ในยุคที่มีธุรกิจและคู่แข่งในการค้าอยู่มากมาย การสร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก Corporate Identity หรือ CI คือตัวช่วยสร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้ บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ CI ว่าคืออะไร มีองค์ประกอบอะไรบ้าง เพราะอะไรจึงต้องมี รวมไปถึงสำคัญกับองค์กรแต่ละที่
Corporate Identity หรือ CI คืออะไร
Corporate Identity (CI) คือการแสดงตัวของธุรกิจสู่สาธารณะทั้งในแง่ของลักษณะที่มองเห็นได้ เช่น โลโก้หรือชื่อแบรนด์ และลักษณะที่มองไม่เห็น เช่น วัฒนธรรมองค์กร ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแต่ดึงจุดเด่นขององค์กรออกมาจนทำให้ลูกค้าสามารถระบุได้ว่าคือแบรนด์ไหน เพียงแค่ได้เห็นเพียงไม่กี่ครั้ง เป้าหมายของ CI คือการสร้างแรงดึงดูดน่าจดจำให้กับลูกค้าโดยทั่วไป ช่วยสร้างความเชื่อมั่นทั้งในตลาดและตัวลูกค้าเองได้
องค์ประกอบหลักของ Corporate Identity
องค์ประกอบหลักของการออกแบบ (Design) CI คือโครงสร้างที่จะประกอบกันให้เป็นตัวตนของแบรนด์ โดยองค์ประกอบที่สำคัญ สามารถแบ่งเป็น 2 ข้อใหญ่ๆ ได้ ดังนี้
วัฒนธรรมและบุคลิกของแบรนด์ (Culture and Personality)
วัฒนธรรมและบุคลิกคือส่วนสำคัญที่ช่วยให้ CI ของแบรนด์สร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์เชิงอารมณ์กับลูกค้า วัฒนธรรมแสดงถึงค่านิยมและความเชื่อขององค์กร ส่วนบุคลิกเป็นลักษณะที่แตกต่างของแบรนด์ที่ทำให้แบรนด์นั้นๆ มีเอกลักษณ์และแบบแผนที่ไม่เหมือนใคร โดยวัฒนธรรมและบุคลิกของแบรนด์ ได้แก่
เป้าหมายและวิสัยทัศน์ของแบรนด์ (Vision and Purpose)
เป้าหมายและวิสัยทัศน์ของแบรนด์มีผลต่อการกำหนด CI เพราะเป้าหมายแสดงถึงทิศทางในอนาคตของแบรนด์ที่จะขับเคลื่อนไป วิสัยทัศน์เป็นแนวทางที่ช่วยให้เกิดความชัดเจนในการพัฒนาและติดตามการกระทำของแบรนด์ได้
ค่านิยม วัฒนธรรม และพฤติกรรมของแบรนด์ (Values, Culture and Behaviour)
ค่านิยมและวัฒนธรรมของแบรนด์มีผลต่อ CI เนื่องจากค่านิยมและวัฒนธรรม คือหลักในการกำหนดกิจกรรมและการปฏิบัติตามกฎระเบียบขององค์กร พฤติกรรมของแบรนด์จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นด้วย CI และมีผลต่อการรับรู้ของลูกค้า
การออกแบบของแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ (Design)
การออกแบบ CI คือกระบวนการที่ช่วยกำหนดรูปลักษณ์ของแบรนด์ให้เป็นที่จดจำได้ง่าย มีเอกลักษณ์แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ซึ่งจะทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำและสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย โดยการออกแบบแบรนด์ให้เป็นที่น่าจดจำสามารถทำได้โดยการคำนึงถึงองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
สี (Colors)
สิ่ง สามารถสร้างความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ ให้กับผู้ชม การเลือกสีต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงความหมายที่แบรนด์ต้องการสื่อ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
ฟอนต์ (Fonts)
การเลือกฟอนต์สามารถแสดงถึงบุคลิกของแบรนด์ได้ ฟอนต์ที่ถูกเลือกควรเข้ากับลักษณะและบุคลิกของแบรนด์ และควรทำให้ข้อความง่ายต่อการอ่าน
โลโก้ (Logos)
โลโก้คือสัญลักษณ์ที่แสดงถึง CI การออกแบบโลโก้ควรสื่อถึงความเป็นตัวตนของแบรนด์และสื่อความหมายในลักษณะที่ตรงกับแบรนด์อย่างชัดเจน
ตำแหน่งของโลโก้ (Corporate stationery)
ตำแหน่งที่วางโลโก้ในสื่อต่างๆ เช่น จดหมาย อีเมล หนังสือ หรือเสื้อ มีผลต่อการทำให้ CI เป็นที่จดจำได้ง่ายขึ้นและทำให้เป็นผู้ใช้งานสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าสื่อที่ตนเองกำลังใช้งานเป็นของแบรนด์ใด
เว็บไซต์ (Website)
เว็บไซต์คือสื่อที่สำคัญในการแสดง CI และบันทึกประสิทธิภาพขององค์กร การออกแบบเว็บไซต์ควรสอดคล้องกับ CI เพื่อสร้างความสม่ำเสมอทำให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์สามารถเข้าถึงได้ง่าย
การออกแบบภายใน (Internal Design)
การออกแบบภายใน เช่น พื้นที่ในองค์กร สวน ดีไซน์ของตึก ห้องติดต่อของลูกค้า และสถานที่การทำงานของพนักงาน คือสิ่งสำคัญในการสร้างประสบการณ์และบรรยากาศที่สอดคล้องกับ CI ของแบรนด์ โดยจะแสดงให้เห็นได้ชัดว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับอะไร
ทำไมแบรนด์จึงต้องมี Corporate Identity สำคัญยังไง
วัตถุประสงค์ของการทำ CI ของแต่ละองค์กรอาจต่างไป แต่โดยรวมมีดังนี้
- กำหนดเอกลักษณ์และความแตกต่าง CI ช่วยกำหนดเอกลักษณ์ของแบรนด์และทำให้แบรนด์นั้นๆ เป็นที่จดจำของลูกค้าได้อย่างชัดเจน
- สร้างความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือ CI ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตลาดและระบุตัวตนขององค์กร ทำให้ลูกค้ามีความน่าเชื่อถือและสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์
- ทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำ CI ช่วยสร้างความจดจำและความรู้สึกในผู้บริโภค ทำให้แบรนด์เป็นสิ่งที่จดจำและเข้าใจได้ง่าย
- สร้างความเข้าใจในตลาด การมี CI ช่วยให้ตลาดเข้าใจและรู้จักแบรนด์ได้ง่าย และสามารถแยกแบรนด์นั้นๆ ออกจากคู่แข่งได้แม้จะเป็นสินค้าหรือบริการในลักษณะเดียวกัน
สร้าง Corporate Identity ทำได้ยังไง
หากสนใจจะทำ CI สามารถเริ่มต้นจากการทำตาม 5 ขั้นตอนต่อไปนี้
1. ตรวจสอบแบรนด์
ทำการตรวจสอบและวิเคราะห์เกี่ยวกับแบรนด์อย่างละเอียด ทบทวนเป้าหมายและวิสัยทัศน์ขององค์กรเพื่อให้เข้าใจความหมายและแนวทางของแบรนด์เป็นอย่างดี การทำความเข้าใจที่ถ่องแท้จะช่วยให้ Corporate Identity สอดคล้องกับแนวคิดและการพัฒนาขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2. ปรับแต่งคำสั่งในการส่งข้อความ
ปรับแต่งคำสั่งและเนื้อหาในการสื่อสารทางสังคมออนไลน์และการติดต่อ ให้เป็นไปตาม Corporate Identity ของแบรนด์ เนื้อหาที่จะเผยแพร่ต้องสอดคล้องกับค่านิยมและบุคลิกของแบรนด์เพื่อสร้างความสัมพันธ์และความรู้สึกที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
3. พัฒนาองค์ประกอบที่สร้างสรรค์
พัฒนาองค์ประกอบที่สร้างสรรค์ของแบรนด์ เช่น การออกแบบหรือปรับปรุงโลโก้ เพื่อให้เกิดความน่าสนใจและเหมาะสมกับค่านิยมและบุคลิกของแบรนด์ การพัฒนาองค์ประกอบเหล่านี้จะเสริมสร้างอัตลักษณ์ที่โดดเด่นและน่าจดจำในตลาด
4. ใช้กลยุทธ์ที่เป็นประโยชน์
นำเอกลักษณ์ที่ได้สร้างขึ้นใน Corporate Identity มาใช้ในกลยุทธ์การตลาด ตัวอย่างเช่น การใช้สีและโลโก้เพื่อสร้างความจดจำในใจของผู้บริโภค นี่จะช่วยเสริมสร้างการรับรู้และความจำเกี่ยวกับแบรนด์
5. วิเคราะห์และแก้ไข
ทำการวิเคราะห์และปรับปรุง Corporate Identity ของคุณในระหว่างที่ตลาดและองค์กรมีการเปลี่ยนแปลง การวิเคราะห์นี้เป็นการตรวจสอบว่าองค์ประกอบต่าง ๆ ยังคงสอดคล้องกับค่านิยมและเป้าหมายขององค์กรหรือไม่ และจำเป็นต้องทำการปรับปรุงเพื่อให้เกิดความสอดคล้องในทุกสถานการณ์
ตัวอย่างของ Corporate Identity
2 แบรนด์ตัวอย่างที่แสดงถึงความสำเร็จในเรื่องของ Corporate Identity อย่างชัดเจน นั่นคือ CI ของ Apple และ Starbucks นั่นเอง
แอปเปิล (Apple)
Apple คือแบรนด์ที่มี CI ที่โดดเด่นและสร้างความรู้สึกตรงกับพลังและความทันสมัยของเทคโนโลยี โลโก้ของ Apple มีลักษณะเป็นแอปเปิลที่กัดเล็กเสียว ที่แสดงถึงความเรียบง่ายและทันสมัย สีเงินที่เป็นส่วนหนึ่งของ CI ช่วยสร้างความหรูหราและทันสมัย และฟอนต์ที่ใช้ในการสื่อสารก็เน้นความเรียบง่ายและคงทน แบบความคิดและองค์ประกอบของ Apple CI ช่วยสร้างความน่าจดจำและเป็นที่รู้จักในทุกมุมโลก
สตาร์บัคส์ (Starbucks)
Starbucks คือแบรนด์ที่มี CI เกี่ยวข้องกับกาแฟและสถานที่พักผ่อน โลโก้ของ Starbucks เป็นเครื่องหมายของความอบอุ่นและความเป็นกลาง สีเขียวของโลโก้มีความสัมพันธ์กับความสดชื่นและธรรมชาติ การออกแบบภายในของร้าน Starbucks ก็เชื่อมโยงกับ CI ที่ตั้งใจจะสร้างความรู้สึกอบอุ่น ทั้งหมดนี้ช่วยสร้างแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและเชื่อมั่นในตลาดกาแฟ
ด้วยการสร้าง CI ที่โดดเด่นและสอดคล้องกับแนวคิดและความสำคัญของแบรนด์ ทั้ง Apple และ Starbucks สามารถสร้างความทรงจำและความเชื่อถือในกลุ่มเป้าหมายของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
Corporate Identity (CI) คือชุดของสัญลักษณ์ ลายเส้น สี และคุณสมบัติที่ติดตัวแบรนด์ ช่วยสร้างเอกลักษณ์และความแตกต่างของแบรนด์ สร้างความรู้สึก ความทรงจำ และความเชื่อมั่นในผู้บริโภค มีบทบาทสำคัญในการกำหนดเอกลักษณ์และบุคลิกขององค์กร และช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์ในตลาด การสร้าง CI คือต้องเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์แบรนด์ ปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ และนำเสนอให้เห็นผลในทุกประเด็นขององค์กรและการติดต่อกับลูกค้า
FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Corporate Identity
เมื่อได้รู้จักกับ Corporate Identity หรือ CI ไปแล้วว่าคืออะไร บทความนี้ยังได้รวบรวมคำถามพร้อมคำตอบที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Corporate Identity มาให้ดูกัน
CI สามารถนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง
CI นอกจากจะเป็นการสร้างเอกลักษณ์และอัตลักษณ์แบรนด์แล้ว ยังสามารถช่วยสร้างความทรงจำของผู้บริโภค ช่วยสื่อสารกับลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย โฆษณา และการติดต่อ CI ที่มีความน่าเชื่อถือ ชัดเจน และเป็นระเบียบเรียบร้อยช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า โดยทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยในการซื้อสินค้าหรือบริการ
ความแตกต่างระหว่าง Corporate Identity กับ Brand Identity
Corporate Identity (CI) คือรูปแบบการนำเสนอแบรนด์และอัตลักษณ์องค์กร ส่วน Brand Identity คือการประยุกต์ใช้ CI เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าหรือบริการ
CI สร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ได้อย่างไร
CI สร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ได้ด้วยการ สร้างความทรงจำเกี่ยวกับแบรนด์ผ่านการออกแบบโลโก้และดีไซน์ของสี เน้นค่านิยมและความเชื่อของแบรนด์ เพิ่มความน่าสนใจและแรงดึงดูดในผู้บริโภค สร้างความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และแสดงกลยุทธ์การตลาดของแบรนด์