tag สำคัญกับการทำ SEO อย่างไร
Hreflang Tag มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ และการจัดการกับการแสดงผลในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา ดังนี้
ช่วยเพิ่มโอกาสติดอันดับในการทำ SEO
SEO คือการปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับภาษา หรือภูมิภาคต่างๆ เพื่อเพิ่มการมองเห็น และดึงดูดผู้เข้าชมจากหลายประเทศ การใช้ Hreflang Tag ช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถแสดงผลหน้าเว็บไซต์ที่ตรงกับภาษา หรือภูมิภาคของ User ได้ ตัวอย่างเช่น การเพิ่ม Hreflang Tag ในแต่ละหน้า จะทำให้เครื่องมือค้นหาจัดการแสดงผลที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้ชมจากแต่ละภูมิภาคได้ดีขึ้น
ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ให้กับ User
การใช้ Hreflang Tag ช่วยให้เรานำ User ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องที่สุดได้ ตัวอย่างเช่น
- เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซสามารถเปลี่ยนเส้นทาง User จากแต่ละประเทศไปยังหน้าที่แสดงราคาตามสกุลเงินของแต่ละประเทศ (เช่น User จากสหรัฐอเมริกา จะเห็นราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ และ User จากเยอรมนีจะเห็นราคาเป็นยูโร)
- บล็อกสูตรอาหารสามารถเปลี่ยนเส้นทางนำ User ไปยังหน้าที่แสดงระบบการวัดที่ตรงกับแต่ละประเทศ (เช่น การวัดแบบอิมเปอเรียลสำหรับ User จากสหรัฐอเมริกา และการวัดแบบเมตริกสำหรับ User จากออสเตรเลีย)
- ธุรกิจที่ให้บริการลูกค้าระดับนานาชาติสามารถเปลี่ยนเส้นทาง User ไปยังหน้าที่แสดงผลในภาษาของ User
เมื่อ User ได้รับประสบการณ์ที่ดีจากเว็บไซต์ของเรา จะมีแนวโน้มที่จะสำรวจเว็บไซต์ต่อไป และอาจกลายเป็นลูกค้าได้ในที่สุด
หลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ซ้ำกัน
การใช้ Hreflang ช่วยป้องกันปัญหาการมีเนื้อหาที่เหมือนกัน หรือคล้ายกันบนเว็บไซต์ ซึ่งอาจทำให้เครื่องมือค้นหาสับสนว่าควรแสดงหน้าไหนในผลการค้นหา ตัวอย่างเช่น หน้าผลิตภัณฑ์สองหน้า หนึ่งหน้าแสดงราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐ และอีกหน้าหนึ่งแสดงราคาเป็นดอลลาร์แคนาด
แม้จะมีการปรับแต่งบางอย่างตามพื้นที่ เช่น สกุลเงินที่แตกต่าง และการสะกดคำที่เฉพาะในแต่ละภูมิภาค ข้อมูลในแต่ละหน้าจะเหมือนกัน ทำให้ Google อาจมองว่าเป็นหน้าเนื้อหาซ้ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ การแจกจ่าย Backlink และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์

ข้อควรระวัง! ถ้าอยากติดแท็ก Hreflang
มีข้อควรระวังในการติดแท็ก Hreflang หรือ Meta Hreflang ซึ่งควรให้ความใส่ใจ เพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพ และไม่เกิดปัญหาต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อ SEO ของเว็บไซต์ โดยข้อควรระวังเหล่านี้ ได้แก่
- หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องหมายขีดล่าง (Underscore) แทนขีดกลาง (Dash)
- ใช้รหัสภาษาที่ถูกต้อง เช่น en (ภาษาอังกฤษ), zh (ภาษาจีน), th (ภาษาไทย) เป็นต้น
- หากใช้รหัสประเทศ ควรใช้รหัสภาษาควบคู่เสมอ เช่น hreflang=”en-US”
- ระวังไม่ให้เว็บไซต์เปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าเว็บไซต์หลัก หรือต้นฉบับของหน้านั้นๆ โดยอัตโนมัติ
- ยืนยันลิงก์ระหว่างหน้า A และหน้า B ว่าเชื่อมต่อกันเรียบร้อยแล้ว
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการลิงก์กลับระหว่างหน้าทั้งสอง เช่น หากหน้า A ลิงก์ไปยังหน้า B หน้า B ควรลิงก์กลับมายังหน้า A
สรุป
Hreflang Tag คือแท็กที่บอกเครื่องมือค้นหาว่าหน้าเว็บรองรับภาษา หรือภูมิภาคใด ช่วยให้ผลการค้นหาตรงกับผู้ใช้ และป้องกันปัญหาหน้าเนื้อหาซ้ำ การใช้ Hreflang Tag อย่างถูกต้อง ช่วยให้เครื่องมือค้นหาส่งผลลัพธ์ที่เหมาะสม และส่งผลดีต่อ SEO ด้วยการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจากหลายประเทศ และหลายภาษา
มาทำ SEO กับ Minimice Group เพื่อช่วยเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหา ผ่านการปรับแต่งที่มีประสิทธิภาพ โดยทีมงานมืออาชีพที่ใช้เทคนิคที่ทันสมัย และการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และปรับปรุงอันดับการค้นหาให้ดีขึ้น
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
คำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับการใช้ Hreflang Tag คืออะไร วันนี้เราจะพาไปดูคำตอบในช่วงถาม-ตอบ เพื่อให้เข้าใจการใช้ Hreflang Tag อย่างถูกต้อง
เครื่องมือตรวจสอบ Hreflang มีอะไรบ้าง
เครื่องมือตรวจสอบ Hreflang ที่นิยมใช้มีหลายตัว เช่น Weglot, Sitebulb, Merkle, Hreflang.org, Yoast SEO และ Ahrefs
Hreflang กับ Canonical ต่างกันอย่างไร
Hreflang ช่วยเรื่องการแสดงผลตามภาษา หรือภูมิภาค ส่วน Canonical ช่วยป้องกันปัญหาหน้าเนื้อหาซ้ำ
Hreflang กับ HTML Lang ต่างกันอย่างไร
HTML Lang บอกเบราว์เซอร์ว่าเว็บใช้ภาษาอะไร ส่วน Hreflang Tag บอกเครื่องมือค้นหาว่าภาษาไหนเกี่ยวข้องกับหน้าที่ถูกลิงก์ เพื่อการทำ SEO ตัวอย่างเช่น HTML Lang บน HubSpot.com จะบอกเบราว์เซอร์ว่าเว็บใช้ภาษาใด แต่ Hreflang Tag จะบอกเครื่องมือค้นหาว่า เมื่อค้นหา HubSpot จะเห็นลิงก์ในภาษาไหน
หากค้นหา HubSpot จากเยอรมนี Hreflang Tag จะเปลี่ยนลิงก์ในผลการค้นหา แต่ HTML Lang จะเปลี่ยนภาษาบนหน้าเว็บเมื่อ User เข้าถึงเว็บไซต์
จะติดตั้ง Hreflang บน WordPress ได้อย่างไร
การติดตั้ง (เว็บไซต์เดียว)
ไปที่เมนู Plugins > Add New
คลิกที่ปุ่ม Upload Plugin และเลือกไฟล์ Zip ที่เพิ่งดาวน์โหลดมา
คลิกที่ Install Now
คลิกที่ Activate Plugin
การติดตั้ง (หลายเว็บไซต์)
ไปที่เมนู Plugins > Add New
คลิกที่ปุ่ม Upload Plugin และเลือกไฟล์ Zip ที่เพิ่งดาวน์โหลดมา
คลิกที่ Install Now
คลิกที่ Network Activate