การออกแบบ URL Structure หรือการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์หรือบทความในหน้าค้นหา เนื่องจากมีผลต่อการเข้าถึงและความรู้สึกผู้ใช้งาน บทความนี้จะมาแนะนำแนวทางในการออกแบบ URL Structure ให้เข้ากับ SEO ของบทความในหน้าเว็บไซต์ ว่าต้องทำอย่างไร มีหลักการใดบ้าง พร้อมตัวอย่าง URL Structure หากพร้อมแล้ว มาปรับโครงสร้างเว็บไซต์เพื่อดันบทความ SEO ให้ติดอันดับหน้าแรกกันได้เลย
ความสำคัญของ URL Structure
โครงสร้าง URL (URL structure) มีความสำคัญต่อการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ เพราะมีผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และการทำ SEO (Search Engine Optimization) มีส่วนทำให้การปรากฏของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google ได้อีกด้วย
ช่วยให้ผู้ใช้งานและตัว Google เข้าใจเว็บไซต์ได้ง่าย
URL ที่มีโครงสร้างชัดเจนจะช่วยให้ผู้ใช้งานและตัว Google เข้าใจได้ง่ายว่าเว็บไซต์หรือหน้าเพจนั้นเกี่ยวข้องกับเนื้อหาอะไร โดยไม่จำเป็นต้องอ่านเนื้อหาภายใน URL ทำให้มีประสิทธิภาพในการสื่อสารและนำทางผู้ใช้งานในเว็บไซต์ดีขึ้น
ส่งผลต่อการทำ SEO
URL structure ที่เข้าใจง่ายและสื่อความหมายที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น เช่น การใส่ Keyword ใน URL หรือการสร้างเส้นทางโครงสร้างที่เข้าใจง่าย เพื่อให้เว็บไซต์มีโอกาสปรากฏในผลการค้นหาอันดับที่สูงขึ้น
เพิ่มโอกาสการแบ่งปันลิงก์และการเชื่อมโยง
URL structure ที่เป็นระเบียบจะช่วยให้ง่ายต่อการคัดลอกและแบ่งปันลิงก์ไปยังแพลตฟอร์มอื่น เช่น Facebook
ส่วนประกอบของ URL มีอะไรบ้าง
URL ใช้สำหรับระบุทรัพยากรหรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ ประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ที่มีความหมายและระบุแหล่งที่มาของข้อมูลได้ ดังนี้
- โพรโตคอล (Protocol) : เป็นส่วนที่ระบุโปรโตคอลการสื่อสารที่ใช้ในการเข้าถึงทรัพยากร ส่วนมากจะเป็น “http://” หรือ “https://” ซึ่งบ่งบอกว่าเว็บเบราว์เซอร์ควรใช้ HTTP หรือ HTTPS ในการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์
- โดเมนเนม (Domain Name) : เป็นส่วนที่ระบุชื่อโดเมนของเว็บไซต์ เช่น “example.com” หรือ “google.com” ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์เข้าใจว่าเว็บไซต์นั้นอยู่ที่ไหนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
- พาธ (Path) : เป็นส่วนที่ระบุเส้นทางหรือที่ตั้งของไฟล์หรือโฟลเดอร์บนเซิร์ฟเวอร์ มักจะเริ่มต้นด้วยเครื่องหมาย “/” เช่น “/blog/tips-for-seo” หมายถึงเนื้อหาในโฟลเดอร์ “blog” และไฟล์ “tips-for-seo”
- พารามิเตอร์ (Parameters) : เป็นส่วนที่ใช้สำหรับส่งข้อมูลเพิ่มเติมไปยังเซิร์ฟเวอร์ มักจะมีรูปแบบ “key=value” เช่น “?page=2&category=tech” เพื่อกำหนดหน้าที่จะแสดงและหมวดหมู่ของเนื้อหา
- แฟรกเมนต์ (Fragment) : เป็นส่วนที่ใช้สำหรับระบุตำแหน่งบนหน้าเว็บไซต์หรือเอกสารที่เราต้องการเน้น มักจะมีเครื่องหมาย “#” ตามหลัง เช่น “#section3” เพื่อนำผู้ใช้ไปยังส่วนที่ต้องการให้เรียกดู
URL structure ที่ดีมีลักษณะอย่างไร
การทำบทความ SEO URL structure ที่ดีจะมีลักษณะที่เป็นระเบียบและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาและข้อมูลต่างๆ ได้เร็วขึ้น โดยส่งผลดีต่อการทำ SEO ดังนี้
เข้าใจง่ายและสื่อความหมาย
URL ควรเป็นคำที่สั้นและสื่อความหมายให้ผู้ใช้งานและ Google เข้าใจได้ง่าย ว่าหน้าเว็บไซต์นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร เช่น
- https://example.com/blog/tips-for-seo
- https://example.com/products/red-running-shoes
ไม่มีตัวอักษรพิเศษ และมี Keyword
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรพิเศษหรืออักขระที่ซับซ้อนใน URL เพื่อป้องกันปัญหาการอ่านและเข้าถึงข้อมูลที่ผิดพลาด และควรนำคำสำคัญหรือคำที่สื่อถึงเนื้อหาหลักของหน้าเพจมาใส่ใน URL เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์
การใช้ขีดกลางหรือเครื่องหมายขีดล่างและการใช้ Slash ให้เหมาะสม
การใช้ขีดกลาง (-) หรือเครื่องหมายขีดล่าง (_) เพื่อแยกคำใน URL ช่วยให้ URL มีความอ่านง่ายและสื่อความหมาย หรือใส่สแลช (/) ในการแสดงโครงสร้างของเว็บไซต์และเส้นทางเนื้อหา เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายและชัดเจน
เลือกใช้ตัวอักษรเล็ก (lowercase) เท่านั้น
เพื่อป้องกันความสับสนระหว่าง URL ที่มีตัวอักษรใหญ่และเล็ก เราควรใช้ตัวอักษรเล็กทั้งหมดใน URL เพราะเว็บเบราว์เซอร์และเครื่องมือค้นหาจะถือว่า URL ที่มีอักขระเป็นตัวใหญ่และเล็กเป็นคนละ URL กัน อาจทำให้เกิดปัญหาเมื่อมีผู้ใช้งานหรือเครื่องมือค้นหาที่พยายามเข้าถึง URL โดยใช้อักขระใหญ่
ไม่ใช้ ID หรือพารามิเตอร์ที่ไม่มีความหมาย
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ID หรือพารามิเตอร์ที่ไม่มีความหมายใน URL และควรพยายามแสดงความหมายของหน้าเพจใน URL โดยตรง
มีการจัดกลุ่ม และใช้ SSL เพื่อความปลอดภัย
หากมีหน้าเพจหลายๆ หน้าที่เกี่ยวข้องกัน ควรจัดกลุ่ม URL ให้อยู่ในโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกัน เช่น
- https://example.com/blog/
- https://example.com/blog/tips-for-seo
และใช้ SSL (Secure Sockets Layer) สำหรับความปลอดภัย เพื่อให้เว็บไซต์ใช้โปรโตคอล HTTPS เพื่อรับประกันความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้
หลีกเลี่ยงเนื้อหาและ URL ที่ซับซ้อน
หลีกเลี่ยงการเพิ่มคำซ้ำใน URL ที่ไม่จำเป็น เนื่องจากสิ่งนี้อาจจะทำให้เกิดปัญหาที่สามารถจะส่งผลกระทบต่อ SEO
URL Structure ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ใช้และ Google เพราะจะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์บทความนั้น หรือเป็นการปรับปรุงการค้นหาใช้ เพื่อทำความเข้าใจบริบทของเพจและจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google
พารามิเตอร์ URL และ URL แบบไดนามิก
พารามิเตอร์ URL (URL parameters) เป็นส่วนของ URL ที่ใช้ในการส่งข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ใช้งานไปยังเว็บเซิร์ฟเวอร์ เพื่อกำหนดเงื่อนไขหรือข้อมูลที่จำเป็นในการแสดงผลหน้าเว็บหรือเนื้อหาที่ต้องการ ประกอบด้วยคู่ key-value ที่ถูกเชื่อมต่อด้วยเครื่องหมาย “&”
- ยกตัวอย่าง
ในตัวอย่าง URL ด้านบน จะเห็นได้ว่า
- `q=keyword` คือ parameter ที่ชื่อว่า “q” และมีค่า “keyword”
- `page=2` คือ parameter ที่ชื่อว่า “page” และมีค่า 2
- `category=tech` คือ parameter ที่ชื่อว่า “category” และมีค่า “tech”
ในส่วนของ URL แบบไดนามิก (Dynamic URLs) คือ URL ที่สร้างขึ้นโดยระบบหรือเว็บแอปพลิเคชันขึ้นอย่างอัตโนมัติจากข้อมูลหรือพารามิเตอร์ต่างๆ โดย URL แบบไดนามิกสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามเงื่อนไขหรือข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงในขณะการเข้าถึง
- ยกตัวอย่าง
ใน URL แบบนี้ `123` อาจเป็นรหัสสินค้าที่เปลี่ยนไปตามสินค้าที่ผู้ใช้เลือกดู หรือเป็นรหัสการสั่งซื้อหรือรายการที่ผู้ใช้กำลังเข้าถึง ระบบจะใช้รหัสนี้เพื่อดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากฐานข้อมูลและแสดงผลตามความต้องการ URL แบบไดนามิกช่วยให้เว็บไซต์สามารถจัดการและแสดงผลเนื้อหาที่หลากหลายได้อย่างยืดหยุ่น
เครื่องมือช่วยสร้าง URL ในปัจจุบัน
ในปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายที่ช่วยสร้าง URL ที่มีโครงสร้างเหมาะสมสำหรับการใช้งานทั้งในเชิง SEO และประสิทธิภาพในการแบ่งปันลิงก์ ดังนี้
การทำตัวย่อ URL
เครื่องมือที่ใช้ในการย่อ URL เช่น bit.ly, TinyURL และ Ow.ly สามารถสร้าง URL ที่สั้นลงและจัดการได้ง่ายขึ้น เพื่อง่ายต่อการเข้าถึง
เครื่องมือสร้าง URL
หากต้องการสร้าง URL ที่กำหนดเองด้วยพารามิเตอร์เฉพาะ สามารถใช้เครื่องมือสร้าง URL เช่น เครื่องมือสร้าง URL ของแคมเปญ Google Analytics หรือ UTM.io ซึ่งสามารถเพิ่มพารามิเตอร์แคมเปญลงใน URL เพื่อการติดตาม
ระบบจัดการเนื้อหา (CMS)
แพลตฟอร์ม CMS เช่น WordPress, Joomla และ Drupal มักมีคุณสมบัติการจัดการ URL ในตัว ช่วยปรับแต่งโครงสร้างและรูปแบบของ URL เพื่อปรับปรุง SEO และง่ายต่อผู้ใช้งาน
เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา
หากต้องการพัฒนาเว็บไซต์ สามารถใช้ภาษาการเขียนโปรแกรม เช่น JavaScript หรือ Python เพื่อจัดการและสร้าง URL โดยทางโปรแกรมได้ ไลบรารีเช่น urllib (Python) หรือคลาส URL (JavaScript) สามารถช่วยในการจัดการ URL ได้
ข้อดีของการปรับ URL Structure ให้เหมาะกับ SEO
การปรับ URL Structure ให้เหมาะกับ SEO นั้นเพิ่มโอกาสในการค้นหาของเว็บไซต์ และมีข้อดีดังนี้
สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้
โครงสร้าง URL ที่ได้รับการปรับปรุงอย่างเหมาะสมเป็นระเบียบ ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น สิ่งนี้จะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้โดยรวมและเพิ่มโอกาสที่ผู้เยี่ยมชมจะอยู่บนเว็บไซต์ได้นานขึ้น
ช่วยให้ Google รวบรวมข้อมูลได้ง่าย
โปรแกรมรวบรวมข้อมูลของเครื่องมือค้นหาอาศัย URL เพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บไซต์ ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพ URL จะช่วยให้ Google รวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีหน้าเว็บได้ง่ายขึ้น สามารถนำไปสู่การมองเห็นที่ดีขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP)
การเพิ่มประสิทธิภาพคำหลัก (Keyword)
การรวมคำหลักที่เกี่ยวข้องใน URL สามารถช่วยให้ Google และผู้ใช้เข้าใจว่าหน้าเว็บเกี่ยวกับอะไร นอกจากนี้ยังสามารถปรับปรุงโอกาสในการจัดอันดับที่สูงขึ้นสำหรับคำหลักเหล่านั้นในผลการค้นหา
อัตราการคลิกผ่าน (CTR) ที่เพิ่มขึ้น
URL Structure ที่ได้รับการปรับปรุงอย่างดี ทำให้ลิงก์น่าสนใจและคุ้มค่าแก่การคลิกอีกด้วย เมื่อผู้ใช้เห็น URL ที่ชัดเจนและกระชับซึ่งตรงกับจุดประสงค์ในการค้นหา พวกเขามีแนวโน้มที่จะคลิก URL นั้นมากขึ้น ส่งผลให้ CTR สูงขึ้น
การแชร์และการสร้างลิงก์ที่ง่ายขึ้น
เมื่อเป็นเรื่องของการแบ่งปันเนื้อหาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์อื่นๆ การมี URL ที่สะอาดตาและสื่อความหมายทำให้ผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะแชร์และลิงก์ไปยังเนื้อหาของคุณมากขึ้น วิธีนี้สามารถเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์และการเข้าชมที่เกิดขึ้นเองได้
สรุป
URL Structure สามารถส่งผลต่อการทำ SEO ได้ เป็นส่วนประกอบของเว็บไซต์ที่มีความสำคัญและไม่ควรมองข้าม เพราะการที่มี URL Structure ที่ดี ก็เหมือนการปูพื้นฐานให้เว็บไซต์แข็งแรง พร้อมสำหรับการใช้งาน ซึ่ง URL ที่เหมาะกับการทำ SEO นั้นจะต้องเป็นคำที่เข้าใจง่ายและสื่อความหมาย ไม่มีตัวอักษรพิเศษและใส่ Keyword มีการใช้ขีดกลาง เครื่องหมายขีดล่าง Slash ที่เหมาะสม และต้องใช้ตัวอักษรเล็ก (lowercase) เท่านั้น เพื่อป้องกันความสับสนระหว่าง URL จำเป็นต้องจัดกลุ่มและใช้ SSL เพื่อความปลอดภัย หลีกเลี่ยงเนื้อหาและ URL ที่ซับซ้อน
แต่ถ้าใครที่ไม่มีเวลาในการปรับปรุง URL Structure หรือไม่ถนัดในการทำ SEO ทาง Minimice group เป็นผู้ช่วยที่เชี่ยวชาญด้าน SEO (Search Engine Optimization) พัฒนาเว็บไซต์ และบทความ SEO อย่างครบวงจร การันตีผลใน 90 วัน โดยที่ถ้าหาก KPI ไม่ถึงเป้าหมาย ไม่ต้องชำระค่าใช้จ่าย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ URL Structure (FAQ)
ทาง Minimice group ได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ URL Structure พร้อมคำตอบมาไว้ให้แล้ว ดังนี้
URL ที่สร้างขึ้นใหม่จะมีผลต่อการจัดอันดับในการค้นหาหรือไม่?
URL ใหม่อาจมีผลต่อการจัดอันดับในการค้นหา แต่ความผลกระทบอาจจะมีขึ้นอยู่กับขนาดของการเปลี่ยนแปลงและวิธีการจัดการกับการเปลี่ยนแปลง
สามารถเปลี่ยนแปลง URL Structure ของเว็บไซต์หลังจากที่ได้รับการแสดงผลในเครื่องมือค้นหาได้หรือไม่?
สามารถเปลี่ยนแปลง URL Structure ได้ แต่ควรทำการเปลี่ยนแปลงโดยรอบด้วยความระมัดระวัง ใช้ Redirect 301 เพื่อเปลี่ยนเส้นทาง URL เก่าไปยัง URL ใหม่
ต้องคำนึงอะไรบ้าง เมื่อออกแบบ URL Structure สำหรับเว็บไซต์?
เมื่อออกแบบ URL Structure ควรคำนึงถึงความกระชับและความเข้าใจง่ายของ URL การใช้คำสำคัญที่เกี่ยวข้องใน URL ละเว้นคำเชื่อมที่ไม่จำเป็น และใช้ตัวอักษรเล็ก (lowercase) หรือเครื่องหมายขีดกลาง (-) เป็นตัวเลือกสำหรับเว้นวรรค