Key Takeaway
- E-E-A-T คือแนวทางที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพของเนื้อหาในเว็บไซต์ ประกอบด้วย Expertise, Experience, Authoritaty และ Trust
- เว็บไซต์ต้องทำตาม E-E-A-T Factor เพราะจะช่วยเพิ่มคุณภาพของเนื้อหา สร้างความน่าเชื่อถือ และทำให้มีโอกาสในการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาของ Google
- Google ใช้ E-E-A-T เพื่อประเมินว่าเว็บไซต์สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้หรือไม่ หากไม่เข้าตา จะทำให้เสียอันดับ ลดการเข้าชม และอาจส่งผลต่อรายได้ จึงสำคัญต่อการทำ SEO
- เทคนิคทำเว็บไซต์ให้ตรงกับ E-E-A-T คือใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ สร้างคอนเทนต์ให้แตกต่าง อัปเดตเนื้อหาเสมอ ใช้เนื้อหาทำให้ธุรกิจโปร่งใส และกรองเนื้อหาของ User
ยิ่ง E-E-A-T Factor สูงเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาบน Google มากขึ้นเท่านั้น มาทำความรู้จักกันว่าทำไม Google ถึงใช้เกณฑ์นี้ในการประเมินเนื้อหา และทำให้ E-E-A-T กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในการทำ SEO
E-E-A-T Factor คืออะไร ทำไม Google ถึงมองหาในเว็บไซต์?
E-E-A-T คือคำที่ย่อมาจาก Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Experience (ประสบการณ์), Authority (ความมีอิทธิพล) และ Trust (ความน่าเชื่อถือ) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเนื้อหาในหน้าผลการค้นหา ช่วยให้ Google ตรวจเช็กข้อมูลที่ถูกต้อง ปลอดภัย และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ค้นหา
แนวคิด E-E-A-T Factor มาจาก Search Quality Rater ของ Google ซึ่งใช้ในการประเมินคุณภาพโดยรวมของหน้าเว็บไซต์ หน้าที่หลักคือการตรวจสอบคุณภาพของผลการค้นหา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประโยชน์สูงสุดจากการค้นหาใน Google นั่นเอง
องค์ประกอบของ E-E-A-T Factor ที่เพิ่มคุณภาพให้กับเนื้อหา
4 องค์ประกอบสำคัญของ E-E-A-T Factor ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์โดดเด่นในผลการค้นหาของ Google ได้แก่
1. ความเชี่ยวชาญ (Expertise)
E แรกใน E-E-A-T คือ Expertise หรือ ‘ความเชี่ยวชาญ’ หมายถึงความรู้ ทักษะ และคุณสมบัติที่ผู้สร้างเนื้อหามีอยู่ โดยระดับความเชี่ยวชาญที่จำเป็นสำหรับการผลิตเนื้อหาคุณภาพนั้น จะขึ้นอยู่กับหัวข้อ และวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์นั้นๆ เพราะเมื่อ User เห็นว่าข้อมูล และคำแนะนำมีความเชี่ยวชาญ ก็มีแนวโน้มที่จะไว้วางใจมากขึ้น และ Google ก็จะมั่นใจในการจัดอันดับให้เนื้อหานั้นอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นด้วย
2. ประสบการณ์ (Experience)
E ต่อไป คือ Experience หรือ ‘ประสบการณ์ตรง’ ที่เกี่ยวกับเนื้อหา ช่วยให้เราสามารถเสนอคำแนะนำที่ผ่านการทดลองมาแล้ว ข้อมูลเชิงลึกที่น่าเชื่อถือ ความคิดเห็นที่ไม่ซ้ำใคร เพราะฉะนั้นประสบการณ์ตรงใน E-E-A-T Factor จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างเนื้อหาคุณภาพ
3. ความมีอิทธิพล (Authority)
‘ความมีอิทธิพล’ หรือ Authority ใน E-E-A-T คือชื่อเสียงของเราในฐานะแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ Google ใช้วิธีหนึ่งในการประเมินความมีอิทธิพลคือการดูที่ลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) หรือก็คือลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์เรานั่นเอง ยิ่งมีลิงก์ย้อนกลับที่มีปริมาณ คุณภาพ และความเกี่ยวข้องสูงมากเท่าไร เว็บไซต์ของเราก็จะยิ่งถูกมองว่ามีอิทธิพล และน่าเชื่อถือมากขึ้นเท่านั้น
4. ความน่าเชื่อถือ (Trust)
‘ความน่าเชื่อถือ’ หรือ Trust ใน E-E-A-T Factor เกิดจากประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความมีอิทธิพล อีกอย่างที่สำคัญ คือการทำให้ผู้เยี่ยมชมมั่นใจในเว็บไซต์ และเนื้อหาของเรา ดังนั้น ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ปลอดภัย เนื้อหาถูกต้อง และอัปเดตอยู่เสมอ อย่าลืมว่าต้องมีช่องทางให้ User ขอความช่วยเหลือได้ง่ายๆ ด้วย นอกจากนี้ การมีใบรับรอง หรือคุณสมบัติที่เกี่ยวข้อง ก็จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือได้มากขึ้นอีกด้วย
ทำไมการทำเว็บไซต์ตามหลัก E-E-A-T Factor จึงสำคัญกับ SEO
Google ใช้ E-E-A-T Factor เพื่อดูว่าเว็บไซต์ของเราสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้หรือไม่ ถ้าเว็บไซต์ของเราไม่เข้าตา Google ก็จะเลือกโปรโมตเว็บไซต์อื่นที่ดีกว่า ซึ่งอาจทำให้อันดับของเราเสียไป จำนวนการเข้าชมลดลง และอาจส่งผลให้รายได้หายไปด้วย ดังนั้น อย่าลืมให้ความสำคัญกับ E-E-A-T Factor เพื่อเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
E-E-A-T Factor กับ YMYL คู่หูช่วยจัดอันดับของ Google
YMYL หรือ ‘Your Money or Your Life’ คือแนวทางที่ Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การขายสินค้า อีคอมเมิร์ซ สุขภาพ การดูแลตัวเอง และกฎหมาย เพราะเนื้อหาที่ถูกต้องมีความสำคัญมาก การเขียนเนื้อหามั่วๆ หรือสร้างความเข้าใจผิด อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนได้ ซึ่งเนื้อหาที่ให้ความสนใจ เช่น
- ข่าวสาร (News): เหตุการณ์ปัจจุบันที่ส่งผลต่อสังคม เช่น ข่าวโควิด-19 ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของทุกคน
- การเมืองและกฎหมาย: เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล การหาเสียง หรือกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการดำรงชีพ
- การเงิน: ข้อมูลเกี่ยวกับการธนาคาร การลงทุน และการเงิน ที่มีผลต่อสุขภาพทางการเงิน และวิถีชีวิต
- อีคอมเมิร์ซ: เว็บไซต์ขายสินค้า และบริการ ที่ต้องการข้อมูลส่วนตัว และข้อมูลบัตรเครดิต ที่ต้องมีการคุ้มครองข้อมูลอย่างเคร่งครัด
- สุขภาพ: เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับยา โรงพยาบาล และธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์
- ศาสนาและความเชื่อ: รวมถึงลักษณะทางเพศ สัญชาติ และลักษณะภายนอก ที่อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิต
- การปรับพฤติกรรม: เช่น โภชนาการ การออกกำลังกาย การหางาน และการศึกษา ซึ่งมีผลต่อวิถีชีวิตของผู้คน
YMYL เลยมีบทบาทสำคัญกับเว็บไซต์ที่ขายสินค้า และให้บริการ เพราะเนื้อหาของเราต้องเชื่อมโยงกับ E-E-A-T อย่างแน่นอน ถ้าสามารถผ่านด่าน E-E-A-T Factor ได้อย่างเต็มที่ เว็บไซต์ก็จะมีโอกาสสูงขึ้นในการสร้างความเชื่อมั่น และดึงดูดผู้ใช้งานมากขึ้น
E-E-A-T Factor กับการเสริมสร้างกลยุทธ์ SEO ที่มีประสิทธิภาพ
เราสามารถนำ E-E-A-T มาใช้ในการทำ SEO ได้ มาดูกันว่าการปรับ E-E-A-T Factor เพื่อเสริม SEO สามารถทำได้อย่างไรบ้าง
1. ปรับเอกลักษณ์ของแบรนด์
ลองสังเกตดูว่าผู้คนพูดถึงแบรนด์ของเราอย่างไรบ้าง อย่าไปสนใจว่า Google Bot คิดอย่างไร แต่ให้ฟังเสียงจากผู้ใช้จริงๆ ว่ารู้สึกกับแบรนด์อย่างไร อาจเริ่มด้วยการส่งแบบสอบถาม หรือสำรวจความเห็น เพื่อให้ได้รู้ว่าอะไรที่พวกเขาชอบ หรือไม่ชอบ
หลังจากนั้น ลองตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณว่าให้ความรู้สึกชัดเจน และน่าเชื่อถือมากแค่ไหน มีการรับรองจากองค์กรวิชาชีพหรือไม่? มีความเป็นมืออาชีพไหม? หรือเคยได้รับรางวัลอะไรบ้าง? ข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยพิสูจน์ว่าแบรนด์ของเราเชี่ยวชาญในสิ่งที่ทำ และสามารถสร้างความไว้วางใจให้กับผู้คนได้
2. อัปเดตและแก้ไขเนื้อหา
อัปเดตเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้ทันสมัย และถูกต้องที่สุด โดยเฉพาะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับข่าว เทรนด์ หรือข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ถ้ามีบล็อกโพสต์ที่เขียนไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว และข้อมูลนั้นล้าสมัย อย่าลืมอัปเดตให้เป็นปัจจุบัน
ซึ่งสามารถลบเนื้อหาที่ไม่ต้องการแล้ว หรือรวมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน เพื่อให้มีความยาว และมีคุณค่ามากขึ้น ลองทำให้เนื้อหาน่าสนใจ และมีประโยชน์มากที่สุด เพื่อดึงดูดผู้เข้าชม และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
3. กำหนดโครงสร้างเนื้อหาให้เหมาะสม
ไม่ว่าจะเขียนเนื้อหาด้วยตัวเอง หรือมีทีมงานช่วยสร้างสิ่งที่น่าสนใจ ต้องมั่นใจว่าทุกอย่างผ่านการค้นคว้าอย่างละเอียด เนื้อหาควรมีความเชี่ยวชาญในหัวข้อที่พูดถึง และเชื่อมโยงไปยังหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์ของเราด้วย
แต่อย่าลืมว่าเนื้อหาที่สร้างขึ้น ต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานจริงๆ ไม่ใช่แค่สร้างเพื่อให้ติดอันดับใน Google เท่านั้น ควรทำให้เนื้อหามีคุณค่า และน่าสนใจ เพื่อให้ผู้คนอยากเข้ามาอ่าน และมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์ของเราเช่นกัน
4. เขียนเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ
Google ชื่นชอบเนื้อหาที่สร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยสามารถเพิ่ม E-E-A-T ของเว็บไซต์ได้ง่ายๆ ด้วยการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เช่น แพทย์ ทนาย เชฟ เป็นต้น โดยต้องมีหลักฐานยืนยันความเชี่ยวชาญด้วย เพื่อความชัวร์ก่อนเผยแพร่ ควรตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียด เพื่อให้เนื้อหาถูกต้อง และน่าเชื่อถือเสมอ
5. โปรโมตแบรนด์ให้คนทั่วไปรู้จัก
คนที่ผลิตคอนเทนต์ ควรแสดงข้อมูลส่วนตัว ที่บ่งบอกถึงความชำนาญ และประสบการณ์ ในเรื่องที่เขียน เช่น รางวัลที่เคยได้รับ ประสบการณ์การทำงาน หรือการศึกษา เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เมื่อสร้างคอนเทนต์แล้ว อย่าลืมนำไปเผยแพร่ในช่องทางอื่นๆ ด้วย เช่น โซเชียลมีเดีย เว็บบอร์ด หรือส่งอีเมล ให้กับกลุ่มคนที่สนใจในเนื้อหานั้นๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึง และสร้างความน่าสนใจให้กับเว็บไซต์ของเรา
6. สร้างเว็บไซต์ให้เข้าถึงง่าย
ไม่ว่าจะใช้งานบนมือถือ หรือคอมพิวเตอร์ เนื้อหาควรอ่านง่าย เข้าถึงได้สะดวก และไม่มีสิ่งรบกวน เช่น โฆษณาที่เยอะเกินไป ลองลดโฆษณาลงบ้าง เพื่อให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีขึ้น อีกเรื่องที่สำคัญคือความเร็วของเว็บไซต์
เคยไหมที่หน้าเว็บไซต์โหลดช้า แล้วเราก็ต้องเปลี่ยนไปดูเว็บไซต์อื่นแทน? เพราะฉะนั้น ควรตรวจสอบความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ ยิ่งเว็บไซต์โหลดไวเท่าไร User ก็ยิ่งได้รับข้อมูลเร็วขึ้นมากเท่านั้น
7. ปรับปรุงเว็บไซต์อยู่เสมอ
ตั้งเป้าพัฒนาเว็บไซต์อย่างน้อยวันละ 1% ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในเนื้อหาคุณภาพ หรือทีมงานผู้เชี่ยวชาญ อย่าลืมเสริมความน่าเชื่อถือด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง และอ้างอิงอย่างเหมาะสม สิ่งเหล่านี้ จะช่วยให้เว็บไซต์ไต่อันดับขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายจะนำมาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา
เทคนิคสร้างความน่าเชื่อถือในเว็บไซต์ด้วย E-E-A-T Factor
เมื่อเราเข้าใจถึงความสำคัญของ E-E-A-T Factor กันแล้ว มาดูเทคนิคในการปรับเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ตามหลัก E-E-A-T Factor เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ และช่วยให้เว็บไซต์ของคุณไต่อันดับได้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยมีเทคนิคง่ายๆ ดังนี้
รวมแหล่งข้อมูลและอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ (Include Clear Sources and Credits)
การที่เว็บไซต์ หรือแบรนด์ของเราถูกพูดถึงโดยแหล่งที่น่าเชื่อถือ ช่วยเพิ่มข้อมูลรับรอง E-E-A-T ได้ ยิ่งคนที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ปรากฏตัวในแหล่งข้อมูลที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์มากเท่าไร Google ก็จะยิ่งมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้มากขึ้น
วิธีการอ้างอิงก็มีหลากหลายแง่ เช่น หากเขียนบทความเกี่ยวกับสุขภาพอาจเชิญผู้เชี่ยวชาญอย่างแพทย์เฉพาะทางมาร่วมในการเขียนบทความนี้ และให้เครเดิตแพทย์หรืออ้างอิงไปยังโปรไฟล์ของแพทย์คนนั้นโดยเฉพาะ หรือหากเขียนบทความเกี่ยวกับการเงินก็อาจเชิญกูรูด้านการเงินมาร่วมเขียนและให้เครดิตกูรูหรือนักวิเคราะห์ท่านนั้น เป็นต้น
สร้างคอนเทนต์ให้มีความแตกต่าง (Leverage Your Content Differentiation Factor)
ศิลปะในการสร้างคอนเทนต์ที่แตกต่าง ช่วยให้เนื้อหาของเราโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยควรนำเสนอข้อมูล หรือความคิดเห็นที่ไม่เหมือนใคร ใช้รูปภาพ วิดีโอ อินโฟกราฟิก หรือเสียงประกอบ เพื่อทำให้คอนเทนต์น่าสนใจ ช่วยดึงดูดสายตา และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ User รู้จักกับแบรนด์ และสำรวจสิ่งที่ผู้คนหลงใหลเกี่ยวกับแบรนด์
โดยการสร้างคอนเทนต์ที่มีความแตกต่าง และสามารถตอบโจทย์ E-E-A-T Factor ได้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และปรับปรุงการจัดอันดับในผลการค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตรวจสอบและอัปเดตเนื้อหา (Audit and Update Your Content)
การตรวจสอบ และอัปเดตเนื้อหานั้นสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเนื้อหาของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เมื่อเวลาผ่านไป ข้อมูลเก่าก็อาจจะไม่ทันสมัย และเมื่อคุณมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นมากขึ้น ก็สามารถปรับปรุง หรือเพิ่มข้อมูลใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ได้ ไม่เพียงแค่ทำให้ข้อมูลสดใหม่ แต่ยังช่วยให้ผู้ชมได้รับประโยชน์สูงสุดจากสิ่งที่คุณนำเสนออีกด้วย
ปรับความโปร่งใสให้ธุรกิจด้วยเนื้อหา (Improve Your Business Transparency with Content)
เนื้อหาที่นำเสนอเพื่อปรับปรุงความโปร่งใสของธุรกิจ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้อย่างมาก เมื่อแสดงความโปร่งใสในข้อมูล รวมถึงการยอมรับข้อผิดพลาดนั้น จะช่วยสร้างความไว้วางใจกับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ และยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าอีกด้วย เพราะผู้คนมักจะรู้สึกดีกับแบรนด์ที่กล้าเปิดเผย และยอมรับความผิดพลาด ทำให้แบรนด์ของเราดูเป็นมิตร และเข้าถึงง่ายมากขึ้น
กรองเนื้อหาของผู้ใช้ (Moderate User-Generated Content)
การกลั่นกรองเนื้อหาที่ User สร้างขึ้น เป็นสิ่งสำคัญมากในการรักษามาตรฐานคุณภาพของเว็บไซต์ตาม E-E-A-T Factor โดยช่วยให้แน่ใจว่าข้อมูลที่นำเสนอมีความน่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์สำหรับผู้ชม นอกจากนี้ ควรหมั่นลบเนื้อหาที่เป็นสแปมออก เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ ช่วยสร้างความไว้วางใจ และความพึงพอใจให้กับผู้เข้าชม ทำให้กลับมาใช้บริการอีกครั้ง และแนะนำให้กับผู้อื่นต่อไป
เข้าใจให้กระจ่างกับข้อเท็จจริงของ E-E-A-T Factor
เพื่อให้เข้าใจ E-E-A-T อย่างถูกต้อง มาลองดูว่าข้อมูลไหนที่ไม่เกี่ยวข้อง และอาจทำให้เราเข้าใจผิดเกี่ยวกับแนวคิดนี้กัน
E-E-A-T Factor ไม่ใช่ปัจจัยโดยตรงสำหรับการจัดอันดับ
หลัก E-E-A-T ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการจัดอันดับผลการค้นหาบนหน้า SERP (Search Engine Results Page) แต่ถือเป็นแนวทางที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา และแบรนด์ เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการจัดอันดับ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ ซึ่งสำคัญมาก เพราะไม่มีใครชอบรอนาน การจัดเรียงเนื้อหาให้อ่านง่าย และการวางหัวข้อให้เด่นชัด ก็ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว และสะดวกมากขึ้น
E-E-A-T Factor ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ได้ทันที
เราไม่สามารถคาดหวังผลลัพธ์ทันทีจากการปรับเนื้อหาตามหลัก E-E-A-T Factor ถึงแม้ว่าการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์จะทำได้ง่ายตามคำแนะนำในเรื่องการทำ SEO ด้วย E-E-A-T แต่ต้องจำไว้ว่า ผลลัพธ์อาจใช้เวลาพอสมควร ถ้า E-E-A-T ไม่ตรงตามที่กำหนดไว้ ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น
E-E-A-T Factor ไม่เท่ากับอัลกอริทึม
E-E-A-T ไม่ใช่อัลกอริธึมในตัวเอง แต่ทำหน้าที่ช่วยปรับแต่งอัลกอริธึมของ Google ให้ดีขึ้น เพื่อประโยชน์ของ User โดย E-E-A-T Factor ใช้ในการบ่งบอกถึงคุณภาพ และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เท่านั้น
สรุป
E-E-A-T Factor ย่อมาจาก Experience, Expertise, Authority และ Trust ซึ่งเป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึงคุณภาพ และความน่าเชื่อถือของเนื้อหาบนเว็บไซต์ มีความสำคัญกับ SEO เพราะช่วยเพิ่มความไว้วางใจจากผู้ใช้ และทำให้เว็บไซต์มีโอกาสสูงขึ้นในการจัดอันดับที่ดีในผลการค้นหา
การปรับปรุง E-E-A-T สามารถทำได้โดยการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง ให้แลดูเป็นผู้เชี่ยวชาญ และเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส รวมถึงการใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น การใส่รีวิว หรือการอ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น
Minimice Group มีบริการ SEO ที่มุ่งเน้นการปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์ในผลการค้นหา โดยเน้นเพิ่มคุณภาพเนื้อหา สร้าง Backlink ที่มีประสิทธิภาพ และวิเคราะห์คำค้นหา เพื่อดึงดูดผู้ใช้ และเพิ่มโอกาสในการติดอันดับที่ดี ให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่อง E-E-A-T เพราะที่นี่ เราเข้าใจวิธีสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
มาดูคำถามที่คนยังสงสัยเกี่ยวกับ E-E-A-T Factor กัน หลายคนอาจถามถึงวิธีการนำไปใช้ การวัดผล หรือปรับปรุง E-E-A-T บนเว็บไซต์ ความเข้าใจในเรื่องนี้จะช่วยให้สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ และน่าเชื่อถือมากขึ้น
ความแตกต่างระหว่าง E-A-T Factor กับ E-E-A-T Factor?
การปรับปรุงตามหลัก E-A-T หรือ E-E-A-T ช่วยให้เว็บไซต์แสดงถึงคุณภาพเนื้อหาเหมือนกัน โดย E-A-T ย่อมาจาก Expertise (ความเชี่ยวชาญ) Authority (ความน่าเชื่อถือ) และ Trust (ความไว้วางใจ) ต่างกันที่ E-E-A-T เพิ่มคำว่า Experience (ประสบการณ์) เข้ามา ซึ่งหมายถึงการที่ผู้เขียนมีประสบการณ์ตรงในเรื่องที่เขียน
คอนเทนต์แบบไหนที่ไม่ถูกหลัก E-E-A-T Factor?
- การให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือคอนเทนต์ไม่อัปเดต
- ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียน หรือแหล่งข้อมูล
- การเขียนเนื้อหาที่ซ้ำกับแหล่งอื่นโดยไม่มีมุมมองใหม่
- ให้ข้อมูลที่เกินจริงเพื่อหลอกให้คลิก ทำให้ User หลงเชื่อ หรือเข้าใจผิด
- เนื้อหาสำคัญไม่เชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ เช่น เว็บไซต์เกี่ยวกับอาหาร แต่เนื้อหาเกี่ยวกับการแต่งตัว
Google จัดอันดับจาก E-E-A-T Factor อย่างไร?
การจัดอันดับที่ดีให้ขึ้นในผลการค้นหาของ Google วัดจากการมี Backlink ที่มาจากโดเมนที่เกี่ยวข้อง และมีความน่าเชื่อถือสูง จะช่วยเสริมสร้าง E-E-A-T และเป็นกลยุทธ์ SEO ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสในการแสดงผลสูงขึ้นในผลการค้นหา