Table of Contents

Categories

Recent Posts

วิธีเลือก Bid Strategy ของ Google Ads

Bid strategy ของ Google Ads คืออะไร เลือกแบบไหนถึงจะดี?

Table of Contents

ทุกๆ วันนี้ไม่ว่าธุรกิจเล็กหรือใหญ่ก็เน้นทำการตลาดออนไลน์กันเป็นหลัก โดยเฉพาะการทำโฆษณาบน Google Ads  นับว่าได้รับความนิยมและเจอได้มากที่สุด เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้การทำ Google Ads  โดยเฉพาะกลยุทธ์ในการ Bid ดังนั้น มาเรียนรู้กลยุทธ์การทำ Bid strategy ของ Google Ads ให้เกิดผลดีกับธุรกิจของคุณกันดีกว่า

Bid Strategy คืออะไร?

Bid Strategy คืออะไร?

Bidding Strategy หรือ กลยุทธ์การประมูลราคา คือ การเสนอราคาประมูลสำหรับการลงโฆษณาให้ติดอันดับบน Google Ads โดยมีกลยุทธ์การเสนอราคาหรือการ Bid หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับเป้าหมายทางการตลาดที่ได้กำหนดไว้  โดยสามารถทำได้ ดังนี้ 

  • พิจารณาตามเป้าหมาย คือความต้องการให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามายังเว็บไซต์โดยตรง เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์(Brand Awareness) เพิ่มจำนวนการดู และการโต้ตอบกันภายในโฆษณา เป็นต้น 
  • เน้นที่ Conversion ด้วย Smart Bidding คือ ชุดกลยุทธ์การเสนอราคาอัตโนมัติที่ใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพของ Conversion ในการประมูลแต่ละครั้ง 
  • เน้นจำนวนคลิกด้วยการเสนอราคา CPC (Cost-Per-Click) การเสนอราคาต่อหนึ่งคลิก โดยเราสามารถเลือกการเพิ่มจำนวนคลิกสูงสุด และการเสนอราคา PCP (Pay-Per-Click) ด้วยตัวเอง 
  • เพิ่มความสามารถในการเข้าถึง โดยเราสามารถใช้กลยุทธ์การเสนอราคาเพื่อช่วยเพิ่มการแสดงผลและการเข้าถึงได้มากขึ้น

Bid Strategy มีกี่ประเภท?

ประเภทของ Bid Strategy สามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภทใหญ่ คือ 

  • Manual Bidding คือรูปแบบการเสนอราคาที่เราเป็นผู้กำหนดเอง
  • Automated Bidding คือการ Bid แบบอัตโนมัติ โดยมีเงื่อนไขในการยิง Ads ทั้งการเก็บข้อมูลหรือมีผู้ใช้งานเว็บไซต์ก่อนที่จะยิงแอด

โดยมีรายละเอียด ดังนี้

Manual Bidding

Manual Bidding หรือ Manual CPC (Cost Per Click) เป็นรูปแบบการเสนอราคา CPC ที่เราเป็นผู้กำหนดราคาสูงสุดต่อหนึ่งคลิกด้วยตัวเองโดยเน้นอันดับที่แสดงผลของโฆษณา ด้วยราคาที่เราสามารถจ่ายไหว ซึ่งมีรูปแบบการทำงานโดยการ Bid ราคาให้สูงกว่าคู่แข่งเพื่อให้เว็บไซต์ของเราอยู่ในอันดับที่สูงกว่า ซึ่งจะแตกต่างจาก Smart Bidding ที่ช่วยให้เลือก Bid คีย์เวิร์ดที่มีผลตอบรับที่ดี 

สำหรับกลยุทธ์นี้จะช่วยเราควบคุมต้นทุนต่อคลิก โดยเราต้องตั้งค่า Bid ของ Campaign หรือ Ads Group ด้วยตัวเอง เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มทำโฆษณาบน Google และคนที่ยังไม่มี Conversion Tracking

Automated Bidding

Automated Bidding เป็นรูปแบบการ Bid แบบอัตโนมัติ โดยเงื่อนไขของการใช้งานคือ จะต้องเกิดจาก Machine Learning ของทาง Google หรือก็คือมีการเก็บข้อมูลจากการยิง Ads ในจำนวนนึงตามที่ Google กำหนด ถึงจะสามารถใช้งาน Auto Bidding ได้

ซึ่ง Smart Bidding สามารถแบ่งได้อีก 7 ประเภทด้วยกัน คือ

1. Maximize Clicks

คือการเสนอราคา หรือการ Bid ในรูปแบบอัตโนมัติที่ทำให้เราได้จำนวนคลิกสูงที่สุดเพื่อเพิ่มการคลิกเข้าชมเว็บไซต์ เหมาะสำหรับเว็บไซต์เปิดใหม่ และเว็บไซต์ที่ลูกค้ามีเวลาในการเปรียบเทียบราคา โดยเน้นการยิง Ads ในคีย์เวิร์ดที่มีจำนวนการค้นหาน้อย โดยเราเป็นผู้กำหนดเพดานของงบประมาณในการยิงแอดด้วยตนเอง เพื่อไม่ทำให้งบนั้นสูงจนเกินไป แต่หากไม่ได้มีการตั้งค่างบไว้ ทาง Google จะเป็นผู้ประเมินและจัดการจำนวนเงินเพื่อให้ได้ยอด Click สูงที่สุด

2. Target Impression Share

ตั้งแต่ปี 2018 ทาง Google ได้มีการรวม Target Search Page Location เข้ากับ Target Outranking Share และเปลี่ยนชื่อเป็น Target Impression Share เป็นครั้งแรก ซึ่งมีรูปแบบการประมูลเพื่อมุ่งเป้าไปที่การเป็นที่ 1 หรืออาจอยู่ในตำแหน่งต่างๆ บนหน้าผลการค้นหา ซึ่งจะเหมาะกับเว็บไซต์ที่ต้องการสร้าง Brand Awareness หรืออยากให้ผู้ใช้รู้จักกับเว็บไซต์ของเรามากขึ้น โดยคุณอาจทำ Ads แบบเป็นชื่อแบรนด์ เช่น หากคุณต้องการให้โฆษณาของคุณแสดงผลเสมอเมื่อมีคนเสิร์ชเข้ามาด้วยชื่อแบรนด์ ก็จะต้องปรับ Target Impression Share เป็น 100% เป็นต้น แต่สำหรับเงื่อนไขที่ต่างออกไป ก็จำเป็นที่ต้องใช้กลยุทธที่แตกต่างออกไปด้วย

3. Enhanced CPC

สำหรับ Enhanced CPC  หรือ ECPC เป็นกลยุทธ์การเสนอแบบกึ่งอัตโนมัติ มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับ Manual Bidding ตรงที่เราสามารถควบคุมราคา Bid ของแต่ละคีย์เวิร์ดเองได้ แต่แตกต่างกันในเรื่องของการลดต้นทุนต่อคลิกเพื่อให้ได้มาซึ่ง Conversion ที่มากที่สุดและคุ้มค่าที่สุด ซึ่ง Google จะคำนวณเองอัตโนมัติว่าโฆษณาของเรามีแนวโน้มที่จะได้รับ Conversion ในทิศทางใด หลังจากนั้นก็จะเป็นผู้ปรับ Bid ให้เราอัตโนมัติ เพื่อให้เสียค่า CPC ลดลงแต่กลับคุ้มค่ามากขึ้น 

4. Target CPA

Target CPA หรือ Cost per Acquisition เป็น Bid strategy ที่ช่วยให้เราได้มาซึ่ง Conversion Rate ที่มากที่สุดตามงบประมาณที่เรากำหนดเอาไว้ โดยวิธีการนี้เน้นการ Drive ยอดขายให้มากขึ้น โดยไม่สนใจคลิกหรืออันดับเลย มุ่งที่การเกิด Conversion เน้นๆ  ซึ่ง Google จะคำนวณให้เราล่วงหน้าเลยว่างบประมาณที่เราจ่ายจะได้ Conversion มากที่สุดเท่าไหร่? โดยหลักการทำงานจะมีการเซ็ต Conversion และออนไลน์ Ads มาในระดับหนึ่งแล้ว เพื่อให้ Google สามารถคำนวณ  Conversion  ที่เกิดขึ้นในอนาคตได้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการควบคุมงบประมาณยิง Ads เพื่อให้ได้  Conversion ที่เหมาะสมมากที่สุด 

5. Target ROAS

Target ROAS หรือ Return on Ad Spend เป็นการ Bid อัตโนมัติ ที่กำหนด Conversion Vulue ให้ไม่ต่ำกว่าที่เราตั้งเอาไว้ หรือเป็นการ Bid โฆษณาตามกำไรที่เราต้องการได้รับนั่นเอง ซึ่ง Google จะ Bid ให้เราอัตโนมัติ โดยราคา Bid จะขึ้นอยู่กับกำไรที่เราอยากได้ จะคล้ายกับวิธี Target CPA ที่ต้องมีการเซต Conversion และ ออนไลน์ Ads มาในระดับหนึ่งแล้ว เพื่อให้ Google สามารถคำนวณกำไรที่เกิดขึ้นในอนาคตได้ เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการ Conversion เป็นหลัก 

6. Maximize Conversion

เป็นรูปแบบการ Bid แบบ Smart Bidding ที่ Google จะเข้ามาช่วยประมวลผลว่าเราควร Bid ตอนไหน โดยวิเคราะห์จาก เวลา สถานที่ คีย์เวิร์ดที่เกิดการซื้อ หรือการติดต่อ เพื่อให้เราได้ Conversion ที่สมเหตุสมผลมากที่สุด อาทิ การลงทะเบียน การอ่านบทความ และการซื้อสินค้า เป็นต้น เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างยอดขาย หรือลงทะเบียนสมาชิก ที่ต้องการ Conversion เป็นจำนวนมาก 

ข้อมูลเพิ่มเติม! Bid strategy ที่มีการนำเอา Machine Learning เข้ามาใช้ในการประมวลผลข้อมูล โดยจะคำนวณโดยยึดหลัก Conversion-Based ซึ่งเป็นการคำนวนความเป็นไปได้ที่จะเกิด Conversion ได้สูงที่สุด มีด้วยกันเพียง 4 รูปแบบจากทุกตัวที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น ได้แก่ Enhanced CPC, Target CPA, Target ROAS และ Maximize Conversions

Manual Bidding กับ Smart Bidding ต่างกันอย่างไร

Manual Bidding vs Smart Bidding เลือกแบบไหนดีกว่า? มาดูข้อดี-ข้อเสียของแต่ละแบบกัน

สำหรับ Manual Bidding และ  Smart Bidding  เป็นรูปแบบการ Bid ที่มีทั้งข้อดี และข้อเสียแตกต่างกัน โดยเราจะมาอธิบายให้ทุกคนอย่างละเอียดเพื่อนำไปสู่การเลือกที่ถูกต้อง

ข้อดีของ Manual Bidding

  1. สามารถควบคุมกระบวนการทำงานได้ด้วยตัวเอง 
  2. ไม่จำเป็นต้องใช้ Data ปริมาณมากในการประมวลผล 
  3. ใช้งบประมาณน้อยในการยิง Ads ได้

ข้อเสียของ Manual Bidding

  1. จัดการค่อนข้างยาก เนื่องจากมีคีย์เวิร์ดจำนวนมากที่เราต้องคัดสรร รวมทั้งเราอาจไม่สามารถตั้งราคา Bid ที่ได้มาซึ่ง Conversion ที่เหมาะสม จึงอาจทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ 
  2. ไม่สามารถเปลี่ยนราคา Bid ในหลายๆ แคมเปญได้พร้อมกันในครั้งเดียว 
  3. ไม่มีแนวทางเพื่อที่จะประมวลภาพรวม และคำนวณแนวโน้มของทิศทางที่เกิดขึ้นในการยิง Ads แต่ละครั้ง
  4. ได้ผลลัพธ์น้อย และมีการตัดสินใจที่ผิดพลาดในบางครั้งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจ

ข้อดีของ Smart Bidding

  1. ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการเลือกงบประมาณด้วยตัวเองเพราะ Smart Bidding จะประมวลผลงบประมาณที่กำหนดต่อ Conversion ที่สมเหตุสมผลให้เราเรียบร้อยแล้ว 
  2. ประหยัดเวลา โดยสิ่งที่ต้องทำของเราคือกำหนดค่าที่ต้องการ แล้วปล่อยให้ Google เป็นผู้ประมวลผลลัพธ์ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องคาดเดาเอง จึงช่วยประหยัดเวลาได้มากกว่า 
  3. จัดการแคมเปญเป็นกลุ่ม โดยเราสามารถเสนอราคาสำหรับหลายแคมเปญได้ในครั้งเดียว โดยกำหนดเพียงแค่คีย์เวิร์ดที่ต้องการ หลังจากนั้น Google เป็นผู้ประมวลผลทั้งหมด
  4. จัดการงบประมาณขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย 
  5. ไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ  
  6. สามารถปรับราคา Bid ได้แบบอัตโนมัติ

ข้อเสียของ Smart Bidding

  1. ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานประมาณ 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือนในการแสดงผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ 
  2. ต้องมีข้อมูลที่เพียงพอเพื่อให้ Google สามารถคำนวณ และประมวลผลลัพธ์ให้ออกมาเป็นไปตามที่เราต้องการ 
  3. ไม่สามารถกำหนดราคาที่ต้องการ Bid ได้ 
  4. หากมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนหน้าเว็บไซต์อาจทำให้ Google ประมวลผลผิดได้

ข้อดีของรูปแบบการประมูลโฆษณาแบบ Smart Bidding

ทำไมต้องเลือก Smart Bidding?

อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น Smart Bidding เป็น Bid strategy ที่ช่วยให้เราใช้แรงน้อยกว่า ใช้เวลาน้อยกว่า และสามารถตั้งงบประมาณที่ต้องการเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จึงเป็นกลยุทธ์ที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยมี Google เป็นเข็มทิศนำทางในการนำเราไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด โดย  Smart Bidding ดีกว่า Manual Bidding ในหลายๆ ด้าน ดังนี้

มีสัญญาณมากกว่า

Smart Biding มีการรวบรวม Data จากหลายแหล่งที่มาเพื่อคำนวณความเป็นไปได้เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการยิง Ads ในแต่ละครั้ง รวมถึงช่วยเราในการปรับแต่งโฆษณาและกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้แบบเฉพาะเจาะจง โดยทำให้เราทราบถึงระบบเบราว์เซอร์ที่ใช้ ตำแหน่งที่อยู่อาศัย และภาษาของอินเทอร์เฟซเพื่อได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

มีโอกาสเกิด Human Error น้อยกว่า

แน่นอนว่าความเป็นมนุษย์ย่อมทำสิ่งที่ผิดพลาดได้หลายอย่าง อาทิเช่น การปรับแต่งโฆษณาด้วยตัวเองจึงเสี่ยงที่จะทำให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจากการคาดคะเนผิด แต่สำหรับการใช้ Smart Bidding จะช่วยเราลดข้อผิดพลาดดังกล่าวเพราะมีข้อมูลมากพอที่จะวิเคราะห์และประมวลผลแนวโน้มที่เกิดขึ้นจริง และกำหนดทิศทางที่ดีที่สุด จึงช่วยเราตัดสินใจได้ดีขึ้น และถูกต้องมากยิ่งขึ้น

เสียเวลาและทรัพยากรน้อยกว่า

แม้ว่าการจัดการโฆษณาด้วย Google Ads จะใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่เราสามารถปล่อยให้ระบบประมวลผล ปรับแต่ง รวมถึงปรับราคา Bid ด้วยตัวเอง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปช่วย ทำให้เรามีเวลามากพอในการจัดการงานส่วนอื่นของตนเองได้ เพื่อนำมาซึ่งความสำเร็จในธุรกิจที่เรากำลังดำเนินการอยู่ ณ ปัจจุบัน

สามารถปรับการประมูลได้แบบ Real-time

การนำเอา Smart Bidding มาใช้จะช่วยให้คุณสามารถปรับ Bid ได้แบบ Real-Time และช่วยเราลดเวลาในการเลือกข้อมูลที่เหมาะสมมาใช้ในการ Bid และยังตอบสนองต่อการ Bid ได้ในทันที 

Smart Bidding เหมาะกับการใช้งานแบบไหน

Smart Bidding เหมาะกับใครบ้าง?

แน่นอนว่า Smart Bidding ถูกนำมาใช้งานได้อย่างดีเยี่ยมในการยิง Ads เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม และสามารถใช้ได้ดีสำหรับทั้งธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำแคมเปญโฆษณาในแต่ละครั้ง เพื่อให้ผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้กำหนดเอาไว้

Performance Max คืออะไรในการทำโฆษณา Google Ads

Performance Max พระเอกคนใหม่ของ Google Ads

Performance Max เครื่องมือใหม่จาก Google Ads เป็นอีกเครื่องมือที่ช่วยสร้างโฆษณาแบบอัตโนมัติตัวล่าสุดจาก Google ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณา โดยจุดเด่นของเจ้าเครื่องมือตัวนี้คือสามารถสร้างโฆษณาและเผยแพร่ไปยังทุกๆ แพลตฟอร์ตได้ในครั้งเดียว และแน่นอนว่ามีการนำเอา Machine Learning มาช่วยในการสืบเสาะค้นหากลุ่มเป้าหมายที่ใช่ที่สุดจึงช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และประหยัดเวลาในการในยิง Ads และยังได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อโฆษณาของเราอีกด้วย

โดยเราสามารถสร้างโฆษณาจาก Performance Max ได้ง่ายๆ เพียงแค่อัปโหลดรูปภาพ วิดีโอ และข้อความ จากนั้นก็ตั้งค่า ได้แก่ กำหนดกลุ่มเป้าหมาย เลือกวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของธุรกิจ เพื่อให้ Google ประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อกระจายไปในแต่ละแพลตฟอร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับฟีเจอร์ที่น่าสนใจ มีดังต่อไปนี้

  • Campaign Objective & Goal หรือการเลือกวัตถุประสงค์ทางการตลาดและการเลือกเป้าหมายของการทำโฆษณา 
  • Asset Group & Ads Strength คือตัวชี้วัดว่าโฆษณาเรามี Asset ที่เพียงพอต่อการทำให้โฆษณาเกิดประสิทธิภาพสูงสุดแล้วหรือยัง
  • Audience Signals คือการเรียนรู้ว่าโฆษณาของการจะมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับคนในกลุ่มไหน จึงช่วยให้เราสามาถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีมากยิ่งขึ้น 
  • Performance Max Results คือการวิเคราะห์ภาพรวมและประสิทธิภาพของการทำแคมเปญโฆษณา อีกทั้งยังสามารถเปรียบเทียบผลลัพธ์กับแคมเปญอื่นได้

สรุป

ในปัจจุบันกลยุทธ์  Bid strategy  เป็นกลยุทธ์ที่ถูกนำเอามาใช้อย่างแพร่หลายในการทำการตลาดออนไลน์ เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำโฆษณาให้ก่อเกิดประสิทธิภาพที่ดีและเหมาะสมตามงบประมาณที่กำหนดเอาไว้ และยังเป็นกลยุทธ์ที่มีการเลือกใช้โฆษณาหลากหลายรูปแบบอีกทั้งยังสามารถเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับธุรกิจของเราได้  จึงส่งผลให้การยิงโฆษณานั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่เราต้องการและงบประมาณที่ต้องการใช้ในโฆษณาด้วย โดยสิ่งนี้จะนำมาซึ่งความสำเร็จทางด้านธุรกิจของคุณที่มากขึ้น

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

Bid strategy คืออะไร?

Bid strategy คือกลยุทธ์ในการประมูลราคา เป็นการเสนอราคาที่อยากจะจ่ายสำหรับการขึ้นโฆษณาในอันดับต่างๆ บนหน้าแรกของ Search Engine

Bid strategy มีกี่ประเภท

หลักๆ Bid strategy จะมี 2 ประเภท ได้แก่ Manual Bidding และ Automated Bidding แต่จะมีการบิดอีกประเภทที่เป็น Automated Bidding ที่มีการใช้ Machine Learning ขั้นสูงเข้ามาช่วย เรียกว่า Smart Bidding

Manual Bidding vs Smart Bidding แบบไหนดีกว่า

แต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคนว่าต้องการตั้งค่าเองหรือต้องการให้ Google ตั้งค่าให้ ทั้งนี้ยังไม่มั่นใจว่ารูปแบบไหนจะเหมาะสมกับธุรกิจของเราบ้าง สามารถอ่านเพิ่มเติมในบทความของเราได้เลย

Related Articles

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง