Table of Contents

Categories

Recent Posts

eeat factor คืออะไร

E-E-A-T Factor คืออะไร? สิ่งที่กูเกิลให้ความสำคัญและคนทำ SEO ควรรู้

Table of Contents

ในปัจจุบัน E-E-A-T Factor เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีบทบาทในการปรับปรุงแก้ไขเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ช่วยเพิ่มยอดเข้าชม และเพิ่มความน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งในบทความนี้ได้นำรายละเอียดของการใช้ E-E-A-T Factor ให้ถูกหลัก และอธิบายถึงการทำงานของ Google ว่าวัดจากอะไร โดยจะมีการประเมินที่แตกต่างกันไปในแต่ละด้าน และถึงแม้ว่าเนื้อหาแต่ละประเภทจะมีการวัดระดับ E-E-A-T แตกต่างกันไป แต่ในเรื่องของข้อมูลที่น่าเชื่อก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและจำเป็นสำหรับในทุก ๆ เนื้อหาของบทความเสมอ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับ E-E-A-T Factor กันก่อนดีกว่า ว่ามันคืออะไร

eeat factor คือ

E-E-A-T Factor คืออะไร?

E-E-A-T ย่อมาจาก Expertise (ความเชี่ยวชาญ)Experience (ประสบการณ์)Authority (ความมีอิทธิพล) และ Trust (ความน่าเชื่อถือ) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ 3 ประเภท ที่ใช้ในการจัดอันดับเนื้อหาในหน้าแสดงผลการค้นหา โดย E-E-A-T Factor เป็นวิธีหนึ่งที่ Google ใช้ตรวจเช็กข้อมูลที่ถูกต้อง ปลอดภัย และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มาค้นหา เพราะเมื่อคนต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญบางอย่าง หรือมีสิ่งที่กำลังสงสัย ข้อมูลที่พวกเขาค้นหาได้จาก Google จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจนั่นเอง

ดังนั้น Google เลยต้องทำให้แน่ใจว่าข้อมูลเหล่านี้มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด โดยจะพิจารณาเนื้อหาทั้งเว็บไซต์จาก

  • ความเชี่ยวชาญ (Expertise) คือ การพิจารณว่าเนื้อหาของเว็บไซต์มีความลึกของข้อมูล หรือมีความรู้เฉพาะทาง
  • ประสบการณ์ (Experience) เป็นการพิจารณาประสบการณ์ของผู้เขียนว่าเคยมีประสบการณ์ในเรื่องที่เขียนหรือไม่
  • การมีอิทธิพล (Authority) โดยดูจากการที่เว็บไซต์อื่น ๆ มีการอ้างอิงถึงเว็บไซต์
  • ความน่าเชื่อถือ (Trust) ของผู้ที่สร้างเนื้อหา ซึ่งรวมถึงการคอยอัปเดตข้อมูลให้มีความใหม่อยู่เสมออีกด้วย

ทั้งนี้ ในมุมมองของ Google บทความที่เขียนโดยผู้ที่มีประสบการณ์นั้นมีค่ามากกว่าบล็อกโพสต์ที่ดูไม่มีที่มาที่ไปมาให้คำแนะนำ โดยที่ไม่มีการยืนยัน หรืออ้างอิงไปยังแหล่งที่น่าเชื่อถือ

E-E-A-T Factor เกิดขึ้นมาได้ยังไง

E-E-A-T Factor เป็นแนวคิดที่มาจาก Search Quality Rater ของ Google เป็นปัจจัยหนึ่งที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพโดยรวมของหน้าเว็บไซต์ หน้าที่หลักๆ คือ ตรวจสอบคุณภาพของผลการค้นหา ซึ่งก่อตั้งมาเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประโยชน์สูงสุดจากการค้นหาใน Google

ความสำคัญของ E-E-A-T Factor

การนำเสนอบทความที่น่าจดจำ และน่าเชื่อถือ จะช่วยเพิ่มยอดการกดเข้าดูเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ได้ ซึ่ง E-E-A-T Factor เป็นสิ่งที่ Google ใช้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ และเป็นพื้นฐานของการประเมินเนื้อหาหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้า ว่ามีการสร้างข้อมูลที่มีคุณค่าแก่ผู้มาใช้หรือไม่

ยกตัวอย่างเช่น หากแพทย์ที่คุณเข้ารักษา ไม่มีความน่าเชื่อถือ คุณก็จะหาหาแพทย์คนอื่นแทน ซึ่งพฤติกรรมของผู้ที่ใช้งาน Google ก็เหมือนกัน เมื่อพบว่าเว็บไซต์นั้นขาดความน่าเชื่อถือ พวกเขาก็จะเลือกมองหาเว็บไซต์อื่นที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

โดย Google ใช้หลัก E-E-A-T Factor เพื่อวัดผลเหล่านี้ และใช้เป็นสัญญาณในการพิจารณาว่าควรให้หน้าเว็บไซต์นั้นตอบสนองความต้องการของผู้เข้าใช้งาน Google หรือไม่ เพราะถ้าหากเว็บไซต์ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เข้าใช้งานได้ Google จะเลือกสิ่งอื่นมาจัดอันดับแทน พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้า Google พบว่ามีเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูล หรือมีความน่าเชื่อถือมากกว่า Google จะโปรโมตเว็บไซต์เหล่านั้นแทน ทำให้เว็บไซต์ของคุณจะสูญเสียอันดับลง ซี่งส่งผลต่อจำนวนการเข้าชมที่ลดลง และอาจสูญเสียรายได้ไปอีกด้วย เพราะฉะนั้น ในการทำเว็บไซต์จึงควรให้ความสำคัญกับหลัก E-E-A-T Factor เช่นกัน

องค์ประกอบของ eeat factor

4 องค์ประกอบหลัก เกณฑ์ E-E-A-T Factor

เนื่องจากเนื้อหาที่อยู่ในบทความ จะต้องเป็นคำตอบให้กับผู้ที่มาค้นหา องค์ประกอบเหล่านี้จึงเป็นส่วนที่สำคัญ เพื่อให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นเนื้อหาที่สามารถพิสูจน์ได้ มีที่มาที่ไป ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมามั่วๆ โดยองค์ประกอบทั้ง 3 ตัวนี้ นอกจากจะช่วยให้เนื้อหามีคุณภาพมากขึ้นแล้ว จะช่วยทำให้เว็บไซต์ปลอดภัย ทั้งต่อข้อมูลของเราเอง และข้อมูลของผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งแต่ละองค์ประกอบจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ตามมาดูกันเลย

1. ความเชี่ยวชาญ (Expertise)

Expertise หรือ ความเชี่ยวชาญ ซึ่งในส่วนนี้เนื้อหานั้นจะต้องมีความรู้ลึก รู้จริง ถ่ายทอดข้อมูลออกมาอย่างดีเยี่ยม มีความน่าเชื่อถือ โดยจะต้องมีการหยิบข้อเท็จจริงขึ้นมาพูด หรือการให้เครดิตเกี่ยวกับเนื้อหานั้นๆ ในกรณีที่มีการวิจัยที่กล่าวถึง

ตัวอย่างเช่น หากต้องการทำบทความเกี่ยวกับการออกกำลังกาย หรือเกี่ยวกับสุขภาพ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ออกกำลังกายแบบไหนถูกต้อง และได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ หากบอกแค่ความรู้สึก หรือประสบการ์ส่วนตัว เนื้อหานั้นอาจจะไม่มีความน่าเชื่อถือ ควรนำหลักเหตุผลมาเสริมด้วย เช่น การออกกำลังส่วนนี้จะช่วยในเรื่องอะไร มีผลอย่างไรเมื่อทำต้องมีการหาข้อมูลหรือถามจากผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องนั้น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญยังหมายถึงการนำเสนอข้อมูลที่เป็นความจริง และเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนใครได้อีกด้วยนะ

2. ประสบการณ์ (Experience)

ประสบการณ์ หรือ Experience เป็นตัวชี้วัดใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาจาก E-E-A-T ซึ่ง Experience นี้ไม่ได้หมายถึงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน หรือ User Experience (UX) แต่เป็นประสบการณ์ของผู้เขียนเนื้อหา ว่าผู้เขียนมีประสบการณ์จริงในเรื่องที่เขียนหรือไม่ 

อย่างเช่น หากเราเขียนบทความเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพ ผู้เขียนเคยทำอาหารประเภทนี้มาหรือไม่ เราอาจจะต้องมีเนื้อหาที่ครอบคลุมเรื่องการทำอาหาร เช่น อาหารเพื่อสุขภาพดีอย่างไร ยกตัวอย่างเมนูอาหาร พร้อมวัตถุดิบและวิธีการทำ เป็นต้น

3. ความมีอิทธิพล (Authoritativeness)

Authoritativeness หรือ ความมีอิทธิพล โดยความมีอิทธิพลของเว็บไซต์นั้นจะมีการตรวจสอบจากหลายปัจจัย เช่น การมีผู้ใช้ค้นหาเกี่ยวกับชื่อแบรนด์ หรือการมี Backlink จากเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เนื้อหามีความเกี่ยวข้องกันกับเว็บไซต์ของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเว็บไซต์ที่อ้างอิงถึงเว็บไซต์ของคุณ มีค่าการจัดอันดับ (Page Ranking) ที่สูง ก็จะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันอีกด้วย 

ค่า Page Ranking จะคล้ายกับคะแนนโหวต เพราะถ้าเนื้อหาดี มีความน่าเชื่อถือ ใคร ๆ ก็อยากกดเข้าไปอ่าน และยังมีผลแสดงว่ามีคนเข้ามารับชมอย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดย Google จะทำการตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณ ว่าเนื้อหานั้น นอกจากเขียนจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว ยังเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถืออ้างอิงมาหาหรือไม่ ยิ่งมีการอ้างอิงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เหมือนกับการได้รับการยอมรับจากเว็บไซต์อื่น แล้วก็จะทำให้อันดับ Page Ranking ดีขึ้นอีกด้วย 

ทั้งนี้ Google ไม่รู้หรอกว่าอะไร คือ ข้อเท็จจริง แต่สามารถเปรียบเทียบเนื้อหาจากหลาย ๆ เว็บไซต์ และนำมาหาข้อสรุปร่วมกันได้ ซึ่งคุณสามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วยการอ้างอิงข้อมูลเชิงลึก หรือข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญได้

4. ความน่าเชื่อถือ (Trustworthiness)

Trustworthiness หรือ ความน่าเชื่อถือ เป็นส่วนที่เอาไว้บ่งบอกคุณภาพของบทความ ทั้งลำดับเนื้อหา และการถ่ายทอดของเนื้อหาให้คนอ่านเข้าใจ หากบทความมีคุณภาพ เมื่อมีข้อสงสัย สิ่งนี้จะทำให้ผู้คนนึกถึงคุณเป็นอันดับแรก เพราะบนอินเตอร์เน็ตมีการสร้างเนื้อหามากมาย ดังนั้น การสร้างความน่าเชื่อถือ หรือการทำให้บทความมีคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญหากอยากเพิ่มอันดับในการเข้าชมเว็บไซต์ และถ้าเกิดว่าเสียความไว้วางใจไปแล้วครั้งนึง การจะได้รับความเชื่อมั่นกลับคืนมานั้นก็เป็นเรื่องที่ยาก

ในการดึงดูดให้คนเข้ามาชมในเว็บไซต์ของคุณ ผู้ใช้จะต้องเชื่อมั่นก่อนว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร และยังต้องเชื่อมั่นว่าข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ ที่อยู่ จะปลอดภัยหากเลือกสมัครใช้บริการไป

E-E-A-T Factor กับ YMYL เกี่ยวข้องกันอย่างไร

YMYL ย่อมาจาก “Your Money or Your Life” Google ใช้ YMYL เป็นหลักในการจัดแจงหมวดหมู่ประเภทอุตสาหกรรม และคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกัน ไม่ว่าจะเป็น ด้านการเงิน ด้านสุขภาพ หรือด้านความปลอดภัย
ซึ่งโดยทั่วไป การจัดหมวดหมู่อุตสาหกรรมของ YMYL จะมีดังนี้

  • ข้อมูลการช็อปปิง และธุรกรรมทางการเงิน เช่น บทความเกี่ยวกับคำแนะนำในการลงทุน ทางธนาคาร เป็นต้น
  • ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น บทความเกี่ยวกับคำแนะนำด้านสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต โรคภัยต่าง ๆ เป็นต้น
  • ข้อมูลทางกฏหมาย เช่น บทความเกี่ยวกับสิทธิทางกฏหมาย สิทธิในฐานะเจ้าของธุรกิจ เป็นต้น
  • ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ เช่น บทความที่ให้รายละเอียดสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศ หรือของโลกว่าเป็นอย่างไร หรือประกาศสำคัญ เป็นต้น
  • ข้อมูลอื่น ๆ เช่น บทความที่ให้ข้อมูลสำคัญ หรือข้อควรระวังต่าง ๆ เช่น นาฬิกาเข้าน้ำต้องทำอย่างไร การเตรียมตัวก่อนเดินทางไกล เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่ส่วนนึงของอุตสาหกรรมเท่านั้น หลักเกณฑ์ของ YMYL กว้างมากกว่านั้น เนื่องจาก Google จะไม่อยากให้มีการให้คำแนะนำที่ไม่ดี หรือเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน จึงต้องตรวจเช็กข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือต่างๆ เช่น หากคุณต้องการลดน้ำหนัก แต่ไปอ่านคำแนะนำที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร ซึ่งนั่นอาจจะส่งผลที่ไม่ดีมากกว่าเดิมได้ เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นหากได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง นี่จึงเป็นหน้าที่ของ Google ที่ต้องใช้ E-E-A-T Factor ในการตรวจสอบบทความที่มีเนื้อหาในกลุ่ม “Your Money or Your Life”

eeat factor ปัจจัยในการจัดอันดับ seo

E-E-A-T Factor เป็นปัจจัยในการจัดอันดับ SEO ด้วยหรือไม่?

E-E-A-T Factor เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างแน่นอน อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า E-E-A-T เป็นวิธีหนึ่งของ Google ในการตรวจเช็กความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือของเนื้อหานั้นของแต่ละเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ค้นหาได้รับข้อมูลที่ถูกต้องมากที่สุด ซึ่งหากต้องการให้การตลาดดิจิทัลนั้นประสบความสำเร็จ E-E-A-T จึงเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรกๆ ในการพัฒนากลยุทธ์ SEO ของคุณ เพราะนั่นก็เป็นวิธีที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณติดในผลการค้นหาอันดับแรกๆ และทำให้ผู้คนกลับมาที่เว็บไซต์คุณอีกครั้ง ถ้าอยากให้ E-E-A-T Factor นั้นมีคุณภาพที่ดีขึ้น มีวิธีที่ทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

1. ตรวจสอบแบรนด์ของคุณ

ดูว่าผู้คนพูดถึงแบรนด์ของคุณว่าอย่างไร ไม่ต้องสนว่า Google bot นั้นจะคิดอะไร แต่ให้ดูจากผู้ใช้จริงๆ ว่าพูดถึงแบรนด์อย่างไร อาจเริ่มจากการส่งแบบสอบถามลูกค้า หรือส่งแบบสำรวจ ถามถึงประสบการณ์ของพวกเขาที่มีต่อแบรนด์ ชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร

หลังจากนั้นลองตรวจสอบเว็บไซต์ดูว่ามีความชัดเจน มีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน มีการรับรองจากองค์กรวิชาชีพหรือไม่ มีความเป็นมืออาชีพ เคยได้รับรางวัล สิ่งเหล่านี้จะเป็นส่วนช่วยพิสูจน์ได้ว่าแบรนด์นั้นเก่งในสิ่งที่ทำแล้วก็โปรโมตให้ผู้คนเห็นว่าแบรนด์ไว้วางใจได้

2. ตรวจสอบเนื้อหาที่มีอยู่ของคุณ

ดูว่าเนื้อหาบอกอะไรเกี่ยวกับตัวธุรกิจ เป็นไปได้ว่าเนื้อหานั้นอาจจะเก่าลง แล้วไม่ตรงกับปัจจุบัน คุณต้องตรวจสอบเนื้อหาที่มีอยู่โดยสมมุติตัวเองเป็นลูกค้า แล้วถามตัวเองว่า “สิ่งนี้ตรงกับความต้องการของฉันหรือไม่” ซึ่งถ้าคำตอบคือ “ไม่” ก็ต้องแก้ไข อัปเดตเนื้อหานั้น หรือลบออกไป

3. กำหนดโครงสร้างสำหรับเนื้อหา

ไม่ว่าจะสร้างเนื้อหาด้วยตัวเอง หรือมีทีมงานเขียนเนื้อหาสำหรับเว็บไซต์ จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามโครงสร้างการทำงาน ข้อมูลต้องได้ผ่านการค้นคว้าอย่างรอบคอบ มีความเชี่ยวชาญในสิ่งนั้น มีลิงก์ไปยังหน้าอื่น ๆ บนเว็บไซต์ของคุณ และต้องสร้างเนื้อหาที่ตรงกับความต้องของผู้ใช้งาน ไม่ใช่สร้างเพื่อวัตถุประสงค์สำหรับการจัดอันดับเท่านั้น

4. จ้างผู้เชี่ยวชาญ

หากคุณไม่มีเวลาค้นคว้าข้อมูล แล้วเขียนด้วยตัวเอง แนะนำว่าให้จ้างนักเขียนที่เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้เนื้อหาที่ถูกต้องแต่เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับเนื้อหาที่ถูกต้อง คุณจะต้องตรวจสอบก่อนนำเผยแพร่เสมอ

5. โปรโมตในสถานที่

การส่งเสริมประสิทธิภาพคนของคุณที่มีจะช่วยสร้างความไว้วางใจได้ ซึ่งการที่มีคนเห็นแบรนด์ของคุณมากขึ้นระดับความน่าเชื่อถือก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย และพวกเขาก็จะมีความไว้วางใจกับตัวแบรนด์มากขึ้น ดังนั้น จึงควรส่งเสริมนักเขียน ส่งเสริมนักวิจัย และส่งเสริมผู้เชี่ยวชาญในแบรนด์ของคุณ

6. โปรโมตนอกสถานที่

เมื่อส่งเสริมภายในแบรนด์เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาแบ่งปันออกมาภายนอกแล้ว ซึ่งคุณสามารถเริ่มต้นด้วยการส่งข้อความสอบถามลูกค้า ถึงแม้ว่าจะมีผู้ตอบแบบสอบถามไม่มาก แต่ในแต่ละคนจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคุณได้

นอกจากนี้ คุณยังสามารถโปรโมตนักเขียน หรือผู้เชี่ยวชาญในแบรนด์ของคุณได้ อาจจะให้มีการเขียนถึงแบรนด์ ปรากฏตัวในพอดแคสต์ หรือขึ้นพูดในงานต่างๆ เมื่อถึงเวลาคุณจะสัมผัสได้ถึงการรับรู้แบรนด์ที่เพิ่มขึ้นของคุณ เพราะธุรกิจที่ไม่เคยพบเห็น และไม่เคยได้ยินมาก่อนมีโอกาสที่จะล้มเหลวได้มาก ให้ความเชี่ยวชาญของแบรนด์คุณพูดออกมา

7. ทำให้ง่ายต่อการเข้าถึง และรัดกุม

ไม่ว่าจะใช้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือคอมพิวเตอร์ เนื้อหาจะต้องง่ายต่อการอ่าน เข้าถึงง่าย ไม่มีสิ่งที่รบกวน ซึ่งอาจจะลดการใช้โฆษณาลงหน่อย ให้ไม่มากจนเกินไป 

นอกจากนี้ ความไวของเว็บไซต์ก็เป็นเรื่องสำคัญ เคยเป็นไหมพอโหลดเข้าหน้าเว็บช้า เราก็จะเลือกไปเปิดเว็บไซต์อื่นที่เข้าถึงข้อมูลได้เร็วกว่า ดังนั้น ควรตรวจสอบเวลาในการโหลดเข้าหน้าเว็บดู ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ผู้คนก็จะยิ่งได้คำตอบได้เร็ว

8. อย่าหยุดที่จะปรับปรุง แม้แค่ 1%

มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงเว็บไซต์อย่างน้อยวันละ 1% ลงทุนในเนื้อหา และลงทุนในทีมของคุณ ความเชี่ยวชาญต่าง ๆ การอ้างอิง ความน่าเชื่อถือ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มอันดับ และสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป

วิธีทำให้เนื้อหาถูกหลัก eeat

วิธีทำเนื้อหาในเว็บไซต์ให้ถูกหลัก E-E-A-T Factor

หากต้องการเพิ่มอันดับการเข้าชม อยากให้เว็บไซต์มีคุณภาพ ก็ต้องทำเนื้อหาในเว็บไซต์ให้ถูกหลัก E-E-A-T Factor วิธีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มยอดเข้าชม เพิ่มความน่าเชื่อถือ และเพิ่มรายได้ให้คุณได้ โดยมีวิธีดังนี้

ให้แหล่งข้อมูลอ้างอิงที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ (Include Clear Sources and Credits)

รวมแหล่งที่มา ที่มีความน่าเชื่อถือ และให้เครดิตชัดเจน การค้นคว้าหากไม่ใช่สิ่งที่เขียนขึ้นเอง หรือตัวเรานั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อนั้นๆ ควรให้แหล่งข้อมูลจากที่อื่น ต้องลงรายละเอียดให้ชัดเจนว่ามาจากไหน

งัดปัจจัยที่ทำให้เนื้อหาของคุณแตกต่าง (Leverage Your Content Differentiation Factor)

งัดปัจจัยที่ใช้สร้างเนื้อหาที่แตกต่าง ไม่ซ้ำใครออกมา หาสิ่งที่ดึงดูดสายตา และสร้างแรงบันดาลใจ โดยอาจจะทำความรู้จักกับแบรนด์ของคุณก่อน แล้วมองเข้าไปให้ลึกว่าผู้คนเขาหลงใหลอะไรตัวแบรนด์ เหตุการณ์อะไรที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจได้

ตรวจสอบและอัปเดตเนื้อหา (Audit and Update Your Content)

ตรวจสอบและอัปเดตเนื้อหาของคุณอยู่เสมอ เนื้อหาสามารถเข้าไปปรับแก้ได้ตลอด เมื่อระยะเวลาผ่านไป ข้อมูลเดิมอาจล้าสมัย หรือเมื่อเรามีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นมากขึ้น ก็สามารถแก้ไขข้อมูล หรือเพิ่มข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากขึ้นมาได้

ใช้เนื้อหาในการปรับแก้ความโปร่งใสของธุรกิจ (Improve Your Business Transparency with Content)

ใช้เนื้อหาในการปรับแก้ความโปร่งใสของธุรกิจ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้ การแสดงความโปร่งใสกับข้อมูล แม้กระทั่งข้อผิดพลาดก็ตาม จะช่วยสร้างความไว้วางใจกับผู้คนที่เข้าใช้งานได้

กลั่นกรองเนื้อหาของผู้ใช้ (Moderate User-Generated Content)

กลั่นกรองเนื้อหาที่ผู้ใช้นั้นสร้างขึ้นมา เพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพของเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์เอาไว้ รวมถึง ให้หมั่นคอยลบเนื้อหาที่เป็นสแปมออก

ถ้าเราละเลยการทำเนื้อหาให้ถูกหลัก E-E-A-T Factor จะเกิดอะไรขึ้น

คุณอาจจะสูญเสียยอดการเข้าชมหลายล้านครั้งต่อเดือน ไม่เพียงแค่นั้น อันดับก็ลดลง แถมยังสูญเสียรายได้อีกด้วย ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้ยอดเข้าชมลดลง หรือรายได้สูญหายไป ควรนำเสนอเนื้อหาที่ถูกหลัก E-E-A-T Factor รวมถึง ควรปรับปรุง แก้ไขเว็บไซต์อยู่เสมอ

สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ eeat factor

สุดท้าย สิ่งที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ E-E-A-T Factor

เมื่อรู้จักหลักที่ E-E-A-T Factor ที่ถูกต้องแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่ผู้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับหลัก E-E-A-T Factor อยู่ ซึ่งในส่วนนี้เราจะมาอธิบายให้เอง

E-E-A-T ไม่ใช่ปัจจัยโดยตรงสำหรับการจัดอันดับ SERP
(E-E-A-T is not a direct factor in SERPs rankings)

หลัก E-E-A-T ไม่ใช่ปัจจัยโดยตรงสำหรับการจัดอันดับบนหน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหา (SERP: Search Engine Results Page) เพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ส่งผลต่อการจัดอันดับ เช่นความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ การจัดเรียงเนื้อหาให้อ่านง่าย หรือวางหัวข้อให้เด่นชัด เข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้เร็ว

E-E-A-T ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ในทันที
(You cannot expect immediate results from E-E-A-T)

คุณไม่สามารถคาดหวังผลลัพธ์ได้ในทันทีจากการปรับเนื้อหาด้วยหลัก E-E-A-T จริงอยู่ที่ว่าการปรับปรุงหน้าเว็บสามารถทำได้อย่างง่ายดายจากคำแนะนำที่ได้กล่าวไป ในเรื่องของการปรับปรุง SEO ด้วย E-E-A-T แต่คุณไม่สามารถคาดหวังการเปลี่ยนแปลงได้ในทันทีที่แก้ไข และถ้า E-E-A-T ไม่ตรงตามข้อกำหนดที่บอกไว้ ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นด้วย

E-E-A-T ไม่ใช่อัลกอริทึม
(E-E-A-T is not an algorithm on its own)

E-E-A-T ไม่ได้เป็นอัลกอริทึมในตัวเอง E-E-A-T จะรับสัญญาณบนเว็บไซต์ เพื่อปรับแต่งอัลกิริทึมของ Google ให้ดียิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้งาน โดย E-E-A-T เป็นปัจจัยที่เอาไว้บ่งบอกถึงคุณภาพ และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เท่านั้น

สรุป

E-E-A-T Factor คือวิธีที่ Google ตรวจสอบคุณภาพของเว็บไซต์ และยังเป็นวิธีที่ช่วยทำให้เว็บไซต์นั้นมีคุณภาพ และมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นอีกด้วย เพื่อให้ได้การจัดอันดับหน้าเว็บที่สูงขึ้น การทำเว็บไซต์ให้ถูกหลัก E-E-A-T Factor จะช่วยเพิ่มยอดเข้าชมที่สูงขึ้น และยังช่วยเพิ่มรายได้ที่มากขึ้นอีกด้วย

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

E-E-A-T Factor คืออะไร?

E-E-A-T ย่อมาจาก Expertise, Experience, Authority และ Trust ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ 4 ประเภท ที่ใช้ในการจัดอันดับเนื้อหา และเป็นวิธีหนึ่งที่ Google ตรวจสอบคุณภาพของเว็บไซต์ และใช้ตรวจเช็กข้อมูลที่ถูกต้อง ปลอดภัย และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มาค้นหา

วิธีทำเนื้อหาในเว็บไซต์ให้ถูกหลัก E-E-A-T Factor

  • รวมแหล่งที่มา และให้เครดิต
  • สร้างความแตกต่าง
  • อัปเดตเนื้อหาอยู่เสมอ
  • ปรับปรุงความโปร่งใสทางธุรกิจ
  • กลั่นกรองเนื้อหา
  • อย่าละเลยที่จะปรับปรุงเนื้อหา

E-E-A-T Factor เป็นปัจจัยในการจัดอันดับ SEO หรือไม่?

เป็นอย่างแน่นอน การสร้างความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดดิจิทัลประสบความสำเร็จ E-E-A-T Factor จึงเป็นปัจจัยหลักในการพัฒนา SEO เพื่อให้ผู้คนกลับมาใช้งานอีกครั้งได้

Related Articles

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง