ทำความรู้จักกับทฤษฎี Product Life Cycle หรือ วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์

Product Life Cycle ของรักนักวางแผน เพื่อไม่ให้ธุรกิจของคุณถูกลืม

Table of Contents

หากพูดถึงช่วงเวลาของชีวิตมนุษย์ หลายๆ คนคงสามารถแบ่งช่วงเวลาออกเป็นช่วงๆ เช่น วัยทารก วัยรุ่น วัยกลางคน และ วัยชรา ซึ่งแต่ละช่วงเวลาก็จะมีบทบาทและหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป แต่เมื่อพูดถึงสิ่งของ เช่น สินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือ บริการต่างๆ หลายคนอาจไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้ก็ล้วนมีวัฎจักรชีวิตเป็นของตนเองเช่นเดียวกัน บทความนี้จึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับทฤษฎี Product Life Cycle หรือ วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ คือกลยุทธ์ที่แบ่งช่วงเวลาของสินค้าหรือบริการออกเป็นช่วงๆ เพื่อช่วยให้นักการตลาดสามารถวางแผนการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่ช่วงเวลาที่สินค้าถูกวางขาย ไปจนถึงช่วงที่สินค้าถูกนำออกจากตลาด

ขั้นตอนและช่วงของ Product Life Cycle พร้อมกลยุทธ์ในแต่ละ Stage

Product Life Cycle มีกี่ขั้นตอน? พร้อมกลยุทธ์ในแต่ละ Stage

Product Life Cycle คือ ทฤษฎีที่เชื่อว่าสินค้า ผลิตภัณฑ์ หรือ บริการต่างๆ นั้นล้วนมีอายุขัยเป็นของตนเอง สินค้าหรือผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดจะสามารถแบ่งช่วงเวลาออกได้เป็น 4 ช่วงเวลาหลัก คือ

  • ช่วงแนะนำสินค้าสู่ตลาด (Introduction Stage)
  • ช่วงเจริญเติบโต (Growth Stage)
  • ช่วงเติบโตเต็มที่ (Maturity Stage)
  • ช่วงถดถอย (Decline Stage)

แต่ละช่วงเวลาต่างก็ต้องการกลยุทธ์ที่แตกต่างกันในการบริหารและดูแล มาดูความแตกต่างของแต่ละขั้นตอนกันได้เลย

Introduction Stage

Introduction Stage หรือ ช่วงแนะนำสินค้าสู่ตลาด หลังจากที่เราทุ่มเทเวลาในการพัฒนาสินค้าขึ้นมาหนึ่งชิ้น ก็เป็นช่วงเวลาที่สินค้าจะถูกส่งเข้าไปแข่งขันในตลาดเป็นครั้งแรก ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะการรับรู้ตัวตน และความต้องการของตลาดที่มีต่อสินค้ายังมีน้อย ซึ่งหมายถึงยอดขายที่น้อยตามไปด้วยเช่นกัน ซ้ำยังต้องใช้งบส่วนใหญ่ไปกับการตลาดและการโฆษณา เพื่อให้แบรนด์หรือผลิตภัณฑ์กลายเป็นที่รู้จักและจดจำของกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ยังเป็นช่วงแรกที่แบรนด์ต้องทำการ ทดลอง และทำการหาช่องทางหลักในการกระจายสินค้าออกสู่ตลาดอีกด้วย

กลยุทธ์ในช่วง Introduction Stage

  • หาช่องทางหลักในการจัดจำหน่ายสินค้า – แบรนด์อาจต้องทำการประเมิณแต่ละช่องทางในการจำหน่ายสินค้า ว่าช่องทางไหนสามารถทำกำไรให้กับบริษัทได้มากที่สุด เพื่อให้สามารถวางแผนต่อได้ว่าควรทุ่มงบประมาณไปกับช่องทางไหนมากที่สุด
  • หาลูกค้าหลักให้เจอ – บ่อยครั้งที่กลุ่มลูกค้าที่เราต้องการ อาจไม่ตอบสนองต่อสินค้าของเราตามที่เราคาดหวัง แต่เราก็อาจจะเจอกับลูกค้ากลุ่มอื่นๆ ที่เราคาดไม่ถึงเช่นกัน ยิ่งเรารู้จักลูกค้าดีมากเท่าไหร่ก็จะช่วยให้ขั้นตอนต่อไปของ Product Life Cycle ง่ายขึ้นเท่านั้น
  • สร้างความต้องการสินค้าโดยการให้ทดลองใช้สินค้าหรือบริการ – คำชมและคำวิจารณ์จากลูกค้าเป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเติบโต การให้ลูกค้าทดลองชิม หรือ ใช้สินค้าของเรานอกจากจะเป็นการโปรโมทสินค้าแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีในการสังเกตุผลตอบรับของตลาดที่มีต่อสินค้าของเราอีกด้วย
  • ร่วมมือกับคู่ค้าที่เหมาะสม – การร่วมมือกับคู่ค้าที่ดี ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ที่เป็นพันธมิตร หรือ อินฟลูเอนเซอร์ที่มีฐานลูกค้าตรงตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยเพิ่มการรับรู้ตัวตนของแบรนด์ได้อย่างมหาศาล

Growth Stage

Growth Stage หรือ ช่วงเจริญเติบโต ไม่ใช่สินค้าทุกตัวที่ถูกปล่อยออกสู่ตลาดจะสามารถผ่านมาถึงขั้นที่สองได้ โดยเป็นช่วงที่เกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดรับรู้การมีอยู่ของสินค้า และความต้องการสินค้าพุ่งสูงขึ้น ณ จุดนี้เป็นจุดที่บริษัทอาจมีผลกำไรที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงแรก แต่ก็เป็นจุดที่มักจะมีคู่แข่งเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทำให้ต้องโฟกัสไปที่การสร้างจุดขายที่ชัดเจน หรือ อาจโดนบีบให้แข่งขันทางด้านราคากับคู่แข่งของเรา

กลยุทธ์ในช่วง Growth Stage

  • พัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการ – เป็นการต่อยอดจากสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากตลาดเกี่ยวกับสินค้าของเราในช่วงแรก โดยเราควรนำข้อมูลเหล่านั้นมาพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองตความต้องการของผู้บริโภคให้มากขึ้น
  • สร้างจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่ง – คู่แข่งที่มากขึ้นหมายถึงการแข่งขันทางการตลาดที่ร้อนแรงขึ้น บ่อยครั้งที่การแข่งขันถูกชี้วัดจากราคาของสินค้า แต่หากเราสามารถนำเสนอบริการหลังการขายหรือบริการอื่นๆ ที่ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจในตัวสินค้าหรือบริการได้แล้วละก็ จะทำให้เราสามารถแข่งขันในตลาดได้ในระยะยาว
  • เพิ่มช่องทางในการขาย – เป็นการต่อยอดจากการทดลองช่องทางการขายในช่วงแรก โดยเราสามารถพิจารณาว่าช่องทางไหนที่สามารถทำเงินให้เราได้ดีและเราจะสามารถ ขยายช่องทางเหล่านั้นได้อย่างไร เช่น การเพิ่มสาขา การขยายช่องทางการขายออนไลน์ หรือ การรับตัวแทนจำหน่าย เป็นต้น

Maturity Stage

Maturity Stage หรือ ช่วงเติบโตเต็มที่ เป็นช่วงที่หลายๆ ธุรกิจอยากที่จะคงอยู่ให้นานที่สุด เป็นช่วงที่ดีที่สุดของ Product Life Cycle คือธุรกิจมียอดขายที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ไม่หวือหวาเหมือนช่วงก่อน แต่ก็เป็นช่วงที่สามารถทำกำไรได้สูงสุดในวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เป็นช่วงที่มีการแข่งขันสูงที่สุด อาจมีคู่แข่งบางคนหายไปจากตลาด แต่ก็มีคู่แข่งใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ และคู่แข่งที่ยังอยู่ก็สามารถแข่งขันกับเราได้อย่างสูสี เป็นช่วงโค้งสุดท้ายที่ธุรกิจยังคงเติบโตก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์

กลยุทธ์ในช่วง Maturity Stage

  • หาฐานลูกค้าใหม่ๆ – หากเราถึงจุดที่ยอดขายเริ่มถึงจุดอื่มตัว ก็อาจถึงเวลาที่เราต้องทำการขยายฐานลูกค้า ไม่ว่าด้วยวิธีการทำการตลาดออนไลน์ หรือการมองหาตลาดกลุ่มเฉพาะ (Niche Market) ที่ตรงกับสินค้าหรือบริการของเรา
  • แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดมาจากคู่แข่ง – นำเสนอบริการหรือข้อเสนอที่คู่แข่งไม่สามารถสู้กับเราได้เช่น การบริการที่ดีกว่า โปรโมชั่น หรือ ของแถม ที่ทำให้เราสามารถเปลี่ยนลูกค้าของคู่แข่งให้กลายมาเป็นลูกค้าของเรา

Decline Stage

Decline Stage หรือ ช่วงถดถอย เปรียบเสมือนช่วงวัยชราของมนุษย์ เป็นช่วงที่เราจะเริ่มเห็นการลดลงของยอดขาย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเช่น สินค้าหมดกระแสนิยม มีเทคโนโลยีอื่นมาแทนที่ หรือ สินค้าไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งคนอื่นๆ ในตลาดได้ เป็นช่วงโค้งสุดท้ายของ Product Life Cycle ที่เจ้าของธุรกิจจะต้องทำการตัดสินใจว่าจะใช้กลยุทธ์แบบไหนในการขับเคลื่อนให้กิจการเดินต่อไปได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของบริการที่มาถึงจุดสิ้นสุดของ Product Life Cycle คือ บริการเช่าวีดีโอของ Blockbuster ซึ่งเคยมีสาขาอยู่ทั่วอเมริกา แต่ในที่สุดก็ต้องปิดตัวกิจการลงในปี 2014 เนื่องจากไม่สามารถที่จะแข่งขันกับคู่แข่ง Streaming Platform เช่น Netflix หรือ YouTube ได้

กลยุทธ์ในช่วง Decline Stage

  • ปรับโฉมสินค้าใหม่ให้ตรงกับกระแสนิยม – อาจเป็นการคิดค้นสินค้าตัวใหม่ หรือนำเอาสินค้าเดิมมาพัฒนาหรือปรับปรุงให้ทันสมัย และตรงกับตามความต้องการของผู้บริโภค
  • ลดงบประมาณที่ใช้ในการทำการตลาดสำหรับสินค้าตัวเดิม – หากเรารู้ว่าสินค้าของเรามาถึงทางตัน มันอาจจะดีกว่าที่เราจะเก็บงบประมาณไปใช้ในการพัฒนาสินค้าใหม่ มากกว่าการฝืนโปรโมทสินค้าที่ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดอีกต่อไป
  • เคลียร์สต๊อคสินค้า – ลดราคาสินค้าที่ค้างสต๊อคเพื่อให้เรามีสภาพคล่องทางการเงิน และเงินไม่จมอยู่ในสินค้าที่อาจจะขายไม่ได้ราคาเต็มเหมือนอย่างเคย
  • หาแง่มุมใหม่ในการขายสินค้า – สินค้า “ตกรุ่น” ไม่ได้หมายความว่าไม่มีตลาดเสมอไป บางครั้งการนำเสนอแง่มุมใหม่ๆ กับสินค้าบางชนิด ก็สามารถทำให้มันกลายเป็นของสะสมสำหรับคนที่ชื่นชอบของย้อนยุคได้ เช่น แผ่นเสียง ตลับเทป หรือ กล้องวินเทจ เป็นต้น

ประโยชน์ของ Product Life Cycle

Product Life Cycle มีประโยชน์ต่อคนทำธุรกิจอย่างไร

การทำ Product Life Cycle Management (PLM) คือการนำหลักการของ Product Life Cycle เข้ามาช่วยจัดการแผนธุรกิจในแต่ละช่วงเวลาของวงจรชีวิตผลิตภัณท์ ธุรกิจที่ใช้หลัก PLM ในการวางแผนธุรกิจ สามารถช่วยให้การทำงานของผู้บริหาร ”ง่ายขึ้น” ในหลายๆ ด้าน เช่น

  • การสื่อสารง่ายขึ้น – การใช้หลักการ PLM เข้ามาช่วยวางแผนทางธุรกิจ ทำให้การสื่อสารของคนในองค์กรง่ายขึ้น เพราะสามารถเห็นอย่างเป็นรูปธรรมว่า ในขณะนี้สินค้ากำลังอยู่ในช่วงเวลาไหน และความคาดหวังของผู้บริหารในแต่ละลำดับขั้นตอนเป็นอย่างไร  
  • วางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจง่ายขึ้น – Product Life Cycle Management คือเครื่องมือที่ช่วยใช้ การวางแผนเป็นไปอย่างราบรื่น เสมือนเรามีคู่มือในการทำธุรกิจว่าเราควรทำอะไรบ้างในแต่ละขั้นตอนของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ทำให้รู้ว่าช่วงไหนควรใช้งบประมาณในการทำอะไร และรู้ว่าควรตั้งเป้าหมายของยอดขายอย่างไรในแต่ละช่วงเวลา
  • สามารถวิเคราะห์และประเมิณคู่แข่งได้ง่ายขึ้น – เราสามารถใช้หลักการ PLM ในการประเมิณคู่แข่งของเราว่าอยู่ในขั้นตอนไหนของวัฎจักร ทำให้เราเห็นจุดอ่อน จุดแข็ง หรือช่องว่างทางธุรกิจที่เราอาจจะเอาชนะคู่แข่งในตลาดได้
  • พัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น – หนึ่งในหัวใจหลักของการทำ Product Life Cycle คือ การเก็บข้อมูลของลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกๆ ยุคสมัย  
  • คัดผลิตภัณฑ์ที่ควรเก็บ หรือ เลิกผลิตได้ง่ายขึ้น – การเข้าใจถึงแต่ละขั้นตอนของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ทำให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าสินค้าตัวไหนยังคงความนิยม และตัวไหนกำลังเข้าสู่ช่วงถดถอย ทำให้การปรับกลยุทธ์เกิดขึ้นได้รวดเร็วและทันท่วงที

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ Product Life Cycle

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ Product Life Cycle

เช่นเดียวกับวงจรชีวิตมนุษย์ สินค้าหรือผลิตภัณฑ์แต่ละอย่างต่างก็มีอายุขัยไม่เหมือนกัน ในความเป็นจริงแล้ว สินค้าส่วนใหญ่ที่ถูกปล่อยเข้ามาในตลาดนั้นอาจจะไม่สามารถเข้าสู่ช่วงเวลาทั้ง 4 ขั้นตอนของ Product Life Cycle ได้เสียด้วยซ้ำ เพราะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เช่น

  • ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี – ในประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด อาจทำให้สินค้ามีช่วงเวลาวัฏจักรที่สั้นลง เนื่องด้วยความเร็วที่เทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่เทคโนโลยีเก่า ซึ่งสวนทางกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ที่มีอัตราการเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ต่ำ และอายุขัยของสินค้าที่ยาวนานกว่า    
  • อัตราความเร็วในการยอมรับสินค้า – ผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ หรือ แต่ละประเทศมีอัตราความเร็วในการยอมรับสินค้าที่ไม่เท่ากัน หากการยอมรับสินค้าเกิดขึ้นเร็ว ก็มักส่งผลให้สินค้ามีอายุขัยที่สั้นเช่นเดียวกัน เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคที่มีนิสัยยอมรับสินค้าอย่างรวดเร็ว ย่อมมีแนวโน้มที่จะยอมรับสินค้าคู่แข่งเร็วเช่นเดียวกัน
  • ความยากในการเข้าตลาดของคู่แข่ง – หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ Product Life Cycle คือ จำนวนของคู่แข่งที่เข้าสู่ตลาด หากสินค้าหรือบริการของเราเป็นแบบที่ถูกลอกเลียนแบบได้ง่ายและมีคู่แข่งใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การแข่งขันที่มีมากอาจทำให้ตลาดถึงจุดอิ่มตัวไวขึ้น ส่งผลให้สินค้ามีวัฏจักรชีวิตที่สั้นลงนั่นเอง    
  • การบริหารความเสี่ยงของกิจการ – การดำเนินธุรกิจนั้นต้องจะต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายๆ ด้าน ธุรกิจที่มีแผนสำรองในการรับมือกับวิกฤตต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเช่น ภัยธรรมชาติ ปัญหาการเมือง หรือ โรคระบาด ก็มีโอกาสที่จะอยู่รอดได้ยาวนานกว่าธุรกิจที่ไม่เคยคิดแผนสำรองไว้เลย
  • ความมั่นคงทางการเงินของธุรกิจ – ถึงแม้ว่าสินค้าจะขายดี แต่หากบริษัทขาดสภาพคล่องทางการเงิน หรือมีการบริหารงบดุลที่ผิดพลาด ก็จะส่งผลให้สินค้าของบริษัทนั้นมีอายุสั้นลงเช่นเดียวกัน
  • การจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ – สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร ย่อมมีข้อได้เปรียบในเรื่องอายุขัยของสินค้า ยิ่งสิทธิบัตรให้การคุ้มครองสิทธินานเท่าไหร่ อายุขัยของสินค้าก็จะยาวนานมากขึ้นเท่านั้น

ตัวอย่างของ Product Life Cycle

ตัวอย่าง Product Life Cycle Case Study

เพื่อให้เห็นภาพของหลักการใช้ Product Life Cycle ในการวางกลยุทธ์ของธุรกิจ เราจึงได้ทำการยก Product Life Cycle ตัวอย่างของแบรนด์น้ำดำชื่อดังเช่น Pepsi มาเป็น Case Study ว่ากว่าที่จะมาเป็นบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่อย่างที่เรารู้จักกันในวันนี้ บริษัทต้องเจออะไร และใช้กลยุทธ์อะไรในแต่ละช่วงเวลาของวัฏจักรผลิตภัณฑ์

ตัวอย่าง Product Life Cycle ของ Pepsi

Introduction Stage

จุดเริ่มต้นของเป๊ปซี่เกิดขึ้นโดยเภสัชกรชื่อ นายเคเลบ แบรดแฮม (Caleb Bradham) โดยจุดประสงค์แรกของแป๊ปซี่คือการเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยลดอาการท้องอืด (Dyspepsia) ซึ่งกลายเป็นที่มาของชื่อ “Pepsi Cola” ในเวลาต่อมา โดยเคเลบเสียเงินในการจดชื่อทางการค้าของ “Pepsi Cola” เป็นจำนวน 100 เหรียญสหรัฐ ซึ่งหากเทียบกับอัตราเงินเฟ้อในปี 2014 แล้วจะพบว่ามันเทียบเท่ากับมูลค่าถึง 2,516.34 เหรียญ (ประมาณ 87,000 บาท) เลยทีเดียว จะเห็นได้ว่าแม้ก่อนที่สินค้าจะถูกวางขาย เคเลบก็ต้องเสียเงินจำนวนหนึ่งไปกับการตั้งแบรนด์และผลิตสินค้าลอตแรก โดยในช่วงเริ่มต้นนั้น เป็บซี่ถูกขายผ่านเครื่องกดในร้านขายยาของเคเลบ ไม่ได้มีการบรรจุใส่ขวดอย่างในปัจจุบัน และไม่ได้มีการจัดโปรโมชันลดราคาสินค้าในช่วงเปิดตัว แต่ก็มีการใช้นักแข่งรถชื่อดังอย่าง บาร์นีย์ โอลฟีลด์ (Barney Oldfield) ในการช่วยโฆษณาสินค้า ถือเป็นโชคดีของเคเลบที่ผลตอบรับสินค้าดีเกินคาด โดยเขาสามารถขายเป๊ปซี่ได้มากถึง 7,900 แกลลอนในปีแรกทิ่เริ่มวางขาย

Growth Stage

ในปี ค.ศ. 1923 บริษัท Pepsi-Cola ล้มละลายเนื่องจากผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่บริษัทได้ถูกซื้อต่อโดยบริษัท Loft Inc. ในช่วงเติบโต บริษัท Pepsi-Cola ได้มีการปรับเปลี่ยนในเชิงโครงสร้างมากมาย เช่น การปรับชื่อเหลือแค่ Pepsi เพื่อสร้างความต่างออกมาจากคู่แข่งอย่าง Coca-Cola การปรับเปลี่ยนรูปแบบของสินค้าจาก “ตัวยา” สู่ “เครื่องดื่ม” ทำให้สินค้าสามารถที่จะถูกนำมาวางขายผ่านช่องทางที่กว้างขึ้น และ การบรรจุลงขวดแทนการกดจากตู้กดในร้านขายยา นอกจากนี้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เป๊ปซี่ยังสามารถเอาชนะ Coca-Cola ในเรื่องยอดขาย ด้วยการตั้งราคาขายให้ต่ำกว่าโค้กถึงสองเท่า และยังมีการโฆษณาผ่านทั้งวิทยุและทีวี โดยเฉพาะการโฆษณาอันโด่งดังของ Pepsi Challenge ที่แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบรสชาติของเป๊ปซี่มากกว่าโค้ก ทั้งหมดนี้ทำให้กระแสของเป๊ปซี่พุ่งกระฉูดและเกือบที่จะทำให้โค้กล้มละลายเลยทีเดียว

Maturity Stage

ตั้งแต่ปี 1980 มาจนถึงปัจจุบัน เป๊ปซี่ยังคงได้รับความนิยมจากคนทั่วโลกและยังคงอยู่ในช่วง เจริญเติบโตเต็มที่ จะเห็นได้ว่าบริษัทยังคงทำยอดขายให้กับบริษัทแม่ได้อย่างต่อเนื่องโดยในปี 2021 นั้นสามารถทำยอดขายได้มากถึง 79,474 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เลยทีเดียว ช่วงของการเติบโตเต็มวัยเป็นช่วงเวลาที่เจ้าของกิจการต้องการทำเงินจากธุรกิจให้ได้มากที่สุด สำหรับกลยุทธ์ที่เป๊ปซี่ใช้ในช่วงนี้นั้น จะเป็นการเพิ่มยอดขายผ่านการหาตลาดใหม่ๆ เช่นการทำ Pepsi Max ออกมาตอบสนองเทรนด์การดูแลสุขภาพที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น หรือ การแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมาจากคู่แข่ง โดยในปัจจุบันเป๊ปซี่ก็ยังคงนำเสนอว่าตนเองเป็นเครื่องดื่มน้ำดำที่คุ้มค่าต่อราคามากกว่าโค้ก นอกจากนี้งบในการโฆษณาไม่ได้มุ่งเน้นแค่เฉพาะให้คนรู้จักแบรนด์ แต่ใช้ดารา ศิลปิน หรือ คนมีชื่อเสียง มาช่วยโปรโมท เพื่อให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าเป๊ปซี่เป็นเครื่องดื่มที่ “ทันสมัย” กว่าคู่แข่ง

Decline Stage

ในปัจจุบัน เรายังไม่เห็นวี่แววของการเสื่อมถอยของแบรนด์เป๊ปซี่ แต่หากเมื่อวันนั้นมาถึง สิ่งที่แบรนด์ควรทำ ก็คือการหามุมมองใหม่ในการขายสินค้า เหมือนเช่นที่เคยทำในอดีต (จากการปรับโฉมจาก “ยาแก้ท้องอืด” มาสู่ “เครื่องดื่ม”) หรือ ต้องเป็นการลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น เช่นตัดงบในการโฆษณาสินค้าออก และตัดไลน์ผลิตให้เหลือสินค้าตัวที่ยังทำกำไรให้กับบริษัท พร้อมทั้งยกเลิกการผลิตรวมทั้งระบายสินค้าที่ค้างสต๊อคผ่านการจัดโปรโมชันลดราคา เป็นต้น

สรุป

จะเห็นได้ว่า Product Life Cycle คือกลยุทธ์สำคัญที่ถูกนำไปใช้งานโดยแบรนด์ต่างๆ ทั่วโลก การใช้ หลัก PLC ในการวางแผนธุรกิจ ช่วยให้แบรนด์สามารถกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการบริหารจัดการสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ในแต่ละช่วงอายุของวัฏจักรได้อย่างชัดเจน ทำให้เราสามารถรับรู้ว่าสินค้าเราอยู่ในขั้นไหนของวงจรสินค้า และสามารถคิดกลยุทธ์ที่เข้ามารับมือกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงได้อย่างทันท่วงที จึงเป็นของรักที่นักวางแผนการตลาดทุกคนควรทำความรู้จักและนำไปใช้ เพื่อให้กิจการหรือสินค้าของเรายังคงเป็นที่จดจำของลูกค้าอยู่เสมอ

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) มีกี่ช่วง

วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) มีอยู่ทั้งหมด 4 ช่วง คือ  ช่วงแนะนำ (Introduction) ช่วงเติบโต (Growth) ช่วงเติบโตเต็มที่หรือจุดสูงสุด (Maturity) ช่วงถดถอย (Decline)

วิธีสังเกตุช่วงตลาดเจริญเติบโต (Market Growth) ดูได้จากอะไร

  1. จำนวนยอดขายเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ 
  2. บริษัทเริ่มมีการลงทุนสูงขึ้นเพื่อนำสินค้าและผลิตภัณฑ์ไปยังผู้บริโภคและกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด
  3. การแข่งขันสูงขึ้น เนื่องจากจำนวนของคู่แข่งในอุตสากรรมเดียวกันเพอ่มมากขึ้น 
  4. มีกำไรปานกลาง

วิธีสังเกตุช่วงตลาดอิ่มตัว (Market Maturity) ดูได้จากอะไร

  1. การแข่งขันสูง ช่วงนี้จะเป็นจุดที่การแข่งขันสูงมากที่สุดจุดหนึ่ง และเป็นจุดที่คู่แข่งขันบางรายถอนตัวออกไปด้วยเช่นกัน 
  2. กำไรสูง เพราะเป็นช่วงทำกำไรจากยอดขายที่มาจากการลงทุนในช่วง Product Introduction
  3. เมื่อถึงจุดหนึ่ง ยอดขายจะคงที่ และเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ เป็นเส้นตรง
  4. การลงทุนต่ำ ในจุดที่มีการลงทุนต่ำเพราะว่าตัวสินค้าเราได้รับความนิยมจากผู้บริโภคแล้ว ทำให้ใช้งบในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการโฆษณาน้อยลงนั่นเอง
Jirayu Studio

Jirayu Studio

Web Developer

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง