Key Takeaway
- Meta Description คือคำอธิบายสั้นๆ ที่ปรากฏใต้ Title ในผลการค้นหาของ Google ซึ่งช่วยสรุปเนื้อหาของเพจและดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้าเว็บไซต์ โดยมีความยาวประมาณ 140-160 ตัวอักษร
- ในการเขียน Meta Description ควรหลีกเลี่ยงการยัดเยียดคีย์เวิร์ดมากเกินไป การใช้คำ Clickbait ที่หลอกลวง การเขียนข้อความซ้ำกัน และการเขียนที่ยาวเกินไปจนข้อความถูกตัด
- เทคนิคเขียน Meta Description ให้ปัง คือการใช้คีย์เวิร์ดสำคัญในช่วงต้น เขียนให้น่าสนใจและกระตุ้นการคลิก ใช้คำกระตุ้นการกระทำ (CTA) ไม่ยาวเกินไป (140-160 ตัวอักษร) และต้องสอดคล้องกับเนื้อหาของหน้าเว็บเพื่อเพิ่ม CTR และประสิทธิภาพ SEO
- Meta Description สำคัญในการติดอันดับ SEO เพราะมันช่วยสรุปเนื้อหาของหน้าเว็บและดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้ามาเพิ่ม CTR ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการจัดอันดับใน Google และช่วยให้เว็บไซต์โดดเด่นในผลการค้นหา
Meta Description อาจเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม เนื่องจากผู้คนมักไม่อ่านมันมากนัก แต่การเขียน Meta Description ที่ดีสามารถช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับ SEO ได้อย่างยั่งยืน และเพิ่ม CTR ของเว็บไซต์ได้มากขึ้น
บทความนี้เหมาะสำหรับ SEO Specialist ระดับ Beginner หรือผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์ในด้าน SEO เนื่องจาก Meta Description เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทุกนักการตลาด SEO ควรรู้ การเขียน Meta Description ถือเป็นกุญแจในการดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้ามาที่เว็บไซต์จากผลการค้นหาของ Google และในบทความนี้จะช่วยให้เข้าใจว่า Meta Description คืออะไร และทำไมถึงสำคัญต่อการทำ SEO

Meta Description คืออะไร? สิ่งเล็กๆ ที่มีผลต่ออันบน Google
Meta Description คือ HTML Tag ที่ใช้ในการใส่คำอธิบายสั้นๆ สำหรับแต่ละหน้าเว็บไซต์ เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้ามา โดยจะขยายความเนื้อหาของหน้าดังกล่าว
การแสดงผลของ Meta Description จะมีข้อจำกัดในจำนวนตัวอักษร ซึ่งโดยทั่วไป
- อยู่ที่ 140–160 ตัวอักษร
- ในปี 2022 Google ขยายพื้นที่ให้ถึง 140–170 ตัวอักษร
- นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในด้านพิกเซล ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 990 พิกเซล

ความยาวของ Meta Description ควรตั้งเท่าไร กี่ตัวอักษรดี?
การตั้งความยาวของ Meta Description เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เนื้อหาของคุณโดดเด่นและดึงดูดผู้ใช้งานในผลการค้นหาของ Search Engine ในส่วนนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่าความยาวที่เหมาะสมสำหรับ Meta Description คือเท่าไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการทำ SEO และเพิ่ม CTR

การแสดงบน Character-Based
สำหรับหน้าเว็บไซต์ภาษาอังกฤษ
- สำหรับภาษาอังกฤษควรใช้ความยาว Meta Description ในช่วง 140–160 ตัวอักษร
เพื่อให้คำอธิบายไม่ถูกตัดในผลการค้นหา และช่วยดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกเข้ามามากขึ้น
การแสดงผลแบบ Pixel-Based
สำหรับหน้าเว็บไซต์ภาษาไทย
- สำหรับภาษาไทยควรใช้ Meta Description แบบ Pixel-based โดยความยาวไม่เกิน 990 พิกเซล
เนื่องจากภาษาไทยไม่มีการเว้นวรรคเหมือนภาษาอังกฤษ Minimice จึงแนะนำให้ใช้ Pixel-Based เพราะมีความแม่นยำสูงกว่าในการกำหนดความยาวของคำอธิบาย

ตรวจสอบจำนวนคำ Meta Description ได้ที่ไหน?
เครื่องมือวัดและแสดงผลของ Meta Description ฟรี! สามารถใช้งานได้ที่
เครื่องมือนี้ช่วยให้ผู้สร้างคอนเทนต์หรือเจ้าของเว็บไซต์สามารถตรวจสอบการแสดงผลของ Meta Title และ Meta Description ได้ว่า เมื่อแสดงบนหน้าผลการค้นหาของ Google (SERP) จะมีลักษณะอย่างไร พร้อมทั้งสามารถตรวจสอบจำนวนคำและจำนวนอักขระได้ในตัว

ตัวอย่าง Meta Description ที่ดีและไม่ดีเป็นอย่างไร?
การเขียน Meta Description ที่ดีคือการช่วยดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้ามายังเว็บไซต์ได้มากขึ้น ในขณะที่ Meta Description ที่ไม่ดีอาจทำให้เสียโอกาสในการเพิ่ม CTR และ SEO ลองไปดูตัวอย่าง Meta Description ที่ดีและไม่ดี เพื่อให้เข้าใจถึงความแตกต่างที่ชัดเจน
ตัวอย่าง Meta Description ที่ดี
Meta Description ที่ดีควรสั้น กระชับ และตรงประเด็น โดยมีความยาวประมาณ 140-160 ตัวอักษร เพื่อไม่ให้ถูกตัดในผลการค้นหา ควรใช้คำกระตุ้นการคลิก
เช่น “ค้นหา” หรือ “เรียนรู้เพิ่มเติม” รวมคำหลักที่เกี่ยวข้องและมีความเฉพาะเจาะจง ไม่ซ้ำกับหน้าอื่น เพื่อช่วยในการทำ SEO และดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้ามาที่เว็บไซต์
ตัวอย่าง Meta Description ที่ไม่ดี
Meta Description ที่ไม่ดีมักจะมีความยาวเกินหรือน้อยเกินไป ทำให้ถูกตัดในผลการค้นหา หรือไม่มีคำที่กระตุ้นให้ผู้ใช้คลิก
เช่น การใช้คำทั่วไปหรือไม่เฉพาะเจาะจง ขาดความน่าสนใจหรือไม่สื่อถึงเนื้อหาของหน้าที่ผู้ใช้กำลังค้นหา รวมถึงการใช้คำซ้ำๆ หรือคีย์เวิร์ดมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ดูไม่เป็นธรรมชาติและเสียประสิทธิภาพในการดึงดูดผู้ใช้งาน

สิ่งที่ควรเลี่ยงในการเขียน Meta Description
การเขียน Meta Description ควรหลีกเลี่ยงบางสิ่งที่อาจส่งผลเสียหรือไม่ดึงดูดผู้ใช้งาน ในเนื้อหานี้จะพาไปดูสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการเขียน Meta Description เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำ SEO และเพิ่ม CTR
- ควรใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและหลีกเลี่ยงการยัดเยียด Keyword มากเกินไป เพราะจะทำให้เนื้อหายากต่อการอ่านและดูเหมือนการสแปมคีย์เวิร์ด
- เขียน Meta Description ในความยาวที่เหมาะสม ไม่ควรเกิน 150–154 ตัวอักษร เพราะหากยาวเกินไปข้อความอาจแสดงไม่ครบ
- ควรมี Meta Description เฉพาะสำหรับแต่ละหน้า ไม่ควรใช้ข้อความเดียวกันทุกหน้า เพราะอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับ SEO
- หลีกเลี่ยงการใช้คำ Clickbait ที่ไม่ตรงกับเนื้อหา ควรเลือกคำที่ดึงดูดความสนใจโดยตรง
- ใส่ LSI Keyword ที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลักเพื่อช่วยให้ Google และผู้อ่านเข้าใจบริบทของหน้าเว็บไซต์ได้ดีขึ้น

ทำไม Meta Description ถึงสำคัญในการติดอันดับ SEO
ตั้งแต่ Google ได้เอา Meta Keyword ออกจาก Ranking Factor Meta Tag จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญในการบอก Google ว่าหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร โดยเฉพาะ Meta Title ที่สรุปเนื้อหาสั้นๆ และ Meta Description ที่แสดงผลพร้อมกันใน Google ซึ่งมีผลต่อการติดอันดับหรือร่วงได้ การใช้ Meta Description ที่ดีสามารถเพิ่ม CTR (Click-Through Rate) ซึ่งเป็น Ranking Factor ที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ SEO ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเว็บไซต์ eCommerce และธุรกิจที่มีการแสดงราคา หรือข้อมูลสำคัญอื่นๆ

เทคนิคเขียน Meta Description ตามแบบ SEO ให้ปังกว่าใคร!
การเขียน Meta Description ที่ดีไม่เพียงช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในผลการค้นหา แต่ยังเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนนี้จะเผยเทคนิคการเขียน Meta Description ตามแบบ SEO ที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นและน่าสนใจยิ่งขึ้น!
1. ต้องมี Keyword ที่เกี่ยวข้อง
การเขียน Meta Description ควรใส่คีย์เวิร์ดที่ตรงกับเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์และเกี่ยวข้องกับธุรกิจ โดยใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันที่ผ่านการวิจัย (Keyword Research) และวางคีย์เวิร์ดไว้ในตำแหน่งต้นๆ ของ Tags เพื่อป้องกันการตัดตก นอกจากนี้ ควรเน้นเนื้อหาสั้น กระชับ และดึงดูดความสนใจ เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายคลิกเข้ามาอ่านมากขึ้น
2. พยายามใส่ Keyword ไว้ต้นๆ
ในการเขียน Meta Description ควรใส่คีย์เวิร์ดสำคัญไว้ในช่วงต้นหรือกลางข้อความ เนื่องจาก Google และผู้ค้นหามักให้ความสำคัญกับข้อความในส่วนนี้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้คำค้นหาของคุณโดดเด่นขึ้นในผลการค้นหาและทำให้ผู้ใช้งานเห็นความสัมพันธ์กับเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ชัดเจนมากขึ้น
3. เขียนอธิบาย Title Tag
Meta Description ควรเสริมจาก Title Tag โดยใช้คำที่สอดคล้องและช่วยขยายความ เช่น หาก Title Tag ใช้คำว่า “ฟรี” และ “เครื่องมือตรวจสอบลิงก์เสีย” Meta Description ควรขยายว่าเป็นเครื่องมือตรวจสอบลิงก์เสียที่รวดเร็ว สามารถหาลิงก์ที่เสียทั้ง Internal และ External โดยไม่ต้องสมัครหรือดาวน์โหลด ซึ่งช่วยให้ข้อมูลตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหาด้วยคำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
4. เขียนให้ตอบโจทย์ Search Intent
Search Intent คือเจตนาหรือจุดประสงค์ของผู้ใช้งานที่ค้นหาข้อมูลผ่าน Search Engine ซึ่งนักการตลาดควรวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่าผู้ค้นหาแต่ละคีย์เวิร์ดต้องการอะไร เช่น หาข้อมูล ต้องการซื้อสินค้า หรือมองหาคำตอบบางอย่าง เพื่อสามารถเขียน Meta Description ให้ตรงกับความต้องการเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. เขียนให้กระชับ เข้าใจง่าย
Meta Description ควรสรุปเนื้อหาอย่างกระชับ ชัดเจน บอกให้รู้ว่าคลิกแล้วจะได้อะไร เช่น “ดาวน์โหลดฟรี” หรือ “สมัครใช้งาน” พร้อมใส่คำกระตุ้น (CTA) อย่างเหมาะสม หากเขียนยาวเกินหรือไม่ชัดเจน อาจแสดงผลไม่ครบและลดโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้งาน
6. เขียนเฉพาะข้อมูลสำคัญ
แม้ Meta Description จะทำหน้าที่ขยายความจาก Meta Title แต่พื้นที่แสดงผลในหน้า SERP มีจำกัด จึงควรเขียนสรุปเฉพาะประเด็นสำคัญที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย หากใส่ข้อความยาวเกินไป อาจถูกตัดคำกลายเป็น “…” ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลหรือคีย์เวิร์ดสำคัญหายไปจากการแสดงผลได้
7. ใช้ Schema ให้เด่นกว่าใคร
การใช้ Schema (หรือ Schema Markup) ช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาเว็บไซต์ได้แม่นยำขึ้น และยังแสดงผลแบบ Rich Snippets บน SERP เช่น รีวิว ราคา หรือเรตติ้ง ทำให้เว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือ โดดเด่นกว่าคู่แข่ง และเพิ่มโอกาสในการคลิกได้มากขึ้น
สรุป
Meta Description คือข้อความสั้นที่อธิบายเนื้อหาของหน้าเว็บ ซึ่งจะแสดงพร้อม Meta Title และ URL บนหน้า Search Engine การเขียน Meta Description ที่ดีช่วยเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) และส่งผลต่ออันดับ SEO ควรเขียนให้กระชับ ชัดเจน มี Keyword สำคัญ และดึงดูดใจในช่วงต้นของข้อความ
ความยาวควรอยู่ที่ 140–160 ตัวอักษร หรือไม่เกิน 990 พิกเซล ควรหลีกเลี่ยงการคัดลอก ใช้คำ Clickbait หรือใส่ Keyword มากเกินไป การใช้ Schema ร่วมด้วยจะช่วยให้เว็บไซต์แสดงผลได้โดดเด่นขึ้นบนหน้า SERP
หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ที่เข้าใจทั้งเทคนิคและกลยุทธ์คอนเทนต์อย่างแท้จริง Minimice Group พร้อมให้บริการรับทำ SEO แบบครบวงจร ตั้งแต่วางกลยุทธ์ วิเคราะห์ Keyword เขียนคอนเทนต์ตรง Search Intent ปรับ On-Page / Off-Page SEO และใช้ Schema เพื่อให้เว็บไซต์โดดเด่นในหน้า Google พร้อมผลักดันธุรกิจให้ติดอันดับอย่างยั่งยืนและวัดผลได้จริง
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
เพื่อให้เข้าใจการใช้งาน Meta Description ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบที่กระชับและตรงประเด็น เพื่อช่วยให้คุณนำไปปรับใช้กับเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Meta Description ใส่ได้กี่ตัวอักษร?
Meta Description ควรมีความยาวประมาณ 140-160 ตัวอักษร
โดยปกติแล้ว Google จะแสดงผล Meta Description ในช่วงนี้ หากยาวกว่าที่กำหนด ข้อความอาจถูกตัดทิ้งและแสดงเป็น “…” ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลสำคัญสูญหายและส่งผลต่อการดึงดูดผู้ใช้งาน
Meta Description ใส่ Emoji ได้ไหม?
สามารถใส่ Emoji ใน Meta Description ได้
แต่ควรใช้อย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เสียความเป็นมืออาชีพ และให้แน่ใจว่า Emoji ที่ใช้เหมาะสมกับเนื้อหา การใช้ Emoji อาจช่วยดึงดูดความสนใจ แต่หากใช้มากเกินไปอาจทำให้ดูสแปมหรือทำให้ข้อความไม่น่าเชื่อถือ