รู้จัก E-Marketplace สะพานเชื่อมผู้ซื้อ-ผู้ขาย บนโลกธุรกิจออนไลน์

รู้จัก E-Marketplace สะพานเชื่อมผู้ซื้อ-ผู้ขาย บนโลกธุรกิจออนไลน์

Table of Contents

Key Takeaway

  • E-Marketplace มี 5 รูปแบบหลัก ได้แก่ Product Online Marketplace, Online Service Marketplace, Online Rental Marketplace, Hybrid Model Ecommerce และ Hyperlocal Marketplace ธุรกิจควรเลือกให้เหมาะกับสินค้าหรือบริการของตน
  • E-Marketplace คือ Platform ที่สร้างประโยชน์ให้ทั้งธุรกิจ ผู้ซื้อ และผู้ขาย โดยช่วยขยายฐานลูกค้า ลดต้นทุน เพิ่มความสะดวกในการซื้อขาย และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
  • การเลือก E-Marketplace ต้องพิจารณาหลายปัจจัย เช่น ความปลอดภัย เครื่องมือที่มีให้ การลงทุน ความคล่องตัว และระบบการค้นหาสินค้า เพื่อให้เหมาะสมกับธุรกิจ
  • การสร้างแบรนด์บน e-Marketplace คือสิ่งสำคัญ ควรใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การสร้างหน้าร้านที่ดึงดูด การตั้งราคาที่แข่งขันได้ การจัดโปรโมชัน และการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีก้าวล้ำไปไกล E-Marketplace กลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่รวบรวมผู้ซื้อและผู้ขายไว้ในที่เดียว ช่วยให้การซื้อขายสินค้าและบริการเป็นเรื่องง่าย สร้างโอกาสทางธุรกิจ และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับทุกคน มาดูกันว่าทำไม E-Marketplace ถึงกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในโลกธุรกิจออนไลน์

E-Marketplace ตลาดดิจิทัลที่ธุรกิจต้องมี

E-Marketplace ตลาดดิจิทัลที่ธุรกิจต้องมี

E-Marketplace คือตลาดออนไลน์ที่เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อ และผู้ขายมาเจอกัน เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) หรือธุรกิจกับผู้บริโภค (B2C) E-Marketplace ก็ช่วยลดข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ ทำให้การค้าขายเกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง

5 รูปแบบ E-Marketplace ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ

5 รูปแบบ E-Marketplace ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ

หากกำลังวางแผนเปิดตลาดดิจิทัล ต้องรู้จักประเภทของ e-Marketplace ต่อไปนี้ให้ดี เพื่อเลือกรูปแบบที่เหมาะกับธุรกิจมากที่สุด

1. Product Online Marketplace 

E-Marketplace ประเภท Product Online Marketplace คือการซื้อขายสินค้าทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือของใช้ในบ้าน เหมาะกับธุรกิจที่มีสินค้าจับต้องได้ ตัวอย่างเช่น Shopee, Lazada หรือ Amazon ที่เราคุ้นเคยกันดี

2. Online Service Marketplace 

E-Marketplace ประเภท Online Service Marketplace เหมาะกับธุรกิจที่ให้บริการ (Service) เพราะจะช่วยให้ผู้ให้บริการและลูกค้าเจอกันได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริการทำความสะอาดบ้าน ซ่อมแซมอุปกรณ์ หรือแม้แต่บริการด้านไอที ตัวอย่างเช่น Fiverr หรือ Upwork

3. Online Rental Marketplace 

ธุรกิจให้เช่าสินค้าก็มี E-Marketplace เป็นของตัวเองเช่นกัน E-Marketplace ประเภท Online Rental Marketplace คือธุรกิจให้เช่าสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการเช่ารถยนต์ อพาร์ตเมนต์ หรือแม้แต่เครื่องมือช่าง ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Airbnb ที่เชื่อมโยงเจ้าของที่พักกับนักเดินทาง

4. Hybrid Model  Ecommerce

Hybrid Model  Ecommerce คือ E-Marketplace แบบผสมผสาน รวมทั้งการขายสินค้าและบริการไว้ในที่เดียว เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น Amazon ที่นอกจากขายสินค้าแล้วยังมีบริการ Amazon Web Services ด้วย

5. Hyperlocal Marketplace

สำหรับธุรกิจท้องถิ่นที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ใกล้เคียง Hyperlocal Marketplace จะช่วยให้โฟกัสกับกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น Grab หรือ Foodpanda ที่เน้นบริการในพื้นที่เฉพาะ

อยากขายดีต้องรู้! 3 ประโยชน์เด็ดของ E-Marketplace ที่พลาดไม่ได้

อยากขายดีต้องรู้! 3 ประโยชน์เด็ดของ E-Marketplace ที่พลาดไม่ได้

E-Marketplace ไม่ได้มีประโยชน์แค่กับธุรกิจเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขายด้วย มาดูกันว่ามีประโยชน์อะไรบ้าง  ดังนี้

1. ประโยชน์ต่อธุรกิจ 

  • สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น ไม่จำกัดพื้นที่
  • ช่วยลดต้นทุนในการเปิดหน้าร้านจริง
  • เก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าได้ง่าย นำไปพัฒนาสินค้าและบริการ
  • สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักได้เร็วขึ้น ในเวลาที่รวดเร็ว

2. ประโยชน์ต่อผู้ซื้อ 

  • ช่วยให้เปรียบเทียบราคาและคุณภาพสินค้าได้ง่ายขึ้น
  • สั่งซื้อของและจองบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา
  • มีตัวเลือกสินค้าและบริการที่หลากหลาย
  • อ่านรีวิวจากผู้ใช้จริงก่อนตัดสินใจซื้อ

3. ประโยชน์ต่อผู้ขาย

  • เริ่มต้นทำธุรกิจได้ง่าย ลงทุนน้อย
  • ขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศได้
  • รับชำระเงินได้หลากหลายช่องทาง ปลอดภัย

6 สิ่งที่ธุรกิจต้องรู้ ก่อนเลือก E-Marketplace ให้ตรงใจ

ก่อนจะตัดสินใจเลือก E-Marketplace ธุรกิจควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ให้ดี

1. ความปลอดภัย

E-Marketplace ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลต้องแน่นหนา ป้องกันการโจรกรรมข้อมูลลูกค้าและการฉ้อโกงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่าง: Shopee ใช้ระบบเข้ารหัสข้อมูล SSL 128-bit เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ และมีระบบ Shopee Guarantee ที่จะคืนเงินให้ผู้ซื้อหากไม่ได้รับสินค้าตามที่สั่ง

2. เครื่องมือและคุณสมบัติต่างๆ

ดูว่า E-Marketplace มีฟีเจอร์ที่จำเป็นครบถ้วนหรือไม่ เช่น ระบบจัดการสินค้าคงคลัง การวิเคราะห์ยอดขาย หรือการจัดการคำสั่งซื้อ ฯลฯ

ตัวอย่าง: Lazada มีระบบ Seller Center ที่ช่วยให้ผู้ขายสามารถจัดการสินค้า ตรวจสอบยอดขาย และดูรายงานประสิทธิภาพร้านค้าได้อย่างละเอียด

3. การลงทุนทางการเงิน

พิจารณาค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ดี เทียบกับผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ

ตัวอย่าง: Amazon เก็บค่าธรรมเนียมการขายประมาณ 15% ของราคาขาย แต่ให้โอกาสเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ทั่วโลก ในขณะที่ Etsy เก็บค่าธรรมเนียมเพียง 5% แต่เน้นสินค้าหัตถกรรมและของทำมือ

4. ความคล่องตัว และการยืดหยุ่น

เลือก E-Marketplace ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของธุรกิจที่อาจเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ตัวอย่าง: Shopify ให้ความยืดหยุ่นสูง สามารถเริ่มต้นด้วยแพ็กเกจพื้นฐานและอัปเกรดเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น รวมถึงมี App Store ที่มีแอปพลิเคชันเสริมมากมายให้เลือกใช้ตามความต้องการ

5. เพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา

E-Marketplace ที่มีระบบค้นหาที่ดี จะช่วยให้ลูกค้าเจอสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ตัวอย่าง: Alibaba มีระบบค้นหาอัจฉริยะที่ใช้ AI ช่วยแนะนำสินค้า ซึ่งจะเรียงลำดับผลการค้นหาตามความเกี่ยวข้องและความนิยม ทำให้ผู้ซื้อเจอสินค้าที่ต้องการได้ง่ายขึ้น

6. การดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มที่

E-Marketplace ต้องมีระบบรองรับการตอบคำถาม แก้ไขปัญหา และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

ตัวอย่าง: Amazon มีระบบ Customer Service ที่ให้บริการ 24/7 ผ่านหลายช่องทาง เช่น แชต โทรศัพท์ และอีเมล นอกจากนี้ยังมีนโยบาย “ลูกค้าคือพระเจ้า” ที่ให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของลูกค้าเป็นอันดับแรก

ความท้าทายของ E-Marketplace

ความท้าทายของ E-Marketplace

แม้ E-Marketplace จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีความท้าทายที่ธุรกิจต้องเตรียมรับมือ ดังนี้

  • การแข่งขันสูง เพราะมีผู้ขายจำนวนมาก
  • ต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว
  • การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า
  • การสร้างความแตกต่างให้โดดเด่นในตลาดที่มีสินค้าคล้ายๆ กัน
  • การจัดการกับความคาดหวังของลูกค้าที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

10 เทคนิค ปั้นแบรนด์ให้ปังใน E-Marketplace 

  1. ขั้นตอนการสมัครง่าย: ทำให้ทั้งผู้ขายและลูกค้าสมัครได้รวดเร็ว ใช้การล็อกอินผ่านโซเชียลมีเดีย
  2. แดชบอร์ดผู้ขายที่ทันสมัย: ให้เครื่องมือที่จำเป็นแก่ผู้ขายเพื่อจัดการสินค้าและยอดขาย
  3. ค้นหาและนำทางง่าย: จัดหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน ช่วยให้ผู้ซื้อหาสินค้าได้ง่าย
  4. รองรับการใช้งานบนมือถือ: ออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ดีบนทุกอุปกรณ์
  5. ระบบชำระเงินหลากหลาย: รองรับวิธีการชำระเงินที่นิยมและสะดวกสำหรับผู้ใช้
  6. รายงานวิเคราะห์ละเอียด: ให้ข้อมูลเชิงลึกแก่ผู้ดูแลระบบและผู้ขายเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์
  7. ดาวน์โหลด/จองง่าย: ทำให้กระบวนการหลังการซื้อเป็นไปอย่างราบรื่น
  8. ระบบรีวิวและให้คะแนน: เพิ่มความน่าเชื่อถือและช่วยในการตัดสินใจซื้อ
  9. แชร์บนโซเชียลมีเดียง่าย: เพิ่มปุ่มแชร์เพื่อช่วยในการโปรโมตแพลตฟอร์ม
  10. การทำธุรกรรมที่ปลอดภัย: ใช้ SSL และมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่เข้มงวด

สรุป

ตลาดออนไลน์มีประสิทธิภาพในการเติบโตอย่างมาก สิ่งสำคัญที่จะสร้างความแตกต่างได้ คือ การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม หากวางแผนที่จะเริ่มธุรกิจบน E-Marketplace ควรเลือกระบบที่ยืดหยุ่น รองรับการใช้งานบนทุกอุปกรณ์ และสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของตลาดได้ตลอดเวลา วิธีนี้จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

ข้อดีของ Shopee ที่ต่างจาก E-Marketplace ตัวอื่น คืออะไร

Shopee มีจุดเด่นหลายอย่างที่ทำให้แตกต่างจาก E-Marketplace อื่นๆ เช่น มีเกมให้เล่นเพื่อรับ Shopee Coin มีแคมเปญการตลาดที่น่าสนใจ อย่าง Shopee 9.9 หรือ 12.12 ที่มีส่วนลดมากมาย

E-Marketplace กับ E-Commerce ต่างกันอย่างไร

  • E-Marketplace คือระบบการซื้อขายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตที่รวบรวมผู้ขาย และผู้ซื้อจำนวนมากไว้ในที่เดียวกัน โดยมีทั้งรูปแบบเว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน 
  • E-Commerce คือเว็บไซต์ที่แบรนด์สร้างขึ้นเองเพื่อจำหน่ายสินค้าของตน โดยแบรนด์เป็นผู้ออกแบบ พัฒนา และดูแลระบบทั้งหมด รวมถึงการจัดการคำสั่งซื้อและระบบหลังบ้านด้วยตนเอง

Marketplace ในไทยมีอะไรบ้าง

ประเทศไทยมี E-Marketplace ที่ได้รับความนิยมมากมาย ได้แก่

  • Shopee: E-Marketplace ที่เน้นการชอปปิงที่สนุกและมีส่วนลดมากมาย
  • Lazada: หนึ่งในผู้บุกเบิก E-Marketplace ในไทย มีสินค้าหลากหลาย
  • Kaidee: ตลาดซื้อขายสินค้ามือสองและสินค้าท้องถิ่น
  • LINE Shopping: ใช้ประโยชน์จากฐานผู้ใช้ Line ที่มีจำนวนมากในไทย
  • Facebook Marketplace: ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับการซื้อขายใน Facebook
  • Konvy: เน้นสินค้าความงามและเครื่องสำอาง

E-Marketplace มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร

ข้อดีของ E-Marketplace คือ การที่ธุรกิจเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น ไม่ต้องลงทุนสร้างเว็บไซต์เอง อีกทั้งยังมีระบบการชำระเงิน และการจัดส่งที่น่าเชื่อถือ แต่ก็มีการแข่งขันสูง เนื่องจากมีผู้ขายจำนวนมาก และไม่สามารถควบคุมนโยบาย หรือกฎระเบียบของแพลตฟอร์มได้

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง