Hreflang Tag เป็นอีกสิ่งที่มีความสำคัญต่อการทำ SEO เพราะเป็นตัวช่วยที่ทำให้ Google เข้าใจว่าในเว็บไซต์ของเรานั้นมีภาษาอะไรบ้าง และทำให้ Google วิเคราะห์ได้ว่าภาษา และเนื้อหาที่มีอยู่ภายในเว็บไซต์ของเราตอบโจทย์ผู้ใช้งานหรือไม่ และควรแสดงให้ผู้ใช้งานกลุ่มไหนเห็นบ้าง จึงทำให้การทำ SEO ของเราตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ในบทความนี้ทาง Minimice Group จึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Hreflang ว่าคืออะไร และมีความสำคัญต่อการทำ SEO มากแค่ไหน รวมถึงวิธีการติด และข้อควรระวังในการติด Hreflang SEO ที่ทุกคนควรรู้ไว้!
Hreflang Tag คืออะไร? หน้าตาเป็นอย่างไร?
Hreflang หรือ Hypertext Reference Language คือ แท็กชนิดหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับ HTML5 ที่เป็นตัวช่วยระบุภาษาของเว็บไซต์ เพื่อให้ Google สามารถรู้ว่าภายในเว็บไซต์เรารองรับภาษาอะไรบ้าง ทำให้ Google รู้ว่าเว็บไซต์ของเรามีภาษาที่ผู้ใช้งานค้นหาหรือไม่ รวมถึงเนื้อหานั้นมีความชัดเจนและตรงกลุ่มเป้าหมายมากน้อยแค่ไหน ถ้าหากเว็บไซต์ของเรามีภาษาและเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานหรือกลุ่มเป้าหมาย จะทำให้เว็บไซต์ของเรามีโอกาสติดอันดับ SEO อันดับแรกๆ ได้ง่ายมากขึ้น
โดย Hreflang นั้นจะมีรูปแบบ ดังนี้
<link rel=”alternate” hreflang=”x” href=”https://example.com/alternate-page” />
ซึ่งความหมายของโค้ดแต่ละส่วนของ Hreflang มีดังนี้
- link rel=”alternate” คือ แท็กที่ทำให้หน้าเว็บไซต์ หรือเพจนั้นๆ เป็นเวอร์ชันสำรอง เพื่อที่จะนำไปใส่ Hreflang Tag ให้เป็นอีกภาษา
- hreflang=”x” คือ แท็กที่จะเปลี่ยนให้เป็นภาษาอื่นๆ ด้วยการใส่ตัวย่อของภาษานั้นๆ แทนที่ “X” ยกตัวอย่างเช่น hreflang=”en” ก็จะเป็นภาษาอังกฤษ หรือ hreflang=”es” ก็จะเป็นภาษาสเปน เป็นต้น
- href=”https://example.com/alternate-page” คือ แท็กที่ระบุ URL ที่จะนำผู้ใช้งานไปยังหน้าเว็บไซต์ๆ นั้นที่เป็นเวอร์ชันสำรอง
ดังนั้น เมื่อมีการใส่โค้ดของ Hreflang เข้าไปแล้ว จึงทำให้ผู้ใช้งานสามารถไปยังหน้าเว็บไซต์ของเราที่เป็นภาษานั้นๆ ได้ทันที
Website แบบไหนต้องติด Hreflang Tag บ้าง?
การติด Hreflang Tag นั้นเหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีหลากหลายภาษา เพราะ Hreflang เป็นตัวช่วยระบุภาษา ทำให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google รู้ได้ว่าเว็บไซต์ของเราสามารถรองรับภาษาอะไรได้บ้าง เนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานหรือไม่ ถ้าหากมีภาษาตรงกับตำแหน่งที่ตั้งหรือภาษาที่ตั้งค่าไว้บนอุปกรณ์ของผู้ใช้งาน รวมถึงมีเนื้อหาตรงตามที่ผู้ใช้งานต้องการ จะทำให้ Google แสดงเว็บไซต์ของเราที่เป็นภาษานั้นๆ ให้ตรงกับที่ผู้ใช้งานค้นหา เช่น ผู้ใช้งานอยู่ที่ประเทศจีน ตั้งค่าภาษาของอุปกรณ์เป็นภาษาจีน หรือค้นหาด้วยภาษาจีน และในเว็บไซต์ของเรานั้นมีการติด Hreflang Tag เป็นภาษาจีนไว้ พร้อมกับมีเนื้อหาที่ตอบโจทย์การค้นหา จะทำให้ Google แสดงผลการค้นหาเว็บไซต์ของเราในหน้านั้นๆ ที่เป็นภาษาจีนให้กับผู้ใช้งานตามที่ได้ติดแท็กไว้นั่นเอง
Hreflang Tag สำคัญในการทำ SEO มากแค่ไหน?
หลาย ๆ คนที่ทำ SEO หรือเพิ่งเริ่มต้นทำ SEO อาจจะไม่ได้ติด Hreflang ใน SEO เพราะยังไม่รู้ว่าการติด Hreflang Tag มีความสำคัญต่อการทำ SEO อย่างไร และมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน จึงทำให้มองข้ามในเทคนิคนี้ไป โดยการติด Hreflang Tag สามารถช่วยให้เว็บไซต์ของเรารองรับได้หลายภาษา โดย Hreflang Tag มีการแยกลิงก์และเนื้อหาออกมาเป็นของภาษานั้นๆ ทำให้ Google แสดงเว็บไซต์ของเราขึ้นมา เพื่อพาผู้ใช้งานไปยังหน้าเว็บไซต์ที่เป็นภาษานั้นๆ ได้โดยตรงและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้หลากหลายมากกว่า
ซึ่งการติด Hreflang Tag นั้นสามารถช่วยให้เราไม่ต้องมานั่งเสียเวลาในการแปลเว็บไซต์ของเราทีละหน้า และไม่ต้องกังวลว่าบทความหรือคอนเทนต์ที่เราทำไปจะเป็นการทำบทความซ้ำ หรือที่เรียกกันว่าการ Duplicate ที่อาจทำให้ Google เข้าใจผิดได้ว่าเป็นการคัดลอกกันมา ทำให้ดันเพียงหน้าใดหน้าหนึ่งให้ติดอันดับเพียงหน้าเดียว
นอกจากนั้นการใส่ Hreflang ยังช่วยลดโอกาสในการกดออกจากหน้าเว็บไซต์ของเราน้อยลง เพราะ Google ได้ดันอันดับเว็บไซต์ของเราที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้งานค้นหาไว้ในหน้า SERP (Search Engine Results Page) เมื่อเราลดปัญหาในการกดออกได้ จะทำให้คะแนนที่ได้จากเว็บไซต์ภาษาอื่นๆ ที่เป็นเวอร์ชันสำรอง ส่งมายังเว็บไซต์หลัก จะทำให้มีโอกาสในการติดอันดับ SEO ได้ง่ายมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการติด Hreflang Tag ถึงมีความสำคัญในการทำ SEO
วิธีการติด Hreflang Tag ที่ถูกต้องทำอย่างไร?
การติด Hreflang Tag ต้องทำการติดให้ถูกต้อง เพื่อให้โค้ดสามารถระบุภาษาแบบที่เราต้องการได้ และสามารถนำไปใช้งานได้จริง สำหรับใครที่อยากลองติด Hreflang Tag แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี สามารถทำตามวิธีการติด Hreflang Tag ที่ถูกต้องแบบง่าย ๆ ได้ ดังนี้
- HTML Tags เป็นวิธีการติดตั้ง Hreflang Tag ด้วยการใช้ภาษา HTML ซึ่งเป็นการติดตั้งที่ง่าย สะดวก และรวดเร็วมากที่สุด โดยทำการติดตั้งโค้ดลงไปในส่วน <Head> ของโค้ด HTML ในหน้าเว็บไซต์นั้นๆ ที่เราต้องการระบุภาษาเพิ่มเข้าไป ยกตัวอย่างเช่น
- ภาษาอังกฤษ : https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/ เป็น URLs ที่หน้าเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษ และใช้โค้ด Hreflang Tag ใส่ลงไปในส่วน <Head> ของโค้ด HTML ดังนี้
<link rel=”alternate” hreflang=”en”href=”https://www.minimicegroup.com/blog/zh/digital-marketing-agency/” /> - ภาษาจีน : https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/ เป็น URLs ที่หน้าเว็บไซต์เป็นภาษาจีน และใช้โค้ด Hreflang Tag ใส่ลงไปในส่วน <Head> ของโค้ด HTML ดังนี้
<link rel=”alternate” hreflang=”en”href=”https://www.minimicegroup.com/blog/zh/digital-marketing-agency/” />
ซึ่งสังเกตได้ว่า ถ้าหากต้องการระบุภาษาของหน้าเว็บไซต์เรานั้นให้เป็นภาษาอะไร ให้ทำการใส่ตัวย่อของภาษานั้นๆ เข้าไปใน URLs และ Hreflang Tag ให้ถูกต้อง เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้เว็บไซต์ของเรามีโอกาสในการติดอันดับ SEO มากขึ้นแล้ว
- HTTP Headers เป็นวิธีการติดตั้ง Hreflang Tag ในกรณีที่ไม่สามารถใช้ภาษา HTML ได้ เช่น หน้าเว็บไซต์ที่เป็น PDF ซึ่งจะเปลี่ยนมาใส่ Hreflang ในส่วนของ HTTP Headers แทน เพื่อให้หน้าเว็บไซต์ที่เป็น PDF นั้นยังสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ โดยตัวอย่างของการติดตั้งโค้ดลงไปในส่วน HTTP Headers มีดังนี้
- ภาษาอังกฤษ : <https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency.pdf>; และสามารถใส่โค้ด Hreflang ดังนี้ rel=”alternate”;hreflang=”en” ต่อท้ายได้เลย
- ภาษาจีน : <https://www.minimicegroup.com/blog/zh/digital-marketing-agency.pdf>; และสามารถใส่โค้ด Hreflang ดังนี้ rel=”alternate”;hreflang=”zh” ต่อท้ายได้เลย
ซึ่งการใส่ Hreflang Tag ด้วย HTTP Headers สามารถใช้กับเว็บไซต์ปกติได้เช่นกัน แต่เหมาะกับการใช้กับเว็บไซต์แบบอื่นๆ มากกว่า เช่น PDF ตามที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น
- Sitemap เป็นวิธีการติดตั้ง Hreflang Tag ใน Sitemap ของเว็บไซต์เรา ด้วยการใช้ภาษา HTML เช่นกัน แต่มีวิธีการติดตั้งที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่าง เช่น เว็บไซต์ของเราเป็นภาษาอังกฤษ และต้องการเพิ่มภาษาจีนไปด้วย โค้ดที่จะใส่ใน Sitemap ก็จะเป็นดังนี้
<url>
<loc>https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/</loc>
<xhtml:link rel=”alternate” hreflang=”x-default” href=”https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/” />
<xhtml:link rel=”alternate” hreflang=”en” href=”https://www.minimicegroup.com/blog/en/digital-marketing-agency/” />
<xhtml:link rel=”alternate” hreflang=”zh” href=”https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/” />
</url>
<url>
<loc>https://www.minimicegroup.com/blog/zh/digital-marketing-agency/</loc>
<xhtml:link rel=”alternate” hreflang=”x-default”
href=”https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/” />
<xhtml:link rel=”alternate” hreflang=”en” href=”https://www.minimicegroup.com/blog/digital-marketing-agency/” />
<xhtml:link rel=”alternate” hreflang=”zh” href=”https://www.minimicegroup.com/blog/zh/digital-marketing-agency/” />
</url>
อะไรคือ hreflang=”X-default”?
Hreflang=”X-default” คือ แท็กที่นำมาใส่ไว้เป็นทางเลือกให้กับเว็บไซต์ของเรา โดยแท็กนี้ใส่ไว้เผื่อในกรณีที่เว็บไซต์ของเราไม่มีตัวเลือกภาษาที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ หากเกิดกรณีนี้ขึ้นมา ทาง Google จะแสดงผลลัพธ์เป็นหน้าแรกหรือหน้าเว็บไซต์เดิมที่เป็นต้นฉบับให้กับผู้ใช้งานแทน
โดยการติดโค้ด Hreflang=”X-default” นั้นจะติดไว้ในส่วนของ Tag Head ของโค้ด HTML ในหน้าเว็บไซต์นั้นๆ ของเราที่รองรับมากกว่า 1 ภาษา ถ้าหากเว็บไซต์มีภาษาอื่นๆ ก็จะใส่ภาษาอื่นๆ ก่อน และค่อยวางโค้ดดังกล่าวไว้อันล่างสุด เพื่อให้หน้าเว็บไซต์ต้นฉบับแสดงผลขึ้นมา หรือพาผู้ใช้งานไปยังหน้าหลัก เมื่อภาษาของเว็บไซต์เรานั้นไม่แมตช์กับภาษาของผู้ใช้งานได้นั่นเอง
ข้อควรระวังในการติด Hreflang Tag
ถึงแม้ว่าการติด Hreflang Tag นั้นจะเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ยังมีข้อควรระวังในการติด Hreflang สำหรับทำ SEO ดังนี้
- การใช้เครื่องหมายขีดล่าง (Underscore) แทนขีดกลาง (Dash)
- ใช้รหัสภาษาให้ถูกต้องเสมอ เช่น en (ภาษาอังกฤษ) zh (ภาษาจีน) หรือ th (ภาษาไทย) เป็นต้น
- ถ้าหากใช้รหัสประเทศ ต้องใช้รหัสภาษาควบคู่ด้วยเสมอ เช่น hreflang=”en-US” เป็นต้น
- ระวังเว็บไซต์เปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าเว็บไซต์หลักหรือต้นฉบับของหน้านั้นๆ โดยอัตโนมัติ
- ไม่มีการยืนยันลิงก์ระหว่างลิงก์ A และลิงก์ B ว่าเชื่อมต่อกันเรียบร้อยแล้ว
- ไม่มีหน้าลิงก์ส่งกลับมา เช่น ลิงก์ A ลิงก์ไปยังลิงก์ B แล้ว แต่ลิงก์ B ไม่ลิงก์กลับมา
โดยข้อควรรระวังทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ทุกคนที่กำลังจะทำการติดตั้ง Hreflang Tag ควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่หลายๆ คนอาจมองข้ามความสำคัญ และยังเป็นตัวการที่ทำให้เว็บไซต์ของเราโดน Google มองข้ามไปได้อีกด้วย
สรุป
หลังจากทำความรู้จักกันไปแล้วว่า Hreflang Tag เป็นแท็กชนิดหนึ่งของ HTML5 ที่ช่วยระบุภาษาของเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์ของเรานั้นสามารถรองรับได้หลากหลายภาษามากขึ้นและทำให้สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้กว้างขึ้น จึงเป็นอีกตัวช่วยที่สำคัญในการทำ SEO โดยการทำ Hreflang SEO มีวิธีการติดตั้งที่ไม่ยาก ผู้ที่เริ่มต้นทำ SEO ก็สามารถทำได้ แต่มีข้อควรระมัดระวังในการใช้ Hreflang บนเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องหมาย การระบุรหัสภาษา หรือรหัสประเทศ รวมถึงการลิงก์ไป-กลับระหว่างหน้าเว็บไซต์ เป็นต้น ดังนั้น หากอยากจะติด Hreflang ก็ต้องศึกษาวิธีการติดตั้งให้ดีก่อน เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ในด้านของ SEO อย่างชัดเจนมากที่สุด
หากใครที่สนใจเรียนรู้การทำ SEO เพิ่มเติม ทาง Minimice ของเรายังมีบทความ SEO อีกมากมายให้คุณได้เรียนรู้ที่ MINIMICE JOURNAL – SEO BLOG คลังความรู้ SEO ที่จะช่วยให้การทำ SEO ของคุณง่ายและได้ผลดีมากยิ่งขึ้น
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
Hreflang Tag คืออะไร?
Hreflang หรือ Hypertext Reference Language คือ แท็กชนิดหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับ HTML5 ที่เป็นตัวช่วยระบุภาษาของเว็บไซต์ เพื่อให้ Google สามารถรู้ว่าภายในเว็บไซต์เรารองรับภาษาอะไรบ้าง ทำให้ Google รู้ว่าเว็บไซต์ของเรามีภาษาที่ผู้ใช้งานค้นหาหรือไม่ รวมถึงเนื้อหานั้นมีความชัดเจนและตรงกลุ่มเป้าหมายมากน้อยแค่ไหน
Website แบบไหนต้องติด Hreflang Tag บ้าง?
การติด Hreflang Tag นั้นเหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีหลากหลายภาษา เพราะ Hreflang เป็นตัวช่วยระบุภาษา ทำให้เครื่องมือค้นหาอย่าง Google รู้ได้ว่าเว็บไซต์ของเราสามารถรองรับภาษาอะไรได้บ้าง เนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานหรือไม่
Hreflang Tag สำคัญในการทำ SEO มากแค่ไหน?
การติด Hreflang Tag สามารถช่วยให้เว็บไซต์ของเรารองรับได้หลายภาษา โดย Hreflang Tag มีการแยกลิงก์และเนื้อหาออกมาเป็นของภาษานั้น ๆ ทำให้ Google แสดงเว็บไซต์ของเราขึ้นมา เพื่อพาผู้ใช้งานไปยังหน้าเว็บไซต์ที่เป็นภาษานั้น ๆ ได้โดยตรงและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้หลากหลายมากกว่า