KEY TAKEAWAYS
- STP Marketing คือเครื่องมือทางการตลาดที่เข้ามาช่วยวางกลยุทธ์ และกำหนดทิศทางธุรกิจ ประกอบไปด้วย
- Segmentation หรือการแบ่งส่วนตลาด คือการแบ่งประเภทลูกค้าออกเป็นกลุ่มย่อย เช่น พฤติกรรมในการซื้อ ข้อมูลสถานที่ ข้อมูลประชากร เป็นต้น
- Targeting หรือการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย ที่ต้องการเข้าถึง โดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ Size, Difference, Profitability, Reachability และ Benefits
- Positioning หรือการกำหนดตำแหน่งของสินค้าหรือบริการ ที่เป็นการสร้างจุดยืนหรือคุณค่าของแบรนด์ที่โดดเด่นและแตกต่าง ทำให้ลูกค้าจดจำและสนใจแบรนด์ได้ในมุมมองที่เหนือกว่าแบรนด์อื่นๆ
- ตัวอย่างการทำ STP ของแบรนด์ดังที่น่าสนใจได้แก้ TESLA, NIKE, STARBUCKs, McDonald’s, Apple และ Coca-Cola ที่มีความแตกต่างกันตั้งแต่การแบ่งส่วนการตลาด การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย และที่สำคัญที่สุดคือการจัดวางตำแหน่งของแบรนด์
เมื่อเริ่มทำธุรกิจ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกๆ คือ ความเข้าใจตลาดและลูกค้า ควรมีการวางแผน เข้าใจภาพรวมในการดำเนินแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้กลยุทธ์ STP Marketing นั้นจะเข้ามาช่วยตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้ โดยจะมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย และเลือกสิ่งที่เหมาะสมให้กับลูกค้าแต่ละกลุ่ม
บทความนี้ได้นำข้อมูลที่ต้องรู้เกี่ยวกับ STP มาไว้ให้แล้ว ตั้งแต่การทำ STP Marketing พร้อมแนวทางการสร้างกลยุทธ์ STP Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงตัวอย่างการทำ STP ของแบรนด์ดังต่างๆ ทั่วโลก มีอะไรบ้าง ไปดูกัน
![การตลาด STP คืออะไร?](http://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/05/MNM-2024-Reop-11-stp-คือ_1_1_1-1024x536.webp)
การตลาด STP คืออะไร?
การตลาด STP หรือ STP Marketing คือเครื่องมือทางการตลาดที่เข้ามาช่วยวางกลยุทธ์ และกำหนดทิศทางธุรกิจ ช่วยธุรกิจในการทำความเข้าใจตัวแบรนด์และลูกค้า พร้อมต่อยอดการวางแผน การแข่งขัน เพื่อการเติบโตที่เพิ่มขึ้นในตลาด โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
- Segmentation หรือการแบ่งส่วนตลาด
- Targeting หรือการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย
- Positioning หรือ การกำหนดตำแหน่งของสินค้าหรือบริการ
นอกจากนี้ STP จะช่วยจำแนกลูกค้าที่เหมาะสมตามที่วางเป้าหมายไว้ ทำให้ใช้ต้นทุนในการทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม STP ยังมีวิธีสื่อสารต่อกลุ่มลูกค้า เน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ และเน้นลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยให้ทำความเข้าใจได้ดีว่าลูกค้าที่ต้องการคือใคร และจะเข้าถึงได้อย่างไร เพราะไม่มีกลุ่มลูกค้าที่ดีที่สุด มีแต่กลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมกับสินค้าหรือบริการที่สุดเท่านั้น
โดยองค์ประกอบ 3 อย่าง Segmentation Targeting Positioning คืออะไร? แต่ละอย่างนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง มาดูกัน
Segmentation การแบ่งส่วนตลาด
Segmentation หรือการแบ่งส่วนตลาด คือการแบ่งประเภทลูกค้าออกเป็นกลุ่มย่อย ช่วยให้ทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกๆ ในการทำ STP Marketing เพราะช่วยให้ธุรกิจประเมินประสิทธิภาพของการดำเนินการได้ละเอียดมากขึ้น
นอกจากนี้ Segmentation ยังช่วยให้คาดเดาพฤติกรรม จัดสรรเวลา และทรัพยากรตามลำดับความสำคัญได้ แถมยังเลือกให้บริการลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้อย่างถูกต้องเหมาะสม โดยจะแบ่งตามกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันในหลากหลายด้านธุรกิจ เช่น
- Behavioral แบ่งตามพฤติกรรมในการซื้อ ความถี่ในการใช้บริการ หรือซื้อ รวมไปถึงสถานะของผู้ใช้ ช่วงเวลาและโอกาสในการซื้อต่างๆ เน้นข้อมูลการกระทำของลูกค้า
- Geographic แบ่งตามข้อมูลสถานที่ เช่น ประเทศ จังหวัด สภาพอากาศ หรือลักษณะภูมิประเทศ เป็นต้น เป็นการแบ่งตามกลุ่มการตลาดที่ง่ายที่สุด เพราะแบ่งได้เลยตามท้องถิ่นที่อยู่อาศัย
- Demographic แบ่งตามข้อมูลประชากร เช่น ช่วงอายุ เพศ อาชีพ รายได้ ศาสนา หรือสถานะทางครอบครัว
- Psychographic แบ่งตามหลักจิตวิทยาต่างๆ เช่น ไลฟ์สไตล์ ลักษณะนิสัย คุณค่าที่ยึดถือ สิ่งที่สนใจ ความเชื่อ ข้อมูลทางวัฒนธรรม เนื่องจากเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างเฉพาะบุคคล จะมีความยากในการระบุมากกว่าเมื่อเทียบกับข้อมูลประเภทอื่น โดยอาจจะใช้วิธีการสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม หรือทำแบบสำรวจ เป็นต้น
ในการแบ่งส่วนตลาดจะช่วยทำให้ตลาดชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งมีวิธีแบ่งกลุ่มที่น่าสนใจอยู่ คือ การคำนวณ RFM Metrics ซึ่งประกอบไปด้วย
- Recency เวลาล่าสุดที่ซื้อสินค้า
- Frequency ความถี่ในการซื้อสินค้า
- Monetary การซื้อสินค้าโดยรวม
เมื่อใช้ RFM Metrics ในการแบ่งส่วนตลาด จะมีลูกค้าที่มีค่า RFM แตกต่างกันไป และจะทำให้สามารถวางแผนการตลาดกับลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้ เช่น ลูกค้าที่มีค่าความถี่ในการซื้อต่ำ ก็อาจจะต้องกระตุ้นทำกลยุทธ์ให้มีการซื้อที่เพิ่มขึ้น หรือลูกค้าที่มีค่า R ต่ำ หรือเวลาล่าสุดที่ซื้อห่างมานานพอสมควรแล้ว ก็อาจจะต้องมีการทักทาย และเรียกร้องความสนใจให้ลูกค้าให้กลับมาซื้ออีก อาจจะเริ่มจากการส่งอีเมล เป็นต้น
หรือในการสร้าง Persona ของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ก็ช่วยในการแบ่งส่วนตลาดได้ เช่น ลูกค้าเป็นใคร กลุ่มช่วงอายุเท่าไร ติดต่อผ่านช่องทางไหนเป็นหลัก พฤติกรรมการซื้อเป็นอย่างไร ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยสำหรับการวางแผนการตลาดด้วยเช่นกัน
Targeting กลุ่มเป้าหมาย
เมื่อเราแบ่งกลุ่มลูกค้าออกมาแล้ว ในขั้นตอนต่อไปคือวางแผนว่าธุรกิจจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มใด หรือ การตั้งกลุ่มเป้าหมาย (Targeting) จากที่ได้ทำการแบ่งกลุ่มไว้ในส่วนแรก เพราะเราไม่สามารถขายสินค้าให้กับทุกคนได้ จึงต้องแบ่งและเลือกกลุ่มที่ต้องการเป็นหลัก ซึ่งจะต้องพิจารณาโดยยึดปัจจัย 5 ข้อนี้ คือ
- Size ขนาดและความสามารถในการเติบโตของกลุ่มลูกค้า
- Difference ความแตกต่าง หาความแตกต่างของกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่ม เพราะหากไม่ทำ อาจนำไปสู่การทำอะไรซ้ำๆ โดยไม่จำเป็น
- Profitability ความสามารถในการทำกำไร มูลค่าตลาดของกลุ่มลูกค้า ความสามารถในการจ่าย และระยะเวลาที่ลูกค้าจะสร้างกำไรให้กับแบรนด์
- Reachability ความยากง่ายในการเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงอีกด้วย
- Benefits ผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน สามารถดึงดูดกลุ่มต่างๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์นมที่มาจากพืช โดยกลุ่ม A ต้องการผลิตภัณฑ์นมที่ปราศจากการทารุณกรรมสัตว์ และส่วนกลุ่ม B ต้องการผลิตภัณฑ์นมที่ไม่ใช่นมวัว เป็นต้น
เมื่อพิจารณาจาก 5 ปัจจัยนี้แล้ว ก็จะสามารถประเมินความสำคัญของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ว่าจะวาง STP Marketing ในลักษณะใดเพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้ตามที่วางไว้
Positioning การจัดวางตำแหน่งของแบรนด์หรือสินค้า
Positioning หรือการจัดวางตำแหน่งของแบรนด์หรือสินค้า คือ จุดยืนหรือคุณค่าที่แบรนด์นำเสนอต่อการรับรู้ของลูกค้า เนื่องจากการเข้าใจการรับรู้ของลูกค้าต่อแบรนด์ จะช่วยให้สามารถประเมินและจัดวางภาพรวมธุรกิจว่ามีจุดอ่อน และจุดแข็งอย่างไรบ้าง เมื่อมีลูกค้ามาเลือกซื้อสินค้า หรือมาใช้บริการ ลูกค้าจะคิดถึงและคาดหวังอะไรบ้าง
หากวางตำแหน่งของแบรนด์ได้ดี และสามารถเติมช่องว่างที่ขาดอยู่ในตลาดได้ จะสร้างความแตกต่างทำให้แบรนด์โดดเด่นออกมาจากคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดได้ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นต้องหาสิ่งที่ทำให้แบรนด์โดดเด่นขึ้นมา โดยทำได้ดังนี้
- สร้างกราฟคุณลักษณะของสินค้า และการบริการของธุรกิจ
- นำแบรนด์ของคู่แข่งมาวางเทียบกันในกราฟ เพื่อดูว่าสินค้าและบริการอยู่ในตำแหน่งไหน
- ระบุว่าตรงไหนที่เป็นช่องโหว่ มีอะไรที่แตกต่างออกมาจากคู่แข่งได้บ้าง โดยสังเกตได้จาก คุณลักษณะและประโยชน์ของสินค้า ราคาสินค้า คุณภาพสินค้า เป็นต้น
โดยมีปัจจัย 3 อย่างในการวางตำแหน่งที่จะช่วยให้ได้เปรียบในการแข่งขัน เพื่อคอยสังเกตเสมอว่าคู่แข่งไปอยู่ที่จุดไหนแล้ว ดังนี้
- การวางตำแหน่งเชิงสัญลักษณ์ เพิ่มภาพลักษณ์ให้ตนเอง ความเป็นเจ้าของ
- การวางตำแหน่งหน้าที่ การแก้ปัญหาและมอบประโยชน์ให้แก่ลูกค้า
- การวางตำแหน่งเชิงประสบการณ์ เน้นการเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่ลูกค้ามีต่อผลิตภัณฑ์ หรือต่อการบริการ
![7 ขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์ STP Marketing สำหรับธุรกิจ](http://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/05/MNM-2024-Reop-11-stp-คือ_2-02_2_2-1024x536.webp)
7 ขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์ STP Marketing สำหรับธุรกิจ
เมื่อได้ทำความรู้จักกับการทำ STP Marketing กันไปแล้ว มาดูตัวอย่างการทำ STP Marketing ที่น่าสนใจ ใช้ได้จริง เพื่อนำไปปรับให้เข้ากับธุรกิจที่แตกต่างกันออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถทำได้อย่างไรบ้าง ไปดูกัน
1. กำหนดตลาด
เนื่องจากตลาดทางธุรกิจนั้นกว้างขวางมาก นั่นเลยเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องกำหนดและแบ่งย่อยออกมา และกำหนดสิ่งที่ต้องการทำให้ชัดเจน เริ่มด้วยการวิเคราะห์ตลาด โดยทั่วไป จะมี 3 อย่างที่เริ่มวิเคราะห์ ได้แก่
- TAM (Total Available Market) คือ ตลาดที่มีอยู่ทั้งหมด วิเคราะห์ตลาดที่ใหญ่ที่สุดว่ามีความเป็นไปได้มากแค่ไหนของโอกาสในการสร้างรายได้
- SAM (Serviceable Available Market) คือ ตลาดที่มีให้บริการ วิเคราะห์ว่าคุณเหมาะกับส่วนไหนของตลาด
- SOM (Serviceable Obtainable Market) คือ ตลาดที่สามารถให้บริการได้ วิเคราะห์ว่าคุณสามารถเข้าถึงส่วนใดของตลาดได้บ้าง
2. สร้างกลุ่มคนที่แบ่งส่วนไว้
เมื่อกำหนดตลาดได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปในการทำ STP คือการแบ่งกลุ่มย่อย โดยใช้ตัวแปรต่างๆ ในการแบ่ง เช่น
- พฤติกรรม (Behavioral )
- ภูมิศาสตร์ (Geographic )
- ข้อมูลประชากร (Demographic )
- จิตวิทยา (Psychographic)
โดยตัวแปรเหล่านี้จะช่วยให้เข้าถึงแง่มุมต่างๆ ของแต่ละกลุ่มคนได้ ว่าใครเหมาะกับบริการ หรือผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ และมีแนวโน้มที่จะซื้อได้มากที่สุด เพื่อให้ทำการตลาดที่เฉพาะเจาะจงได้ดีมากยิ่งขึ้น
3. สร้างโปรไฟล์กลุ่ม
ขั้นต่อมาของการทำ STP Marketing คือการสร้างโปรไฟล์กลุ่ม เป็นตัวช่วยให้คำนิยามสำหรับแต่ละกลุ่มได้ โดยในแต่ละโปรไฟล์ ควรมีข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เช่น
- พฤติกรรมต่างๆ
- ข้อมูลส่วนตัว
- ความชอบในแบรนด์
- ลักษณะนิสัยการใช้จ่าย
- สถานภาพครอบครัว
เพื่อให้ธุรกิจของคุณมีความเข้าใจกับผู้ที่จะมาเป็นลูกค้าในแต่ละกลุ่ม จะได้นำมาเปรียบเทียบเพื่อดูจุดประสงค์ด้านกลยุทธ์ต่อไปได้
4. ประเมินความน่าดึงดูดเชิงพาณิชย์
การทำความเข้าใจผู้บริโภค ช่วยให้ประเมินว่ากลุ่มใดที่สามารถให้ผลตอบแทนได้อย่างสูงสุดจากการลงทุน พิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความอ่อนไหวต่อราคา ความภักดีต่อตัวแบรนด์ เป็นต้น
5. เลือกกลุ่มเป้าหมาย
เมื่อได้ข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายมาแล้ว ตอนนี้ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจว่ากลุ่มใดที่เหมาะสมที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ โดยคำนึงถึงกลยุทธ์ของธุรกิจ ความน่าดึงดูด และการแข่งขันที่มีอยู่ร่วมด้วย
6. พัฒนากลยุทธ์การวางตำแหน่ง
เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ควรกำหนดวิธีการวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ โดยคำนึงถึงคู่แข่งรายอื่นๆ และเน้นชิงส่วนแบ่งการตลาดมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งสามารถอิงได้จากการประเมินความน่าดึงดูด และกลุ่มเป้าหมายก่อนหน้านี้ เพื่อพิจารณาว่ากลยุทธ์รูปแบบใดที่จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเฉพาะได้
7. เลือกส่วนประสมทางการตลาด
ขั้นตอนสุดท้าย คือการนำกลยุทธ์ไปใช้จริง ซึ่งจะต้องเลือกส่วนประสมทางการตลาดที่สนับสนุนการวางตำแหน่งและช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เลือกไว้ โดยส่วนประสมทางการตลาดจะประกอบไปด้วย 4P คือ
- Product หรือ ผลิตภัณฑ์ ให้คำนึงถึงหลายปัจจัย เช่น ความหลากหลาย คุณภาพ การออกแบบ บรรจุภัณฑ์ การบริการหรือความสะดวกในการใช้งาน
- Price หรือ ราคา จะคำนึงถึงปัจจัยการกำหนดราคา ราคาเจาะตลาด หรือกลุ่มเป้าหมายมีความอ่อนไหวต่อราคาไหม
- Place หรือ สถานที่ โดยจะคำนึงถึงปัจจัยเกี่ยวกับโลจิสติกส์ ช่องทางการขายไม่ว่าจะเป็นหน้าร้าน หรือขายทางแพลตฟอร์มออนไลน์
- Promotion หรือ การส่งเสริมการขาย โดยปัจจัยต่างๆ เช่น การประชาสัมพันธ์ โซเชียลมีเดีย การตลาดโดยอินฟลูเอนเซอร์ การสื่อสารทางการตลาด หรือการสื่อสารคุณค่าไปยังกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น
![ตัวอย่าง STP ของธุรกิจหรือแบรนด์ชั้นนำ](http://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/05/MNM-2024-Reop-11-stp-คือ_2-04_3_3-1024x536.webp)
ตัวอย่าง STP ของธุรกิจหรือแบรนด์ชั้นนำ
เมื่อได้ทำความรู้จักกับการทำ STP กันไปแล้ว บทความนี้ยังได้นำ STP ของแบรนด์ดังต่างๆ ทั่วโลก มาใช้เป็นกรณีศึกษาการทำ STP analysis ของแบรนด์เหล่านั้น โดยจะมีรายละเอียดอย่างไรนั้น ไปดูกัน
ตัวอย่าง STP ของแบรนด์ TESLA
- Segmentation ในการแบ่งส่วนการตลาดของ TESLA นั้น จะจัดประเภทบุคคลออกมา ตามช่วงอายุ ตามฐานะทางสังคม และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งเลือกปรับใช้ส่วนประสมทางการตลาดที่เหมาะสมที่สุดกับกลุ่มลูกค้า
- Targeting ของ TESLA จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้น้ำมัน และเป้าหมายของ TESLA ก็เลือกจะให้คุณค่าสิ่งต่างๆ ตามการแบ่งส่วนการตลาด ซึ่งคือการยึดตลาดลูกค้าระดับกลางและระดับสูงที่ทุ่มเทให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้งานที่คุ้มค่าในระยะยาว
- Positioning ของ TESLA นั้นจะเน้นขายเรื่องราวของการพัฒนาอยู่ตลอด และยังวางแผนให้มีรถยนต์ในราคาประหยัดขึ้น ซึ่งนี่เป็นความได้เปรียบของ TESLA ที่สามารถใช้เทคโนโลยีปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังขยายตัว อาจจะมีปัญหาด้านทรัพยากรที่จำกัด เทคโนโลยีทันสมัยขึ้น ผู้ผลิตรายใหม่หลายรายก็พยายามเข้าสู่ตลาด
ตัวอย่าง STP ของแบรนด์ NIKE
- Segmentation NIKE เป็นสินค้าที่ทุกคนต้องใช้งานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเพศไหน หรือกลุ่มอายุเท่าไร แต่แบรนด์จะตีตลาดให้แคบลงด้วยการเลือกเจาะกลุ่มลูกค้าตามความต้องการทางด้านกีฬาผ่านเสื้อผ้า รองเท้าที่สวมใส่สบาย และอุปกรณ์กีฬาที่จำเป็น
- Targeting NIKE ได้มุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการทางด้านอุปกรณ์ทางกีฬาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าสำหรับการวิ่ง เข้ายิม ซ้อมบอล ตีเทนนิส กอล์ฟ กรีฑา หรือแม้แต่การเล่นโยคะ นอกเหนือจากการจัดหารองเท้าที่มีคุณภาพแล้ว NIKE ยังมีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ตอบโจทย์กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับแฟชั่นด้วยเช่นกัน
- Positioning NIKE ได้วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ให้เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และทำให้ดูเหมือนว่าใครๆ ก็สามารถเล่นกีฬากรีฑาได้เช่นกัน และมอบนวัตกรรมและเทคโนโลยีคุณภาพระดับพรีเมียม และยังสร้างความแข็งแกร่งในด้านแฟชั่นอีกด้วย Nike จึงได้สร้างความเชื่อมั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพว่าผลิตภัณฑ์ของตนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดทุกครั้งที่ต้องซื้อผลิตภัณฑ์กีฬา
ตัวอย่าง STP ของแบรนด์ STARBUCKs
- Segmentation STARBUCKs ใช้วิธีการแบ่งส่วนการตลาดออกเป็นส่วนย่อย ทั้งในส่วนข้อมูลประชากร และเชิงภูมิศาสตร์ โดย Starbucks จะสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน และเช่นเดียวกัน Starbucks มีร้านหลายแห่ง
โดยในแต่ละร้านก็จะสะท้อนความชอบและรสนิยมของตลาดท้องถิ่น ซึ่งจะมีความแตกต่างกันตามแต่ละประเภท เช่น กาแฟ ขนม เป็นต้น และ Starbucks เน้นกลุ่มที่สร้างผลกำไร ก็คือกลุ่มที่ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ Starbucks จะมุ่งเน้นไปที่พนักงานของสำนักงานที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง - Targeting STARBUCKs มุ่งเน้นไปที่กลุ่มพนักงานที่มีรายได้ปานกลาง ไปจนถึงรายได้สูง ที่กำลังมองหาสินค้าระดับพรีเมียม และยังมีสาขาที่หลากหลายกระจัดกระจายทั่วโลก แบรนด์จึงนำเสนออาหารท้องถิ่นที่แสดงถึงลักษณะทางวัฒนธรรมในหมู่ลูกค้า เพื่อให้กลุ่มลูกค้าที่เดินทางไปต่างประเทศ ต้องอยากไปลิ้มลองอาหารใน STARBUCKs ของแต่ละประเทศด้วยนั่นเอง
- Positioning STARBUCKs เน้นกลยุทธ์ที่สร้างภาพลักษณ์ และรักษาภาพลักษณ์ให้กับลูกค้าภายในตลาด ลูกค้าสามารถแยกแยะผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ของคู่แข่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ Starbucks ได้วางตำแหน่งไว้แบบที่ไม่เหมือนใคร
โดยกลยุทธ์การวางตำแหน่งจะขึ้นอยู่กับลูกค้า เพราะต้องให้มากกว่าที่ลูกค้าต้องการ เช่น มีบริการฟรี Wifi สถานที่สะดวกสบาย พักผ่อนได้อย่างสบายใจ บางที่มีบริการ Drive-Thru สำหรับลูกค้าที่ไม่ได้ต้องการเข้าไปนั่งในร้าน และ Starbucks ยังเป็นผู้ฟังด้านการออกแบบพลังงานและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ตัวอย่าง STP ของแบรนด์ McDonald’s
- Segmentation McDonald’s ใช้กลยุทธ์การแบ่งส่วนตลาดหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย โดยเน้นกลุ่มเด็ก เยาวชน และครอบครัว พร้อมทั้งปรับตัวตามเทรนด์สุขภาพเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
- Targeting McDonald’s แบ่งกลุ่มเป้าหมายโดยเลือกบางส่วนของตลาดเป้าหมายเท่านั้น และจะมุ่งเน้นไปที่ข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์ และอายุของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ จากนั้นจะปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ และดึงดูดความต้องการได้ในเวลาเดียวกัน
- Positioning McDonald’s ใช้กลยุทธ์การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์แบบยืดหยุ่น โดยปรับเปลี่ยนส่วนประสมทางการตลาดให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป วิธีนี้ช่วยให้บริษัทสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ฐานลูกค้าเดิม และยังดึงดูดความต้องการของกลุ่มลูกค้าใหม่ได้ในเวลาเดียวกัน
ตัวอย่าง STP ของแบรนด์ Apple
- Segmentation Apple ใช้กลยุทธ์การแบ่งส่วนตลาดที่หลากหลาย โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ พัฒนาตามอายุ ไลฟ์สไตล์ และอาชีพของลูกค้าเป้าหมาย แบ่งส่วนตลาดตามภูมิศาสตร์ โดยการขยายสาขาทั่วโลก และการแบ่งส่วนตลาดตามพฤติกรรม โดยการพัฒนาการใช้งานสินค้าตามการใช้งานของกลุ่มลูกค้าเรื่อยๆ
- Targeting Apple แบ่งกลุ่มเป้าหมายโดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและนวัตกรรมมากกว่าราคา บริษัทวางตำแหน่งตัวเองเป็นแบรนด์พรีเมียมที่นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูง ด้วยฟังก์ชันและการออกแบบที่ล้ำสมัย กลยุทธ์นี้ช่วยให้แอปเปิลสามารถสร้างความภักดีต่อแบรนด์และรักษาส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Positioning Apple ใช้กลยุทธ์การวางตำแหน่งแบรนด์โดยมอบประสบการณ์ที่พิเศษและการนำเสนอนวัตกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ลงทุนวิจัยและพัฒนาเพื่อรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน และสร้างเทคโนโลยีที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย ช่วยให้ Apple สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
ตัวอย่าง STP ของแบรนด์ Coca-Cola
- Segmentation Coca-Cola ใช้กลยุทธ์การแบ่งส่วนตลาดโดยพิจารณาปัจจัยทั้งด้านภูมิศาสตร์ ประชากรศาสตร์ จิตวิทยา และพฤติกรรม วิธีนี้ช่วยให้บริษัทสามารถเข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
- Targeting Coca-Cola แบ่งกลุ่มเป้าหมายโดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรสชาติ ความใส่ใจสุขภาพ หรือไลฟ์สไตล์
- Positioning Coca-Cola ใช้กลยุทธ์การวางตำแหน่งแบรนด์ที่ให้ความสดชื่น สร้างความสุข และเชื่อมโยงกับช่วงเวลาที่ดีในชีวิต บริษัทนำเสนอตัวเองเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพสูง มีความหลากหลาย และมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์เชิงบวกให้กับผู้บริโภคทั่วโลก
สรุป
STP Marketing คือเครื่องมือทางการตลาดที่เข้ามาช่วยวางกลยุทธ์ และกำหนดทิศทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบไปด้วย 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ Segmentation, Targeting และ Positioning โดยทั้งสามองค์ประกอบจะช่วยวางแผนดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้า หรือใช้บริการ และช่วยจำแนกลูกค้าที่เหมาะสมตามที่วางเป้าหมายไว้ ทำให้ใช้ต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในการสร้าง STP Marketing สามารถทำได้ตามที่บทความนี้ได้กล่าวไปข้างต้น หรือศึกษาได้จากแบรนด์ต่างๆ ที่บทความนี้ได้นำมาวิเคราะห์ไว้ให้แล้ว เพื่อปรับให้เข้ากับธุรกิจต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ STP Marketing
การกำหนด Positioning ใน STP Marketing มีกี่แบบ?
การกำหนด Positioning ใน STP Marketing มีจุดยืน 3 อย่างหลักๆ คือ
- จุดยืนด้านความแตกต่าง (Differentiation)
- จุดยืนด้านอารมณ์ (Emotional)
- จุดยืนด้านการใช้งาน (Functional
นอกจาก STP Marketing แล้วยังมีเครื่องมือตัวอื่นในการวิเคราะห์อีกหรือไม่?
Five Force Model, SWOT สามารถทำได้เหมือนกัน แต่จะเหมาะกับการดูภาพรวมธุรกิจมากกว่า แต่หากต้องการดูและเจาะลึกลงไปว่าแบรนด์และสินค้าควรมีกลยุทธ์อะไรในช่วงต่อไป STP ตอบโจทย์มากกว่า
STP Marketing สำคัญกับการตลาดออนไลน์อย่างไร?
STP Marketing ช่วยให้ธุรกิจสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างตรงกลุ่ม ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้มากยิ่งขึ้น และหากมีการทำคอนเทนต์ออนไลน์ที่เหมาะสม ก็จะยิ่งส่งเสริมการซื้อขายออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง