Key Takeaway
สำหรับคนที่เวลาน้อย แต่อยากเข้าใจหัวใจสำคัญของ GEO vs SEO ดูตารางนี้จบ เข้าใจเลย
| หัวข้อเปรียบเทียบ | Traditional SEO (ยุคเก่า) | GEO (ยุค AI 2026) |
| เป้าหมายหลัก | ดันเว็บให้ติดอันดับ 1-10 (Blue Links) | ทำให้ AI “พูดถึง” หรือ “อ้างอิง” แบรนด์เรา |
| สิ่งที่ต้องทำ | เน้น Keywords และ Backlinks | เน้น Context (บริบท) Citations และ Entity |
| รูปแบบเนื้อหา | บทความยาวๆ เพื่อให้ Google ชอบ | เนื้อหาที่มีโครงสร้างชัดเจน (Structured Data) ให้ AI อ่านง่าย |
| ตัวชี้วัด (KPIs) | Clicks, Traffic, Ranking | Brand Mention, Share of Voice ใน AI Answer |
| พฤติกรรมผู้ใช้ | ค้นหา > เลือกเว็บ > อ่าน | ถาม AI > ได้คำตอบทันที > (อาจจะ) คลิกดูแหล่งอ้างอิง |
เคยรู้สึกไหม? ทำ SEO แทบตาย อันดับที่ 1 ก็ได้แล้ว แต่ทำไม Traffic เข้าเว็บกลับน้อยลง?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่คุณทำผิด แต่มันอยู่ที่ “พฤติกรรมการค้นหา” ของคนในปี 2026 เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง!
เมื่อก่อนผู้ใช้งาน Search เพื่อ “หาเว็บ” แล้วกดเข้าไปอ่าน แต่เดี๋ยวนี้คน Search เพื่อ “เอาคำตอบ” ทันทีจาก AI (เช่น Gemini, ChatGPT, Perplexity หรือ AI Overview บน Google) โดยที่ไม่ต้องคลิกเข้าเว็บด้วยซ้ำ ปรากฏการณ์นี้เราเรียกว่า Zero-Click Search และนี่คือจุดเปลี่ยนที่ธุรกิจต้องปรับตัวด่วนวันนี้ Minimice Group จะมาแชร์คัมภีร์ลับที่เรียกว่า GEO (Generative Engine Optimization) ที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณไม่หายไปในยุค AI

GEO (Generative Engine Optimization) คืออะไร?
GEO (Generative Engine Optimization) คือ กระบวนการปรับแต่งเนื้อหาเว็บไซต์และข้อมูลดิจิทัลของเรา เพื่อให้ AI Search Engines (อย่าง Google AI Overviews, Bing Chat, ChatGPT Search) สามารถ “เข้าใจ” “เชื่อถือ” และ “เลือกนำไปสรุป” เป็นคำตอบให้ผู้ใช้งาน
ถ้า SEO คือการทำให้ Algorithm ของ Google ให้เลือก GEO ก็คือการทำให้ Large Language Models (LLMs) ให้เชื่อใจ ว่าข้อมูลของเราคือ “The Best Answer” ที่ถูกต้องที่สุดจนต้องหยิบมาเล่าต่อ
ทำไมต้องสนใจตอนนี้?
ในปี 2026 การค้นหาแบบเดิมลดลง แต่การ “สนทนา” กับ AI เพิ่มขึ้น ถ้าคุณไม่ทำ GEO แบรนด์ของคุณจะหายไปจากบทสนทนาเหล่านี้ เหมือนร้านค้าที่ไม่มีใครพูดถึงเลย แม้ของจะดีแค่ไหนก็ตาม
สรุปใจความ
- GEO ไม่ใช่การเลิกทำ SEO แต่เป็นการ “อัปเกรด” SEO เดิมให้รองรับ AI
- AI ไม่ได้แค่อ่าน Keywords มันอ่าน “ความหมาย” และ “ความสัมพันธ์” ของข้อมูล
- เป้าหมายสูงสุด คือการได้เป็น Cited Source (แหล่งอ้างอิง) ในกล่องคำตอบ AI

ทำไม GEO ถึงเป็น “ทางรอด” เดียวของนักการตลาดในปี 2026?
ถ้าคุณเป็นนักการตลาดที่ดู Report ทุกเช้า คุณน่าจะเห็นสัญญาณเตือนภัยบางอย่างแล้ว… Traffic แบบ Organic เริ่มนิ่งหรือตกลง ทั้งที่อันดับ SEO ก็ไม่ได้ร่วง นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือ “การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์” ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่มี Google
นี่คือ 3 เหตุผลที่บอกว่าทำไมคุณต้องเริ่มทำ GEO ตั้งแต่วินาทีนี้
The Rise of “Zero-Click Search” (ค้นหาปุ๊บ จบปั๊บ)
ในอดีต Customer Journey คือ ค้นหา > คลิก > เข้าเว็บ > อ่าน
แต่ในปี 2026 เส้นทางมันสั้นลงเหลือแค่ ค้นหา > อ่านคำตอบจาก AI > จบ
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Zero-Click Search จากสถิติล่าสุด (2025-2026) พบว่ากว่า 60% ของการค้นหาจบลงที่หน้าผลลัพธ์ โดยที่ผู้ใช้ไม่ได้คลิกเข้าเว็บไหนเลย เพราะ AI (เช่น Google AI Overview) สรุปคำตอบมาให้เสร็จสรรพ
ความน่ากลัวคือ ถ้าแบรนด์ของคุณไม่อยู่ใน “บทสรุป” ของ AI ก็เท่ากับว่าแบรนด์ของคุณ “ไม่มีตัวตน” ในสายตาลูกค้ากว่า 60% นั้นเลย GEO จึงเป็นกุญแจดอกเดียวที่จะพาชื่อแบรนด์ของคุณเข้าไปแทรกอยู่ในบทสรุปนั้นได้
พื้นที่หน้าแรกที่ “แพง” ยิ่งกว่าทองคำ (SERP Real Estate)
ลองหยิบมือถือมาเปิด Google ตอนนี้ดู พื้นที่หน้าจอเกือบ 100% ถูกยึดครองโดย
- Sponsored Ads (โฆษณา)
- AI Overview (คำตอบจาก AI)
ลิงก์ SEO แบบเดิม (Organic Blue Links) ถูกดันลงไปอยู่ข้างล่างจนแทบมองไม่เห็น ถ้าคุณยังหวังพึ่งแค่ SEO แบบเดิม คุณกำลังสู้เพื่อแย่งพื้นที่ “ใต้พรม” ที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น แต่การทำ GEO คือการพาแบรนด์ขึ้นไปยืนบน “เวทีหลัก” (AI Box) ด้านบนสุด
Trust Economy เมื่อ AI เป็น “ผู้เลือก” (Gatekeeper)
ผู้บริโภคยุคนี้เชื่อ AI เหมือนเชื่อเพื่อนที่ฉลาดมากๆ คนหนึ่ง
เมื่อผู้ใช้ถามว่า “เอเจนซี่การตลาดเจ้าไหนเก่งเรื่อง Tech?”
- ถ้า Google แค่แปะลิงก์เว็บเรา ลูกค้าอาจจะกดดู หรือไม่กดก็ได้
- แต่ถ้า Gemini ตอบว่า “แนะนำ Minimice Group เนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีผลงาน Case Study ชัดเจน…” นี่คือ Social Proof ขั้นสุดยอด
การทำ GEO จึงไม่ใช่แค่เรื่อง Traffic แต่คือการสร้าง Brand Authority (ความน่าเชื่อถือ) ในระดับที่ AI กล้าการันตีให้คุณ
“Tips Traffic ไม่ใช่พระเจ้าอีกต่อไป อย่ายึดติดกับยอดคลิก แต่ให้โฟกัสที่ “Brand Visibility” (การถูกมองเห็น) ในคำตอบ AI ถ้าไม่ทำ GEO ตอนนี้ คุณจะสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม High Intent ที่ต้องการคำตอบเร็วๆ GEO = Digital PR ยุคใหม่ การถูก AI อ้างอิง มีค่าเท่ากับการได้ลงข่าวหน้าหนึ่งในสมัยก่อน มันสร้างความเชื่อมั่นได้มหาศาล”

GEO vs SEO ต่างกันอย่างไร?
หลายคนมักเข้าใจผิดว่า GEO คือสิ่งที่มา “ฆ่า” SEO แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ SEO คือการจัดร้านให้หาง่าย แต่ GEO คือการเทรนพนักงานขาย (AI) ให้เชียร์สินค้าเรา
ในยุค 2026 ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดคือ “เป้าหมายของการแสดงผล”
- SEO (Search Engine Optimization) พยายามพาเว็บเราไปติด 10 อันดับแรก (Blue Links) เพื่อให้คน “คลิก” เข้ามาอ่าน
- GEO (Generative Engine Optimization) พยายามป้อนข้อมูลให้ AI “เข้าใจ” เพื่อให้ AI หยิบเนื้อหาเราไป “สรุปและอ้างอิง” (Cite) เป็นคำตอบแรก
เจาะลึก 3 จุดตัดที่ทำให้ GEO เหนือกว่า SEO เดิม
1. จาก “Keywords” สู่ “Entities”
ในโลก SEO เราคุยกันเรื่องการแทรก Keyword ให้ครบ แต่ในโลก GEO อัลกอริทึมมองหา Entity (ตัวตนและบริบท)
AI ไม่ได้มองแค่คำว่า “รองเท้าวิ่ง” แต่มันมองหาความสัมพันธ์ว่า แบรนด์นี้เชี่ยวชาญเรื่องวิ่งจริงไหม? มีนักวิ่งอาชีพพูดถึงไหม? มีข้อมูลเชิงลึก (Spec) ที่ถูกต้องไหม? ถ้าเราสร้าง “ตัวตน” ให้ชัดเจน AI จะเลือกเราก่อนเว็บที่แค่ยัดคีย์เวิร์ด
2. จาก “Link Building” สู่ “Citation & Mention”
เมื่อก่อนใครมี Backlink เยอะคนนั้นชนะ แต่เดี๋ยวนี้ AI ฉลาดกว่านั้น มันแยกแยะออกว่าลิงก์ไหนคุณภาพหรือขยะ
GEO ให้ค่ากับ Citation (การอ้างอิง) และ Brand Mention (การถูกพูดถึง) ในบริบทที่ดี แม้จะไม่มีลิงก์กลับมา (Unlinked Mention) แต่ถ้าเว็บข่าวใหญ่ๆ หรือเว็บเฉพาะทางพูดถึงแบรนด์คุณ AI ก็จะจดจำว่าคุณคือ “ตัวจริง” ในวงการนั้น
3. จาก “Search Volume” สู่ “Answer Value”
SEO มักจะวิ่งไล่ตามคำค้นหาที่มี Volume สูงๆ แต่ GEO เน้นที่ Value (คุณค่าของคำตอบ)
AI จะเลือกเนื้อหาที่ “ตอบโจทย์ที่สุด” ไม่ใช่ “ยาวที่สุด” ดังนั้นการเขียนแบบน้ำท่วมทุ่งเพื่อหวัง SEO จะใช้ไม่ได้ผลกับ GEO ที่ต้องการความกระชับ ตรงประเด็น และมี Reference อ้างอิงชัดเจน
“Tips อย่าทิ้ง SEO พื้นฐานด้าน Technical, Speed และ Keyword ยังเป็นรากฐานที่สำคัญ เพิ่มน้ำหนัก GEO ด้วยการเติม “Facts & Stats” (ข้อมูลจริง/สถิติ) และ “Quotes” (คำพูดผู้เชี่ยวชาญ) ลงไปในทุกบทความ Structure is King จัดหน้าเว็บให้อ่านง่ายด้วย H2, H3 และ Bullet Points เสมอ เพราะถ้าคนอ่านง่าย AI ก็อ่านง่าย”

ประโยชน์ของการทำ GEO พลิกวิกฤต AI ให้เป็นโอกาสทำเงิน
หลายคนอาจมองว่า GEO คือภาระงานที่เพิ่มขึ้น แต่ในมุมมองของ Minimice Group ที่เราทำให้ลูกค้า นี่คือ “การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด” ในปี 2026 เพราะมันให้ผลลัพธ์ที่ SEO แบบเดิมให้ไม่ได้
นี่คือ 4 ข้อดีที่คุณจะได้รับ เมื่อเริ่มปรับเว็บให้เป็นมิตรกับ AI ตั้งแต่วันนี้
สร้าง Super-Authority (ความน่าเชื่อถือที่เหนือกว่าคู่แข่ง)
ในโลกยุคก่อน การอยู่อันดับ 1 บน Google คือความเท่ แต่ในโลกยุคนี้ การที่ AI (ซึ่งคนมองว่าเป็นคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ) เลือกหยิบข้อมูลของคุณมาตอบ คือการการันตีคุณภาพขั้นสุด
เมื่อลูกค้าเห็นว่า Gemini หรือ ChatGPT อ้างอิงแบรนด์ของคุณเป็น “แหล่งข้อมูลหลัก” ภาพลักษณ์แบรนด์จะดูเป็นผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ทันที ซึ่งมีผลทางจิตวิทยาอย่างมากในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูงหรือบริการ B2B
ได้ Traffic ที่เป็น “ตัวจริง” (Higher Conversion Rate)
เลิกกังวลเรื่องยอด Traffic ตกได้เลย เพราะ GEO จะทำหน้าที่เป็น “ตะแกรงร่อนทอง”
- SEO เดิม ดึงคนเข้ามาเยอะๆ (Mass) แต่อาจจะเป็นแค่คนมาดูเล่นๆ ไม่ซื้อ
- GEO คนที่อ่านคำตอบจาก AI แล้วยังตัดสินใจคลิกเข้ามาที่เว็บเรา แปลว่าเขา “เอาจริง” เขาต้องการรายละเอียดเชิงลึกเพื่อปิดการขาย
ดังนั้น แม้ Traffic จะน้อยลง แต่ Conversion Rate (โอกาสปิดการขาย) มักจะสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะคุณได้ลูกค้าที่ผ่านการคัดกรองมาแล้ว
ประหยัดงบโฆษณาในระยะยาว (Sustainable ROI)
ค่าโฆษณา (Paid Media) ในปี 2026 แพงขึ้นจนน่าตกใจ การประมูล Keyword แข่งกันไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน
การทำ GEO คือการสร้าง Digital Asset เมื่อ AI เรียนรู้และจดจำแบรนด์ของคุณเข้าสู่ Database แล้ว ชื่อของคุณจะถูกนำไปแสดงผลซ้ำๆ ในคำตอบของผู้ใช้นับไม่ถ้วน โดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินค่าคลิกแม้แต่บาทเดียว
ขยายอาณาจักรไปไกลกว่า Google (Cross-Platform Visibility)
นี่คือจุดตายที่หลายคนลืม! การทำ SEO เดิม คุณได้แค่ Google
แต่การทำ GEO คือการเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับ ทุก AI Platform ไม่ว่าลูกค้าจะถามผ่าน ChatGPT, Perplexity, Bing Copilot หรือแม้แต่ Siri ในอนาคต ข้อมูลที่ถูกปรับแต่งแบบ GEO จะสามารถไปโผล่ได้ทุกที่ เป็นการเปิดประตูสู่ฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่ไม่ได้ใช้ Google ค้นหาเป็นหลัก
“Tips Quality over Quantity อย่าเสียดาย Traffic ขยะ จงดีใจที่ GEO ช่วยคัดลูกค้าตัวจริงมาให้ Brand Awareness ฟรี แค่ชื่อแบรนด์ไปโผล่ใน AI Box ก็ถือว่าได้ Awareness มหาศาลแล้ว แม้คนจะไม่คลิกก็ตาม Winner Takes All ในโลก AI ผู้ชนะมักจะมีแค่ 1-2 รายที่ถูกอ้างอิง ดังนั้นการเริ่มก่อนคือความได้เปรียบมหาศาล”

กลไกการทำงานของ AI Search (RAG Concept แบบเข้าใจง่าย)
เพื่อให้เราเอาชนะ AI ได้ เราต้องรู้ก่อนว่ามันคิดยังไง? AI Search ส่วนใหญ่ใช้เทคนิคที่เรียกว่า RAG (Retrieval-Augmented Generation)
อธิบายง่ายๆ คือ
- Retrieval (ค้นหา) AI จะวิ่งไปหาข้อมูลจากเว็บที่น่าเชื่อถือ (เหมือนบรรณารักษ์วิ่งไปหยิบหนังสือ)
- Augmented (เสริม) เอาข้อมูลที่ได้มาผสมผสานกับความรู้เดิมที่มี
- Generation (สร้างคำตอบ) เขียนสรุปออกมาเป็นภาษาคนให้ผู้ใช้
จุดตายคือข้อ 1 ถ้าเว็บเราเขียนไม่รู้เรื่อง ไม่มีโครงสร้าง หรือดูไม่น่าเชื่อถือ AI ก็จะไม่ “หยิบ” เว็บเราไปใช้ตั้งแต่แรก
“Tips Structure is King AI ชอบข้อมูลที่มีหัวข้อชัดเจน (H2, H3) ไม่ชอบพารากราฟติดกันเป็นพืด Direct Answer ในแต่ละหัวข้อ ควรมีประโยคสรุป 40-60 คำ ที่ตอบคำถามตรงๆ เพื่อให้ AI ตัดไปใช้ได้เลย Factual Accuracy ข้อมูลต้องแม่นยำ มีตัวเลข มีสถิติอ้างอิง เพราะ AI รุ่นใหม่ๆ มีระบบ Fact-check ที่โหดมาก”
The Power of “Entity” เปลี่ยนคีย์เวิร์ดให้เป็น “ตัวตน”
ยุค 2026 เราเลิกคุยกันเรื่อง “Keyword Density” (การยัดคำค้นหา) กันแล้ว แต่เราคุยกันเรื่อง “Entity”
Entity คือ “สิ่งที่มีตัวตนจริง” ในสายตา AI เช่น ชื่อแบรนด์ ชื่อสินค้า ชื่อผู้บริหาร หรือสถานที่
AI จะมองว่า Minimice Group ไม่ใช่แค่ Keyword แต่คือ “Digital Marketing Agency” ที่ตั้งอยู่ใน “Bangkok” และมีความเชี่ยวชาญด้าน “SEO”
ถ้าคุณทำให้ AI เข้าใจความสัมพันธ์นี้ไม่ได้ ต่อให้เขียนบทความดีแค่ไหน ก็ยากที่จะติดอันดับใน GEO “Tips About Us Page เขียนหน้า “เกี่ยวกับเรา” ให้ละเอียดสุดๆ ระบุที่อยู่ รางวัล ทีมงาน Social Consistency ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร ใน Facebook, LinkedIn, Website ต้องตรงกันเป๊ะๆ (NAP Consistency) Wikipedia/Wikidata ถ้าเป็นไปได้ การมีข้อมูลในแหล่งเหล่านี้คือใบเบิกทางชั้นดีสู่ Database ของ AI”

E-E-A-T Factor สิ่งเดียวที่ AI สร้างเองไม่ได้ (คือความมนุษย์)
AI เก่งเรื่องรวบรวมข้อมูล แต่สิ่งหนึ่งที่มันทำไม่ได้คือ “ประสบการณ์จริง” (Experience)Google และ AI Search Engines ให้ค่าคะแนน E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) สูงมากในปี 2026 บทความที่เขียนโดย “AI ล้วน” จะเริ่มถูกลดอันดับลง แต่บทความที่มี “ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ” หรือ “รีวิวจากการใช้งานจริง” จะถูกดันขึ้นมาแทน
“Tips เพิ่ม E-E-A-T ให้เว็บ Author Bio ใส่ประวัติผู้เขียนท้ายบทความเสมอ ระบุความเชี่ยวชาญให้ชัดเจน Use “I” and “We” ใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 เล่าเรื่องจากประสบการณ์ (เช่น “จากที่ผมลองใช้…”, “ลูกค้าของเราพบว่า…”) Original Images ใช้รูปถ่ายจริง รูปทีมงานจริง แทนรูป Stock Photos เดิมๆ”
Technical GEO ภาษาที่เครื่องจักรเข้าใจ (Schema Markup)
เรื่องนี้อาจจะดูเทคนิคหน่อย แต่สำคัญมาก! การเขียนให้คนอ่านเข้าใจคือเรื่องศิลปะ แต่การเขียนให้ AI เข้าใจคือเรื่อง Schema Markup
Schema Markup คือโคดชุดเล็กๆ ที่เราแปะไว้หลังบ้าน เพื่อบอกหุ่นยนต์ว่า “นี่คือสูตรอาหาร” “นี่คือรีวิวสินค้า” “นี่คือคำถาม-คำตอบ”
ในปี 2026 การไม่ทำ Schema Markup เท่ากับคุณกำลังพูดภาษาต่างดาวใส่ AI มันจะไม่รู้เลยว่าข้อมูลส่วนไหนสำคัญ
“Tips Article Schema บอกว่านี่คือบทความข่าวหรือบล็อก FAQ Schema สำคัญมากสำหรับ GEO! ช่วยให้ AI ดึงคำถาม-คำตอบไปแสดงผลได้ทันที Organization Schema ยืนยันตัวตนบริษัท โลโก้ และช่องทางติดต่อ Person Schema ยืนยันตัวตนผู้เขียน (ดัน E-E-A-T)”
Citation Strategy กลยุทธ์การถูกอ้างอิง (The New Backlink)
ลืม Backlink แบบ Spam ไปได้เลย ในโลก GEO สิ่งที่มีค่าที่สุดคือ Citation หรือการถูกอ้างอิงถึงในเว็บที่มี Authority สูงๆ
เมื่อ AI ไปอ่านเจอบทความในเว็บข่าวชั้นนำ หรือเว็บการศึกษา ที่พูดถึงแบรนด์เราในแง่ดี มันจะบันทึกไว้ใน “Memory” ว่าแบรนด์เราเชื่อถือได้ และมีโอกาสสูงมากที่มันจะหยิบแบรนด์เราไปแนะนำเวลาคนถาม
“Tips Digital PR ลงข่าว PR ในเว็บข่าวออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ Guest Posting เขียนบทความคุณภาพลงในเว็บพันธมิตรในอุตสาหกรรมเดียวกัน Data & Research ทำบทความวิจัย หรือสถิติ (Original Research) เพราะคนชอบอ้างอิงตัวเลข และ AI ก็ชอบตัวเลข”
Exclusive Strategy: “The Entity Nexus Strategy” by Minimice
จากประสบการณ์ที่ Minimice Group ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้ากลุ่ม B2B รายหนึ่งที่ Traffic หายไปกว่า 40% เพราะโดน AI แย่งซีน เราใช้กลยุทธ์ที่ชื่อว่า “The Entity Nexus”
Case Study
เราไม่ได้แก้ที่การอัดบทความเพิ่ม แต่เราทำ 3 สิ่งนี้
- Re-structure ปรับโครงสร้างเว็บใหม่ทั้งหมด ใส่ FAQ Schema ทุกหน้าบริการ เพื่อป้อนคำตอบใส่ปาก AI
- Entity Linking สร้างเครือข่ายลิงก์ภายใน (Internal Link) เชื่อมโยงสินค้า A ไปยังบริการ B โดยใช้ภาษาธรรมชาติ (Natural Language) เพื่อให้ AI เข้าใจ Context ของธุรกิจทั้งหมด
- Expert Validation ให้ผู้เชี่ยวชาญในบริษัทลูกค้าเขียน “Technical Note” สั้นๆ แทรกในบทความ เพื่อยืนยันความรู้จริง (Expertise)
ผลลัพธ์ ภายใน 3 เดือน ไม่ใช่แค่ Traffic กลับมา แต่แบรนด์ลูกค้าเริ่มไปโผล่ในคำตอบของ Gemini และ ChatGPT ในฐานะ “Recommended Brand” ซึ่ง Convert เป็นยอดขายได้ดีกว่า Traffic เดิมๆ เสียอีก

คลังศัพท์ GEO น่ารู้
สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มศึกษา นี่คือคำศัพท์ที่คุณจะได้ยินบ่อยในปี 2026
- LLM (Large Language Model) โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่เป็นสมองของ AI เช่น GPT-5, Claude, Gemini
- AIO (AI Overview) พื้นที่แสดงคำตอบที่สรุปโดย AI ซึ่งจะอยู่บนสุดของหน้าค้นหา Google (แย่งที่ SEO เดิม)
- Zero-Click Search การค้นหาที่ผู้ใช้ได้คำตอบทันทีโดยไม่ต้องกดลิงก์เข้าเว็บ
- Prompt Engineering ศิลปะการสั่งงาน AI (ในมุม SEO คือการเขียนเนื้อหาที่ “Prompt” ให้ AI อยากหยิบไปใช้)
สิ่งที่ต้องทำทันที
- ตรวจสอบว่าหน้าเว็บมี FAQ Schema แล้วหรือยัง?
- อัปเดตหน้า About Us ให้ละเอียดและน่าเชื่อถือที่สุด
- รีวิวบทความ Top 5 ของเว็บ แล้วเพิ่ม “Direct Answer” (สรุปคำตอบ 40-60 คำ) ไว้ส่วนต้น
- ตรวจสอบ Broken Link และความเร็วเว็บไซต์ (Core Web Vitals) เพราะ AI เกลียดเว็บช้า
- ลอง Search ชื่อแบรนด์ตัวเองใน ChatGPT/Gemini ดูว่า AI รู้จักเราไหม? ถ้าไม่… ต้องรีบสร้าง Entity ด่วน!
FAQs คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเรื่อง GEO
GEO จะมาแทนที่ SEO ถาวรเลยไหม?
ไม่เชิง เรียกว่า “ทำงานร่วมกัน” ดีกว่า พื้นฐานด้าน Technical SEO ยังจำเป็นมาก แต่ GEO คือส่วนต่อขยายที่ทำให้เราคุยกับ AI รู้เรื่อง
ธุรกิจเล็กๆ จำเป็นต้องทำ GEO ไหม?
ยิ่งจำเป็น เพราะธุรกิจเล็กสู้เจ้าใหญ่เรื่องงบโฆษณาไม่ได้ แต่ GEO เปิดโอกาสให้เราชนะด้วย “ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง” (Niche Expertise) ที่ AI ตามหา
ทำ GEO นานไหมกว่าจะเห็นผล?
ปกติใช้เวลา 3-6 เดือน คล้าย SEO แต่ขึ้นอยู่กับว่า AI Crawl เว็บเราบ่อยแค่ไหนด้วย
เขียนบทความด้วย AI ทำ GEO ได้ไหม?
ได้ แต่ต้องระวัง ถ้าใช้ AI เขียน 100% ขาด Insight ของมนุษย์ คะแนน E-E-A-T จะต่ำ แนะนำให้ใช้ AI เป็นผู้ช่วยร่าง แล้วเราเติมประสบการณ์จริงเข้าไป
ต้องแก้ทุกหน้าในเว็บเลยไหม?
ไม่จำเป็นต้องรื้อใหม่ทั้งเว็บ แนะนำให้ใช้กฎ 80/20 โฟกัสแก้เฉพาะ “Money Pages” (หน้าสินค้าหรือบริการหลัก) และบทความ Top 20% ที่มี Traffic สูงสุดก่อน เพื่อให้ AI จับสัญญาณความเชี่ยวชาญได้เร็วที่สุดโดยใช้แรงน้อยที่สุด
เครื่องมือวัดผล GEO คืออะไร?
หลักๆ เราจะวัดผลที่ “Citation Rate” หรืออัตราการถูกอ้างอิง โดยใช้เครื่องมืออย่าง Perplexity หรือการทดลอง Search จริงใน Gemini/ChatGPT เพื่อเช็กว่า AI หยิบลิงก์เราไปแปะเป็นแหล่งอ้างอิงท้ายคำตอบหรือไม่ ส่วนในหลังบ้านให้โฟกัสที่ Referral Traffic จาก AI Platforms ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนที่สุดว่ากลยุทธ์ GEO เริ่มทำงานแล้ว
ถ้าเว็บไม่มี Blog ทำ GEO ได้ไหม?
ยาก เพราะ AI ต้องการ “เนื้อหา” (Context) เพื่อเรียนรู้ธุรกิจคุณ แนะนำให้เริ่มทำส่วน Knowledge Center หรือ FAQ
GEO แพงกว่า SEO ไหม?
ในระยะสั้นอาจดูสูงกว่าเพราะต้องลงทุนกับ Content คุณภาพระดับ Expert และข้อมูลเชิงลึก แต่ในระยะยาว GEO ประหยัดกว่ามาก เพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อ Backlink จำนวนมากเหมือน SEO ยุคเก่า เน้นสร้าง Asset ครั้งเดียวให้ AI จดจำกินยาวๆ
ธุรกิจ B2B หรือ B2C ที่เหมาะกับ GEO?
เหมาะทั้งคู่ แต่ B2B จะเห็นผลชัดเรื่องความน่าเชื่อถือ ส่วน B2C จะช่วยเรื่องการตอบคำถามลูกค้าแบบรวดเร็ว
เริ่มทำ GEO วันนี้ต้องจ้างใคร?
แนะนำให้หา Agency ที่เข้าใจทั้ง Technical SEO และ AI Technology อย่าง Minimice Group ที่เรามีการวาง Digital Infrastructure ให้รองรับอนาคต
สรุป
โลก Search Marketing ปี 2026 ไม่ได้แข่งกันที่ “ใครเสียงดังกว่า” แต่แข่งกันที่ “ใครฉลาดกว่าและน่าเชื่อถือกว่า”
การทำ GEO ไม่ใช่ทางเลือก แต่คือทางรอด หากคุณไม่อยากให้แบรนด์กลายเป็น “ร้านลับ” ที่แม้แต่ AI ก็หาไม่เจอ ถึงเวลาแล้วที่ต้องเริ่มปรับโครงสร้างบ้านดิจิทัลของคุณใหม่ถ้าคุณอ่านบทความนี้จบแล้วรู้สึกว่า “งานช้าง” หรือไม่รู้จะเริ่มแก้ตรงไหนก่อนดี… ไม่ต้องกังวล ทักมาคุยกับทีมงาน Minimice Group ได้เลย เราพร้อมช่วยคุณวางกลยุทธ์ GEO ให้ธุรกิจคุณ “Sprout” เติบโตอย่างยั่งยืนในยุค AI



