Key Takeaway
- Ad Extensions คือเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา เป็นส่วนขยายของโฆษณาบน Google Ads โดยเพิ่มรายละเอียดและข้อมูลให้กับแคมเปญโฆษณา
- Ad Extensions มีอยู่ 14 รูปแบบหลักๆ เช่น Sitelink Extensions, Callout Extensions, Structured Snippet Extensions, Image Extensions ไปจนถึง Business Information Extensions เป็นต้น
- Ad Extensions ช่วยเพิ่ม CTR ทำให้โฆษณาโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ซึ่งปรับปรุงคุณภาพโฆษณาและลด CPC ช่วยดึงดูดความสนใจจาก User และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ส่งผลให้ปิดการขายได้เร็ว จึงเป็นทางเลือกในการประหยัดงบในการทำโฆษณาได้อย่างดี
ในปัจจุบัน หลายธุรกิจนิยมใช้ Google Search เพราะ User ของ Google มีมากกว่า 4 ร้อยล้านคนต่อเดือน เมื่อ Google กลายเป็นตลอดออนไลน์ขนาดใหญ่ จึงทำให้หลายแบรนด์เลือกใช้ Google Ads เพื่อเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
Google Ads คือการทำโฆษณาออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูง เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวาง ผ่านการแสดงโฆษณาในผลการค้นหาของ Google สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายตามคำค้นหา ความสนใจ และพฤติกรรมออนไลน์ กำหนดงบประมาณรายวัน หรือตามแคมเปญได้ หรือจ่ายเฉพาะเมื่อมีคนคลิกโฆษณา (Pay-Per-Click) อีกทั้งยังสามารถติดตามประสิทธิภาพหรือปรับแต่งแคมเปญตามความต้องการของ User ได้ตลอดเวลา
แต่ส่วนที่ทำให้โฆษณาประสบความสำเร็จคือ Ad Extensions ส่วนขยายโฆษณา ไปทำความรู้จักกันว่าคืออะไร แล้วมีประโยชน์อย่างไรในโลกธุรกิจ
รู้จัก ฟีเจอร์เด็ด Ad Extensions คืออะไร?
Ad Extensions และ Google Ads มีความเกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจน โดย Ad Extensions เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา และเป็นส่วนขยายของโฆษณาบน Google Ads โดยการเพิ่มรายละเอียดและข้อมูลให้กับแคมเปญโฆษณา
มีส่วนช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (Click-Through Rate) ทำให้โฆษณาโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ปรับปรุงคุณภาพโฆษณา ที่ส่งผลให้ Cost Per Click (CPC) ลดลง นอกจากนี้ยังช่วยดึงดูดความสนใจจาก User ได้มากขึ้น ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ เพื่อช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับโฆษณา เพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าเป้าหมาย และสร้างการรับรู้แบรนด์ ให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย
เปลี่ยนโฆษณาธรรมดาด้วย 14 รูปแบบ Ad Extensions ให้โดดเด่นกว่าใคร
แล้ว Ad Extensions หรือส่วนขยายโฆษณานั้นมีอะไรบ้าง มาเปลี่ยนโฆษณาธรรมดาให้โดดเด่นด้วย 14 รูปแบบที่น่าสนใจกันได้เลย!
1. Sitelink Extensions
Sitelink Extensions เป็นหนึ่งในรูปแบบของ Ad Extensions ที่ได้รับความนิยมสูงสุดใน Google Ads โดยมีคุณสมบัติโดดเด่นที่สามารถแสดงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวข้องกับโฆษณาหลัก เพิ่มลิงก์ (URL) ไปยังหน้า Landing Page ได้
ทั้งนี้ยังช่วยเพิ่มตัวเลือกในการคลิกให้กับ User ช่วยให้ User เข้าถึงหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการได้รวดเร็วขึ้น เพิ่มพื้นที่โฆษณา ทำให้โฆษณาดูใหญ่ และโดดเด่นขึ้น ตัวอย่างการใช้งานเพื่อลิงก์ไปยังหน้าต่างๆ เช่น หน้าลงทะเบียน หน้าสั่งซื้อสินค้า หน้ารายละเอียดสินค้าหรือบริการ หน้าโปรโมชันพิเศษ เป็นต้น
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- จำนวนลิงก์ที่เหมาะสม: ใส่ลิงก์อย่างน้อย 2 ลิงก์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของโฆษณา
- ความสอดคล้องของโดเมน: ใช้ลิงก์จากโดเมนเนมเดียวกันกับเว็บไซต์หลัก หลีกเลี่ยงการใช้ลิงก์จากโดเมนอื่น เพื่อป้องกันการไม่อนุมัติจาก Google
- เลือกหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง: ใช้ลิงก์ไปยังหน้าที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาโฆษณาหลัก โดยเลือกหน้าที่มีโอกาสนำไปสู่การทำให้ User กลายเป็นลูกค้าสูง
- เขียนข้อความที่น่าสนใจ: ใช้ข้อความที่กระตุ้นการคลิก (CTA) ที่สั้น กระชับ และชัดเจน เพื่ออธิบายถึงประโยชน์ที่ User จะได้รับเมื่อคลิกลิงก์
2. Callout Extensions
Callout Extensions เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ Ad Extensions ที่ได้รับความนิยม เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา Google Ads ได้ดี ซึ่งมีคุณสมบัติ คือช่วยเพิ่มคำอธิบายสั้นๆ ต่อจากข้อความโฆษณาหลัก โดยจำกัดความยาวไม่เกิน 25 อักขระ เพื่อช่วยเน้นย้ำจุดขาย รวมถึงคุณสมบัติพิเศษของสินค้าและบริการ เพื่อให้ปิดการขายได้นั่นเอง
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- หลีกเลี่ยงการซ้ำซ้อน: ใช้ข้อความที่ต่างจากส่วนอธิบายหลัก นำเสนอข้อมูลใหม่หรือเน้นย้ำจุดขายที่สำคัญ
- ใช้คำที่กระตุ้นการตัดสินใจ: เลือกคำที่ช่วย CTA ใช้ภาษาที่โน้มน้าวและสร้างความเร่งด่วน เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจรีบซื้อ
- เน้นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ: ระบุข้อเสนอพิเศษหรือคุณสมบัติเด่น โดยแสดงจุดแข็งที่แตกต่างจากคู่แข่ง
3. Structured Snippet Extensions
Structured Snippet Extensions เป็นอีกรูปแบบของ Ad Extensions โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกับ Callout Extensions ที่เน้นอธิบายข้อดี หรือคุณสมบัติเฉพาะของสินค้า และบริการ จำกัดความยาวไม่เกิน 25 อักขระต่อรายการ ซึ่งเหมาะสำหรับแสดงรายการในส่วนของคุณสมบัติหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น Free! WiFi หรือจะเป็น คอนโดหรูใกล้รถไฟฟ้า เป็นต้น
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ระบุคุณสมบัติเฉพาะ: ลิสต์คุณสมบัติหรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่โดดเด่น เน้นสิ่งที่ทำให้สินค้าหรือบริการของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง
- ใช้ภาษาที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย: อธิบายอย่างตรงไปตรงมา หลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์เฉพาะทางที่ยากเกินไป
- จัดหมวดหมู่อย่างเหมาะสม: เลือกหัวข้อ (Header) ที่เหมาะสมกับรายการคุณสมบัติ ใช้หัวข้อที่ Google กำหนดไว้ เช่น ‘สิ่งอำนวยความสะดวก’ ‘แบรนด์’ ‘หลักสูตร’ เป็นต้น
- ปรับให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย: เลือกคุณสมบัติที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนได้ตามฤดูกาลหรือเทศกาลต่างๆ
4. Image Extensions
Ad Extensions รูปแบบ Image Extensions เป็นส่วนขยายโฆษณาประเภทรูปภาพ มีลักษณะที่จะใช้รูปภาพเพื่อดึงดูดความสนใจ และอธิบายโฆษณาเพิ่มเติม โดยอัตราส่วนภาพต้องเป็น 1:1 (สี่เหลี่ยมจัตุรัส) สามารถใช้ได้สูงสุด 20 ภาพต่อโฆษณา และขนาดไฟล์แต่ละภาพต้องไม่เกิน 5120 KB (ประมาณ 5 MB) ถึงจะได้รับการอนุมัติ
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- คุณภาพของภาพ: ใช้ภาพที่มีความคมชัดสูง หลีกเลี่ยงการใส่โลโก้หรือตัวอักษรในภาพ และควรเลือกภาพที่มีพื้นสีขาวน้อยที่สุด
- จำนวนภาพที่เหมาะสม: ควรใช้อย่างน้อย 3 รูปต่อแคมเปญ เพื่อช่วยให้ Google มีตัวเลือกในการแสดงโฆษณา
- ความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา: เลือกภาพที่สอดคล้องกับสินค้าหรือบริการ และใช้ภาพที่สื่อถึงประโยชน์หรือคุณสมบัติของสินค้าด้วย
- ลิขสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย: ใช้ภาพที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง หลีกเลี่ยงการใช้ภาพที่ละเมิดลิขสิทธิ์หรือเครื่องหมายการค้า
5. Call Extensions
Call Extensions เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพใน Google Ads ที่ช่วยเพิ่มการติดต่อโดยตรงระหว่างลูกค้ากับธุรกิจ โดย Call Extensions มีลักษณะที่จะให้เพิ่มเบอร์โทรศัพท์ลงในโฆษณา เพื่อที่ลูกค้าสามารถโทรหาธุรกิจได้โดยตรงจากโฆษณา สามารถใช้ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์มือถือเลย
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- เตรียมพร้อมรับสาย: จัดเตรียมทีมรับสายให้พร้อมตลอดเวลา รวมถึงฝึกอบรมพนักงานให้สามารถตอบคำถามและให้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- กำหนดเวลาแสดงโฆษณา: ตั้งค่าให้ Call Extensions แสดงเฉพาะในช่วงเวลาทำการ เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงเบอร์โทรเมื่อไม่มีคนรับสาย
- ใช้เบอร์โทรที่เหมาะสม: ใช้เบอร์โทรท้องถิ่นสำหรับธุรกิจในพื้นที่ และใช้เบอร์โทรฟรีสำหรับธุรกิจระดับประเทศ
6. Lead form Extensions
Lead Form Extensions เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าที่สนใจได้โดยตรงจากโฆษณา มีคุณสมบัติที่สามารถเพิ่มฟอร์มลงทะเบียนหรือฝากข้อมูลติดต่อในโฆษณา ผู้สนใจสามารถกรอกข้อมูลได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าเว็บไซต์ แต่ใช้ได้เฉพาะใน Search Campaign และมีการแสดงผลเฉพาะบนมือถือ และแท็บเล็ตเท่านั้น
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ใส่ Privacy Policy URL: จำเป็นต้องมี เพื่อแสดงความโปร่งใส สร้างความน่าเชื่อถือ และให้ผ่านการอนุมัติจาก Google
- ออกแบบฟอร์มให้กระชับ: ขอเฉพาะข้อมูลที่จำเป็น และใช้คำถามที่ชัดเจน เข้าใจง่าย
- สร้าง CTA ที่น่าสนใจ: ใช้ข้อความที่กระตุ้นให้ User กรอกข้อมูล เน้นประโยชน์ที่ User จะได้รับ
- จัดการข้อมูลอย่างรวดเร็ว: เก็บข้อมูลภายใน 30 วัน เพื่อป้องกันการสูญหาย พร้อมตั้งระบบแจ้งเตือนเพื่อติดตามลีดใหม่
7. Location Extensions
Location Extensions เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือสถานที่ให้บริการ โดยเฉพาะร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยว เพราะสามารถแสดงที่อยู่และพิกัดของธุรกิจในโฆษณา Google Ads แล้วซิงค์ข้อมูลกับ Google My Business โดยอัตโนมัติได้ ช่วยให้ลูกค้าทราบตำแหน่งที่ตั้งของธุรกิจได้ในทันที
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล: ยืนยันว่าพิกัดและที่อยู่ตรงกับสถานที่จริงของธุรกิจ รวมถึงตรวจสอบความถูกต้องของเส้นทางที่แสดงใน Google Maps ด้วย
- อัปเดตข้อมูลสม่ำเสมอ: ปรับปรุงข้อมูลใน Google My Business ให้เป็นปัจจุบัน เช่น แจ้งการเปลี่ยนแปลงที่อยู่หรือเวลาทำการทันที
- เพิ่มรายละเอียดที่เป็นประโยชน์: ระบุเวลาทำการที่ชัดเจน และเพิ่มรูปภาพของสถานที่ เพื่อให้ลูกค้าจดจำได้ง่าย
- ใช้ร่วมกับ Ad Extensions อื่น: ผสมผสานกับ Call Extensions เพื่อให้ลูกค้าติดต่อได้สะดวก หรือจะใช้ร่วมกับ Promotion Extensions เพื่อแสดงโปรโมชันพิเศษก็ได้
8. Affiliate location Extensions
Affiliate Location Extensions เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจที่มีหลายสาขาหรือตัวแทนจำหน่าย โดยจะแสดงที่ตั้งของสาขาหรือตัวแทนจำหน่ายที่ใกล้ที่สุดกับ User เพื่อช่วยให้ลูกค้าหาสถานที่ซื้อสินค้าหรือรับบริการได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล: ยืนยันว่าทุกสาขาที่เชื่อมกับโฆษณามีอยู่จริง แล้วตรวจสอบว่าทุกสาขาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของธุรกิจ
- ปรับปรุงข้อมูลสินค้าและบริการ: ตรวจสอบความพร้อมของสินค้าและบริการในแต่ละสาขา ปรับปรุงข้อมูลสต็อกสินค้าให้เป็นปัจจุบัน
- ใช้ Local Inventory Ads: แสดงข้อมูลสินค้าที่มีในสต็อก เพื่อช่วยให้ลูกค้าทราบว่าสินค้าที่ต้องการมีพร้อมจำหน่ายที่สาขาไหน
- ปรับแต่งการกำหนดเป้าหมายตามพื้นที่: ใช้ Geo-targeting เพื่อแสดงโฆษณาในพื้นที่ที่มีสาขา หรือตัวแทนจำหน่าย ปรับการประมูลตามระยะทางจากสาขา เพิ่มโอกาสในการดึงดูดลูกค้าที่อยู่ใกล้
9. Price Extensions
Price Extensions เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับแสดงราคาสินค้าหรือบริการโดยตรงในโฆษณา ซึ่งมีการแสดงชื่อผลิตภัณฑ์ รุ่นสินค้า และราคาในโฆษณา เพื่อช่วยให้ User เห็นราคาสินค้าได้ทันที โดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ ซึ่งสามารถแสดงราคาสินค้าได้สูงสุดถึง 8 รายการเลย
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ตรวจสอบความถูกต้องของราคา: เช็กราคาให้ตรงกับราคาจริงในเว็บไซต์และหน้าร้าน รวมถึงอัปเดตราคาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงโปรโมชันหรือช่วงเทศกาล
- แสดงราคาที่แข่งขันได้: เปรียบเทียบกับราคาของคู่แข่ง หากราคาสูงกว่า ให้เน้นจุดเด่นอื่นๆ แทน เช่น คุณภาพ หรือบริการหลังการขาย เป็นต้น
- จัดการสินค้าตามฤดูกาล: ปรับราคาให้เหมาะสมกับสินค้าตามฤดูกาล และแยก Extensions สำหรับสินค้าปกติและสินค้าลดราคา
- ใช้ราคาเริ่มต้น (Starting From): ดึงดูดความสนใจด้วยการระบุราคาเริ่มต้นสำหรับสินค้าที่มีหลายระดับราคา โดยควรระบุให้ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด
10. App Extensions
App Extensions เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจที่มีแอปพลิเคชันของตัวเอง เพื่อช่วยเพิ่มยอดดาวน์โหลดและการใช้งานแอป โดยจะแสดงลิงก์ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันในโฆษณา Google Ads ที่สามารถใช้ได้ทั้งบนระบบ iOS และ Android และยังสามารถใช้เสริมกับโฆษณาที่มีอยู่แล้วใน Search Campaigns ได้ด้วย
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ใช้ร่วมกับ Search Campaigns: เพิ่ม App Extensions ในแคมเปญค้นหาที่มีอยู่ แล้วเน้นคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชันของแอป
- สร้างข้อความเชิญชวนที่น่าสนใจ: ระบุจุดเด่นหรือประโยชน์ของแอปอย่างชัดเจน โดยใช้ CTA ที่กระตุ้นการดาวน์โหลด
- ปรับแต่งตามแพลตฟอร์ม: สร้าง Extensions แยกสำหรับ iOS และ Android แล้วปรับข้อความให้เหมาะกับ User แต่ละแพลตฟอร์ม
11. Promotion Extensions
Promotion Extensions เป็นเครื่องมือสำหรับธุรกิจที่ต้องการโปรโมตข้อเสนอพิเศษ หรือส่วนลด โดยจะแสดงส่วนลด หรือโปรโมชันบนโฆษณา Google Ads ซึ่งสามารถระบุรายละเอียดเกี่ยวกับโปรโมชัน รวมถึงวันเริ่มต้น และสิ้นสุดได้ เพื่อช่วยดึงดูดความสนใจและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อมากขึ้น
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ระบุระยะเวลาโปรโมชันอย่างชัดเจน: ใส่วันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดของโปรโมชัน ทั้งนี้ควรทำโปรโมชันแบบระยะสั้นเพื่อสร้างความเร่งด่วน ให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น
- ใช้ข้อความที่กระตุ้นการตัดสินใจ: เน้นมูลค่าของส่วนลดหรือข้อเสนอพิเศษ โดยใช้ภาษาที่สร้างความเร่งด่วน เช่น “มีจำนวนจำกัด” หรือ “เฉพาะวันนี้เท่านั้น” เป็นต้น
- ปรับตามเทศกาลหรือฤดูกาล: สร้าง Promotion Extensions ให้สอดคล้องกับเทศกาลสำคัญ หรือฤดูกาลต่างๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้าในช่วงเวลานั้น
12. Message Extensions
Message Extensions เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับธุรกิจได้โดยตรงผ่านข้อความ โดยสามารถเพิ่มปุ่ม ‘ส่งข้อความ’ ในโฆษณา Google Ads ได้ เพื่อให้ลูกค้าสามารถส่งข้อความถึงธุรกิจได้ทันทีจากโฆษณา แต่รองรับบนอุปกรณ์มือถือที่สามารถส่งข้อความได้เท่านั้น
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- สร้างข้อความเริ่มต้นที่น่าสนใจ: ใช้ข้อความเชิญชวนให้ลูกค้าติดต่อ ระบุประเด็น หรือคำถามที่ลูกค้ามักสอบถาม
- ตั้งค่าเวลาการตอบกลับ: แจ้งเวลาที่คาดว่าจะตอบกลับให้ลูกค้าทราบ โดยตั้งค่าข้อความตอบกลับแบบอัตโนมัติเมื่ออยู่นอกเวลาทำการ
- เตรียมทีมตอบข้อความ: ฝึกอบรมพนักงานให้พร้อมตอบคำถาม และให้ข้อมูลที่ถูกต้อง โดยสร้างแนวทางการที่เป็นมาตรฐาน เพื่อให้เป็นไปในทางเดียวกัน
- ปรับใช้ตามประเภทธุรกิจ: เช่น ธุรกิจบริการ อาจเน้นการนัดหมายหรือให้คำปรึกษา ส่วนธุรกิจค้าปลีก อาจใช้สำหรับสอบถามสินค้าหรือโปรโมชัน
13. Seller Ratings Extensions
Seller Rating Extensions หรือส่วนขยายการให้คะแนนผู้ขาย เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าคลิกโฆษณาของคุณ โดยจะแสดงคะแนนรีวิวของธุรกิจในรูปแบบดาว 1-5 ดาว ซึ่งรวบรวมรีวิวจากหลายแหล่ง เช่น Google เว็บไซต์ธุรกิจของคุณ และเว็บไซต์อื่นๆ ที่เชื่อถือได้ เป็นต้น
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- รักษาคุณภาพบริการให้ดีอย่างสม่ำเสมอ: มุ่งเน้นการให้บริการที่เป็นเลิศ รวมถึงการแก้ไขปัญหาของลูกค้าอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาคะแนนรีวิวที่ดี
- กระตุ้นให้ลูกค้ารีวิว: ส่งเสริมให้ลูกค้าที่พึงพอใจแสดงความคิดเห็นบน Google โดยใช้ระบบติดตามหลังการขายเพื่อขอรีวิวอย่างสุภาพ
- จัดการรีวิวเชิงลบอย่างมืออาชีพ: ตอบกลับรีวิวเชิงลบอย่างสร้างสรรค์และแสดงความใส่ใจ ใช้ข้อมูลจากรีวิวเชิงลบเพื่อปรับปรุงบริการต่อไป
- ใช้ร่วมกับ Extensions อื่น: ผสมผสานกับ Sitelink Extensions เพื่อนำไปสู่หน้ารีวิวหรือรางวัลที่ได้รับ และใช้ร่วมกับ Callout Extensions เพื่อเน้นจุดแข็งของธุรกิจก็ได้เช่นกัน
14. Business Information Extensions
Business Information Extensions เป็นเครื่องมือใน Google Ads ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถแสดงข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมในโฆษณาของตัวเอง โดยทำให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลสำคัญได้ทันที โดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ และสามารถแสดงข้อมูล เช่น เวลาทำการ บริการที่มี หรือข้อมูลการติดต่อเพิ่มเติมได้
วิธีใช้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- เลือกข้อมูลที่สำคัญที่สุด: ควรระบุข้อมูลที่ลูกค้ามักสอบถามบ่อย และแสดงข้อมูลที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อดึงดูดความสนใจ
- ปรับข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ: อัปเดตข้อมูลทันทีที่มีการเปลี่ยนแปลง และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลอยู่สม่ำเสมอ
- ปรับแต่งตามประเภทธุรกิจ: เช่น ร้านอาหาร ให้แสดงเวลาทำการ เมนูพิเศษหรือบริการจัดส่ง และร้านค้าปลีก ให้แสดงบริการพิเศษ นโยบายการคืนสินค้าหรือข้อมูลตัวแทนจำหน่าย
- ใช้ร่วมกับ Extensions อื่น: สามารถผสมผสานกับ Sitelink Extensions เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือใช้ร่วมกับ Call Extensions เพื่อให้ลูกค้าติดต่อได้ง่ายขึ้นด้วย
ประโยชน์ของ Ad Extensions ที่คนทำธุรกิจต้องรู้!
เรียกได้ว่า การทำโฆษณาใน Google Ads มี Ad Extensions หลายรูปแบบมาก ซึ่งเราสามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของธุรกิจเลย ต่อไปมาดูประโยชน์ของ Ad Extensions ที่คนทำธุรกิจต้องรู้!
ช่วยดึงดูดผู้เข้าชมมากขึ้น
Ad Extensions ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้โฆษณาด้วยคุณสมบัติที่หลากหลาย ทำให้มีส่วนช่วยดึงดูดผู้เข้าชมมากยิ่งขึ้น โดยจะแสดงข้อมูลเพิ่มเติมที่ User ต้องการ เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือโปรโมชันพิเศษ ซึ่งข้อมูลเสริมเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้า หรือบริการของธุรกิจได้ง่ายขึ้น จนสามารถปิดการขาย และเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นในที่สุด
ช่วยชิงพื้นที่โฆษณาในสื่อได้มากขึ้น
Ad Extensions ช่วยขยายพื้นที่โฆษณาให้มากกว่าคู่แข่ง ส่งผลให้โฆษณาของธุรกิจมีขนาดใหญ่และโดดเด่นกว่าใคร User จะเห็นข้อมูลของธุรกิจมากขึ้น รวมทั้งมีแนวโน้มสูงที่จะสังเกตเห็นโฆษณาของธุรกิจของคุณก่อน ด้วยวิธีนี้ ธุรกิจของคุณจึงสามารถ ‘ช่วงชิง’ พื้นที่สื่อ และความสนใจจาก User ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
ช่วยเพิ่มคุณภาพของโฆษณามากขึ้น
Ad Extensions ช่วยยกระดับคุณภาพโฆษณาของธุรกิจ โดยเพิ่ม CTR ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของประสิทธิภาพโฆษณา การเพิ่มขึ้นของ CTR ไม่เพียงแต่เป็นการปรับปรุงคุณภาพโฆษณาโดยรวม แต่ยังช่วยยกระดับ Ads Rank ให้สูงขึ้น ส่งผลให้โฆษณาของธุรกิจมีโอกาสปรากฏในตำแหน่งที่ดีกว่าบนหน้าผลการค้นหานั่นเอง
ช่วยกรองกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงได้
Ad Extensions ช่วยคัดกรองกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจจริงๆ โดยจะแสดงข้อมูลสำคัญที่ลูกค้าต้องการทราบเบื้องต้น ทำให้ผู้ที่คลิกโฆษณา มีแนวโน้มสูงที่จะสนใจสินค้า หรือบริการของธุรกิจนั้นๆ อย่างแท้จริง วิธีนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการนำกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพเข้าสู่เว็บไซต์ และอาจส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้เข้าชมมีความตั้งใจซื้อสูงกว่านั่นเอง
ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาได้
Ad Extensions ช่วยประหยัดงบโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการเพิ่มคุณภาพโฆษณา ส่งผลให้ค่า Quality Score สูงขึ้น เมื่อปรับปรุง CTR ทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ต้องลด Cost-Per-Click (CPC) เนื่องจากโฆษณามีคุณภาพสูงขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มโอกาสการแสดงผลโฆษณาในตำแหน่งที่ดี โดยใช้งบประมาณเท่าเดิม ซึ่งวิธีนี้ส่งผลให้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้จากงบประมาณโฆษณาเท่าเดิมหรือน้อยลง
อยากสร้าง Ad Extensions ทำได้อย่างไร?
การสร้าง Ad Extensions สามารถทำได้ดังนี้
- เข้าสู่บัญชี Google Ads ของคุณ
- ไปที่แท็บ ‘Ads & Extensions’ ในเมนูด้านซ้าย
- คลิกที่ ‘Extensions’
- กดปุ่ม ‘+’ เพื่อเพิ่ม Extensions ใหม่
- เลือกประเภทของ Extensions ที่ต้องการ
- กรอกข้อมูลตามที่ระบบร้องขอ สำหรับแต่ละประเภทที่เลือก
- เลือกแคมเปญ หรือกลุ่มโฆษณา ที่ต้องการให้ Extensions แสดง
- ตรวจสอบ และบันทึก
- รอให้ Google อนุมัติ Extensions (มักใช้เวลาไม่นาน)
เคล็ดลับ! พยายามสร้าง Extensions หลายๆ แบบ เพื่อเพิ่มโอกาสการแสดงผล และปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อประสิทธิภาพการโฆษณาสูงสุด แต่ทางที่ดีให้เลือกแบบที่เข้ากับสินค้าและบริการมากที่สุด
ใช้ Ad Extensions อย่างไร ให้มีประสิทธิภาพ Traffic ปังๆ
วิธีใช้ Ad Extensions ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ให้ได้ Traffic กลับมาแบบปังๆ ปิดจบการขายกันแบบรัวๆ!
- เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกประเภท
- ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดในโฆษณา เพื่อเพิ่มโอกาสการคลิก
- สร้างหลายตัวเลือกสำหรับแต่ละประเภท เนื่องจาก Google จะสุ่มแสดง Extensions ที่มีประสิทธิภาพสูง
- ใส่ส่วนขยายอย่างน้อย 3 คำ สำหรับ Sitelinks Extensions และ Callout Extensions เพื่อให้ระบบมีตัวเลือกในการแสดงผล
- ติดตามประสิทธิภาพและปรับปรุง Extensions ที่มี CTR สูงอย่างต่อเนื่อง
- ทดสอบและปรับแต่งข้อความใน Extensions เพื่อหาสิ่งที่ดึงดูด User ได้ดีที่สุด
ตัวอย่างการนำ Ad Extensions มาใช้ในธุรกิจ
การใช้ Ad Extensions ที่เหมาะสม จะช่วยให้โฆษณามีข้อมูลครบถ้วน น่าสนใจ และตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยตัวอย่างการนำ Ad Extensions มาใช้ในธุรกิจประเภทต่างๆ มีดังนี้
ธุรกิจร้านอาหาร
- Location Extensions: แสดงที่ตั้งร้าน
- Call Extensions: เบอร์โทรสำหรับจองโต๊ะ
- Sitelink Extensions: เมนู โปรโมชัน และรีวิว
- Callout Extensions: “จองโต๊ะออนไลน์” “ส่งฟรีเดลิเวอรี”
ธุรกิจโรงแรม
- Price Extensions: แสดงราคาห้องพักประเภทต่างๆ
- Image Extensions: ภาพห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวก
- Promotion Extensions: ส่วนลดพิเศษสำหรับการจองล่วงหน้า
- Structured Snippet Extensions: ประเภทห้องพักและบริการเสริม
ธุรกิจร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์
- Sitelink Extensions: หมวดหมู่สินค้า โปรโมชัน และนโยบายการคืนสินค้า
- Promotion Extensions: โค้ดส่วนลด
- Image Extensions: ภาพสินค้าขายดี
- Callout Extensions: “ส่งฟรีทั่วประเทศ” “รับประกัน 30 วัน”
ธุรกิจบริษัทประกัน
- Call Extensions: เบอร์ติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า
- Sitelink Extensions: ประเภทประกัน คำนวณเบี้ย และศูนย์ช่วยเหลือ
- Structured Snippet Extensions: ประเภทความคุ้มครอง
- Lead Form Extensions: แบบฟอร์มขอใบเสนอราคา
ธุรกิจคลินิกทันตกรรม
- Location Extensions: ที่ตั้งคลินิก
- Call Extensions: เบอร์โทรนัดหมาย
- Sitelink Extensions: บริการ ราคา และทีมแพทย์
- Callout Extensions: “นัดหมายออนไลน์” “เปิดบริการทุกวัน”
สรุป
Ad Extensions คือเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณา และเป็นส่วนขยายของโฆษณาบน Google Ads โดยจะเพิ่มรายละเอียด และข้อมูลให้กับแคมเปญโฆษณา
Ad Extensions ช่วยเพิ่ม CTR ทำให้โฆษณาโดดเด่นกว่าคู่แข่ง ด้วยการปรับปรุงคุณภาพโฆษณา ส่งผลให้ CPC ลดลง ช่วยดึงดูดความสนใจจาก User และช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าจริงๆ ส่งผลให้ปิดการขายได้เร็วขึ้น การทำ Ad Extensions จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดงบโฆษณา
มาทำ Google Ads กับ Minimice Group โดยผู้เชี่ยวชาญจริง ที่มีการวัดผลเน้น ROAs ให้คุณได้หวังผลลัพธ์ที่คุณต้องการ เพื่อเพิ่มยอดขายออนไลน์ธุรกิจของคุณ สร้างการรับรู้แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
มาสู่ช่วงถาม-ตอบ เพื่อคลายทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ Ad Extensions จะมีคำถามอะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูกัน!
สร้าง Ad Extensions ต้องเสียค่าโฆษณาเพิ่มเติมหรือไม่?
การใช้บริการ Ad Extensions ไม่มีค่าใช้เพิ่มเติมในการสร้างหรือใช้งาน Ad Extensions ค่าโฆษณายังคงคิดตามอัตราปกติ แต่ Google AdWords จะเก็บข้อมูลประสิทธิภาพของแต่ละ Extensions ไว้ เพื่อให้สามารถตรวจสอบ CTR และปรับปรุงประสิทธิภาพได้ด้วย
ทำไมบางครั้ง Ad Extensions ถึงไม่แสดงบนหน้า Google Search?
สาเหตุที่ Ad Extensions ไม่ปรากฏบนหน้า Google Search อาจเกิดจากคุณภาพโฆษณาต่ำ (Low Quality Score) คีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาน้อย (Low Search Volume) การตั้งค่าแคมเปญไม่เหมาะสม และปัญหาจากรายละเอียดของ Extensions เช่น URL ใน Sitelinks ถูกปฏิเสธหรือเนื้อหาขัดกับนโยบายของ Google
เพื่อทำให้โฆษณา และ Extensions แสดงผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถทำตามวิธีแก้ไขได้ ดังนี้
- ตรวจสอบทุกองค์ประกอบของโฆษณาและ Extensions อย่างละเอียด
- ปรับปรุงคุณภาพโฆษณาและเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
- แก้ไขข้อมูลใน Extensions ให้ถูกต้องตามนโยบาย Google
- ทบทวนการตั้งค่าแคมเปญ
อยากให้ลูกค้าโทรติดต่อเข้ามา ควรใช้ Ad Extensions แบบไหน?
ควรเลือกใช้แบบ Call Extensions เพราะเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพ สำหรับธุรกิจที่ต้องการการติดต่อทางโทรศัพท์ เพราะทำให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีคุณสมบัติเพิ่มเติมดังนี้
- แสดงเบอร์โทรศัพท์บนโฆษณาโดยตรง
- ลูกค้าสามารถติดต่อธุรกิจได้ทันทีด้วยการคลิก
- เพิ่มความสะดวกและลดขั้นตอนการติดต่อ
- เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการการสื่อสารโดยตรงกับลูกค้า
- ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำให้ User กลายเป็นลูกค้า