ออกแบบ URL Structure ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้ SEO ติดหน้าแรก

ออกแบบ URL Structure ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้ SEO ติดหน้าแรก 

Table of Contents

Key Takeaway

  • URL Structure ช่วยให้ผู้ใช้งานและ Google เข้าใจเนื้อหาเว็บ เพิ่มความน่าเชื่อถือ และปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้
  • URL ประกอบด้วย Protocol (เช่น https://), Domain, Path, Query String และ Fragment ซึ่งแต่ละส่วนช่วยระบุที่อยู่และเนื้อหาของหน้าเว็บ
  • URL Structure ที่ดีควรมีลักษณะเรียบง่าย ชัดเจน มีคำหลัก ใช้เครื่องหมายและตัวอักษรเล็กอย่างเหมาะสม ไม่ซับซ้อน และสื่อความหมายตรงกับเนื้อหา
  • ข้อดีของการปรับ URL Structure ให้เหมาะกับ SEO คือช่วยให้ Google รวบรวมข้อมูลง่ายขึ้น เพิ่มโอกาสคลิก (CTR) และแชร์ URL สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี พร้อมสนับสนุนการจัดอันดับ SEO

เคยสังเกตไหมว่า เวลาเราคลิกเข้าเว็บบางเว็บ เราจะรู้ทันทีว่าหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร แค่ดูจาก URL และนี่คือพลังของ URL Structure ที่ดี เพราะ URL Structure คือรูปแบบการจัดเรียงองค์ประกอบของ URL ให้เป็นระบบ อ่านเข้าใจง่าย สื่อความหมาย ใช้เครื่องหมายให้เหมาะสม ไม่มีตัวอักษรพิเศษ และมี Keyword ที่ตรงกับเนื้อหา การจัด URL แบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจเว็บง่ายขึ้น แต่ยังทำให้ SEO ของเว็บแข็งแรงขึ้นด้วย

บทความนี้จะมาแนะนำแนวทางการออกแบบ URL Structure ให้เข้ากับ SEO ของบทความในหน้าเว็บไซต์ ต้องทำอย่างไร มีหลักการอะไรบ้าง ตัวอย่าง URL Structure ที่ดีเป็นแบบไหน หากพร้อมแล้วมาปรับโครงสร้างเว็บไซต์เพื่อดันบทความ SEO ให้ติดอันดับหน้าแรกกันได้เลย!

URL Structure ที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง! ทำไมต้องให้ความสำคัญ?

URL Structure ที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง! ทำไมต้องให้ความสำคัญ?

URL Structure คือรูปแบบการจัดเรียงองค์ประกอบของ URL ให้เป็นระบบ อ่านเข้าใจง่าย สื่อความหมาย ใช้เครื่องหมายให้เหมาะสม ไม่มีตัวอักษรพิเศษ และมี Keyword การจัด URL แบบนี้ไม่ใช่แค่ช่วยให้ผู้ใช้งานสบายตา แต่ยังทำให้ Google เข้าใจเนื้อหาเว็บได้ง่ายขึ้นอีกด้วย   

ผู้ใช้งานและ Google เข้าใจเว็บไซต์ได้ง่าย

ลองคิดดูว่าเวลาคุณเจอลิงก์ที่เพียงแค่ดู URL แล้วเข้าใจทันทีว่าเนื้อหานั้นเกี่ยวกับอะไร ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องเดาว่าหน้านั้นคืออะไร พร้อมทั้งยังทำให้การนำทางเว็บไซต์ราบรื่นและง่ายขึ้น สำหรับ Google เอง การมี URL Structure ที่ชัดเจนก็เหมือนการสร้างแผนที่เว็บไซต์แบบง่ายๆ ช่วยให้บอทอ่านเว็บไซต์และจัดอันดับได้แม่นยำขึ้น ทั้งสองฝ่ายเลยสบายใจและเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น

ส่งผลต่อการทำ SEO

การมี URL Structure ที่ชัดเจน ช่วยให้ Google เข้าใจว่าแต่ละหน้าของเว็บไซต์เกี่ยวกับเรื่องอะไร ทำให้การจัดอันดับในผลการค้นหามีความแม่นยำมากขึ้น URL ที่มี Keyword และจัดเรียงเป็นระบบ ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ค้นหาคลิกเข้าเว็บไซต์ เพราะเห็นทันทีว่าเนื้อหาตรงกับความต้องการของตัวเอง ทั้งหมดนี้รวมกันทำให้ SEO ของเว็บไซต์แข็งแรงและเป็นมิตรต่อทั้งผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหา

เพิ่มโอกาสการแบ่งปันลิงก์และการเชื่อมโยง

เมื่อ URL Structure ชัดเจน กระชับ และอ่านง่าย ผู้ใช้งานมักรู้สึกมั่นใจในการแชร์ลิงก์ต่อให้เพื่อนหรือบนโซเชียลมีเดีย URL ที่เรียบง่ายยังทำให้เว็บไซต์อื่นๆ สามารถอ้างอิงหรือทำลิงก์ย้อนกลับได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ทั้งการเข้าถึงและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กัน

ส่วนประกอบของ URL มีอะไรบ้าง? ที่นักการตลาดต้องรู้

ส่วนประกอบของ URL มีอะไรบ้าง? ที่นักการตลาดต้องรู้

URL ใช้สำหรับระบุทรัพยากรหรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ ประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ที่มีความหมายและระบุแหล่งที่มาของข้อมูลได้ นอกจาก 3 Parts of URL ที่มี Protocol, Domain และ Path แล้ว ยังมีส่วนอื่นๆ อีกดังนี้

  • โพรโตคอล (Protocol) เป็นส่วนที่ระบุโพรโตคอลการสื่อสารที่ใช้ในการเข้าถึงทรัพยากร ส่วนมากจะเป็น “http://” หรือ “https://” ซึ่งบ่งบอกว่าเว็บเบราว์เซอร์ควรใช้ HTTP หรือ HTTPS ในการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์
  • โดเมนเนม (Domain Name) เป็นส่วนที่ระบุชื่อโดเมนของเว็บไซต์ เช่น “example.com” หรือ “google.com” ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์เข้าใจว่าเว็บไซต์นั้นอยู่ที่ไหนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
  • พาธ (Path) เป็นส่วนที่ระบุเส้นทางหรือที่ตั้งของไฟล์หรือโฟลเดอร์บนเซิร์ฟเวอร์ มักจะเริ่มต้นด้วยเครื่องหมาย “/” เช่น “/blog/tips-for-seo” หมายถึงเนื้อหาในโฟลเดอร์ “blog” และไฟล์ “tips-for-seo”
  • พารามิเตอร์ (Parameters) เป็นส่วนที่ใช้สำหรับส่งข้อมูลเพิ่มเติมไปยังเซิร์ฟเวอร์ มักจะมีรูปแบบ “key=value” เช่น “?page=2&category=tech” เพื่อกำหนดหน้าที่จะแสดงและหมวดหมู่ของเนื้อหา
  • แฟรกเมนต์ (Fragment) เป็นส่วนที่ใช้สำหรับระบุตำแหน่งบนหน้าเว็บไซต์หรือเอกสารที่เราต้องการเน้น มักจะมีเครื่องหมาย “#” ตามหลัง เช่น “#section3” เพื่อนำผู้ใช้ไปยังส่วนที่ต้องการให้เรียกดู
URL Structure ที่ดีมีลักษณะอย่างไร? เห็นภาพชัด ทำตามได้ทันที

URL Structure ที่ดีมีลักษณะอย่างไร? เห็นภาพชัด ทำตามได้ทันที

การทำบทความ SEO URL Structure ที่ดีจะมีลักษณะที่เป็นระเบียบและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาและข้อมูลต่างๆ ได้เร็วขึ้น โดยส่งผลดีต่อการทำ SEO ดังนี้

เข้าใจง่ายและสื่อความหมาย

URL ควรเป็นคำที่สั้นและสื่อความหมายให้ผู้ใช้งานและ Google เข้าใจได้ง่าย ว่าหน้าเว็บไซต์นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของโครงสร้าง URL หรือ URL Structure Best Practices มีดังนี้

  • https://example.com/blog/tips-for-seo
  • https://example.com/products/red-running-shoes

ไม่มีตัวอักษรพิเศษ และมี Keyword

URL ที่ดีควรใช้ตัวอักษรและตัวเลขปกติ ไม่ใส่สัญลักษณ์หรืออักขระพิเศษที่ทำให้เข้าใจยาก ป้องกันปัญหาการอ่านและเข้าถึงข้อมูลที่ผิดพลาด และควรมี Keyword ที่สอดคล้องกับเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์ ช่วยให้ผู้ใช้งานอ่าน URL แล้วเข้าใจทันทีว่าเกี่ยวกับอะไร และยังช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาเว็บไซต์ง่ายขึ้น เพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ถูกค้นเจอและคลิกมากขึ้น

ใช้เครื่องหมายขีดกลาง ขีดล่าง และ Slash ให้เหมาะสม

การใช้ขีดกลาง (-) แยกคำทำให้ URL อ่านง่ายและเข้าใจชัดเจน ขีดล่าง (_) ควรใช้น้อย เพราะ Google มองคำที่เชื่อมด้วยขีดล่างเป็นคำเดียว ส่วนสแลช (/) ใช้เพื่อแบ่งโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่น โฟลเดอร์หรือหมวดหมู่ การจัดเครื่องหมายให้เหมาะสมช่วยให้ทั้งผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหาเข้าใจลำดับเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น

ใช้ตัวอักษรเล็ก (Lowercase) เท่านั้น

URL ควรเขียนด้วยตัวอักษรเล็กทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน เพราะบางเซิร์ฟเวอร์จะแยกตัวอักษรใหญ่ – เล็กออกจากกัน เช่น /About กับ /about จะถือว่าเป็นหน้าเว็บไซต์คนละหน้า การใช้ Lowercase ทั้งหมดช่วยให้ URL อ่านง่าย จดจำง่าย และลดความผิดพลาดในการเข้าถึงเว็บไซต์ ทั้งผู้ใช้งานและ Google จึงเข้าใจเนื้อหาเว็บไซต์ได้ชัดเจนขึ้น

ไม่ใช้ ID หรือพารามิเตอร์ที่ไม่มีความหมาย

URL ที่ดีควรหลีกเลี่ยงการใส่ตัวเลขสุ่มหรือพารามิเตอร์ที่ไม่สื่อความหมาย เช่น /product?id=12345 เพราะผู้ใช้งานอ่านแล้วไม่เข้าใจว่าหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร การใช้คำที่สื่อความหมายแทน ช่วยให้ URL อ่านง่าย จดจำง่าย และยังทำให้ Google เข้าใจเนื้อหาเว็บไซต์ได้ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ SEO ดีขึ้นและเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้งานคลิกแชร์ลิงก์มากขึ้น

มีการจัดกลุ่ม และใช้ SSL เพื่อความปลอดภัย

หากมีหน้าเพจหลายๆ หน้าที่เกี่ยวข้องกัน ควรจัดกลุ่ม URL ให้อยู่ในโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกัน เช่น

  • https://example.com/blog/
  • https://example.com/blog/tips-for-seo

และใช้ SSL (Secure Sockets Layer) สำหรับความปลอดภัย เพื่อให้เว็บไซต์ใช้โพรโตคอล HTTPS เพื่อรับประกันความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้

หลีกเลี่ยงเนื้อหาและ URL ที่ซับซ้อน

URL ที่ดีควรเรียบง่าย กระชับ และตรงประเด็น หลีกเลี่ยงการใส่คำยาวๆ ซ้ำซ้อนหรือโครงสร้างหลายชั้นเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ใช้งานสับสนและยากต่อการจดจำ การทำ URL ให้เข้าใจง่ายช่วยให้ผู้ใช้งานและ Google เข้าใจเนื้อหาเว็บไซต์ได้เร็วขึ้น ทั้งยังเพิ่มโอกาสในการแชร์ลิงก์และส่งผลดีต่อ SEO ของเว็บไซต์ด้วย

พารามิเตอร์ URL และ URL แบบไดนามิก

พารามิเตอร์ URL และ URL แบบไดนามิก

พารามิเตอร์ URL (URL Parameters) เป็นส่วนของ URL ที่ใช้ในการส่งข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ใช้งานไปยังเว็บเซิร์ฟเวอร์ เพื่อกำหนดเงื่อนไขหรือข้อมูลที่จำเป็นในการแสดงผลหน้าเว็บไซต์หรือเนื้อหาที่ต้องการ ประกอบด้วยคู่ key-value ที่ถูกเชื่อมต่อด้วยเครื่องหมาย “&”

ตัวอย่าง (URL Structure Example)

https://example.com/search?q=keyword&page=2&category=tech

ในตัวอย่าง URL ด้านบน จะเห็นได้ว่า

  1. `q=keyword` คือ Parameter ที่ชื่อว่า “q” และมีค่า “keyword”
  2. `page=2` คือ Parameter ที่ชื่อว่า “page” และมีค่า 2
  3. `category=tech` คือ Parameter ที่ชื่อว่า “category” และมีค่า “tech”

ในส่วนของ URL แบบไดนามิก (Dynamic URLs) คือ URL ที่สร้างขึ้นโดยระบบหรือเว็บแอปพลิเคชันขึ้นอย่างอัตโนมัติจากข้อมูลหรือพารามิเตอร์ต่างๆ โดย URL แบบไดนามิกสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามเงื่อนไขหรือข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงในขณะการเข้าถึง

ตัวอย่าง (URL Structure Example)

https://example.com/products/123

ใน URL แบบนี้ `123` อาจเป็นรหัสสินค้าที่เปลี่ยนไปตามสินค้าที่ผู้ใช้เลือกดู หรือเป็นรหัสการสั่งซื้อหรือรายการที่ผู้ใช้กำลังเข้าถึง ระบบจะใช้รหัสนี้เพื่อดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากฐานข้อมูลและแสดงผลตามความต้องการ URL แบบไดนามิกช่วยให้เว็บไซต์สามารถจัดการและแสดงผลเนื้อหาที่หลากหลายได้อย่างยืดหยุ่น

รวมเครื่องมือช่วยสร้าง URL มาแรงในปัจจุบัน!

รวมเครื่องมือช่วยสร้าง URL มาแรงในปัจจุบัน!

ในปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายที่ช่วยสร้าง URL ที่มีโครงสร้างเหมาะสมสำหรับการใช้งานทั้งในเชิง SEO และประสิทธิภาพในการแบ่งปันลิงก์ ดังนี้

การทำตัวย่อ URL

เครื่องมือที่ใช้ย่อ URL ช่วยให้ URL สั้นลง อ่านง่าย แชร์สะดวก และยังติดตามผลได้ว่าลิงก์ถูกคลิกมากน้อยแค่ไหน ปัจจุบันมีหลายเครื่องมือช่วยสร้าง URL ย่อ (Short URL) ที่นิยมและใช้งานง่าย ดังนี้

  • Bitly เป็นเครื่องมือทำ URL ย่อที่ใช้งานง่ายมาก ผู้ใช้สามารถปรับแต่งชื่อ URL ให้สวยงามหรือสื่อความหมายได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยังมีระบบติดตามสถิติคลิก ทำให้รู้ว่าแต่ละลิงก์ถูกคลิกจากที่ไหนและเมื่อไร เหมาะสำหรับการวิเคราะห์ผลลิงก์แบบเรียลไทม์
  • TinyURL ตัวย่อ URL ฟรีที่ใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องสมัครสมาชิก เหมาะกับการแชร์ลิงก์เร็วๆ ลิงก์ที่ได้อ่านง่ายและเข้าใจทันที ทำให้สะดวกต่อการส่งต่อผ่านโซเชียลมีเดียหรืออีเมล
  • Ow.ly เครื่องมือจาก Hootsuite ที่ใช้งานง่าย เหมาะกับคนทำ Social Media Marketing เพราะช่วยให้แชร์ลิงก์บนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้สะดวก พร้อมติดตามสถิติคลิกและประสิทธิภาพของแต่ละลิงก์แบบเรียลไทม์ ทั้งหมดรวมอยู่ในระบบเดียว
  • Rebrandly โดดเด่นเรื่องแบรนด์และการปรับแต่งโดเมนเองได้ ทำให้ URL ที่แชร์สะท้อนตัวตนของธุรกิจ เหมาะสำหรับองค์กรหรือแบรนด์ที่ต้องการให้ลิงก์สื่อความเป็นมืออาชีพและน่าจดจำ
  • BL.INKห้สถิติและฟีเจอร์วิเคราะห์ลิงก์อย่างละเอียด เหมาะกับการทำ Marketing Campaign ที่ต้องการข้อมูลเชิงลึก ทั้งจำนวนคลิก แหล่งที่มาของผู้เข้าชม และการประเมินผลลิงก์ เพื่อปรับกลยุทธ์การตลาดได้แม่นยำ

เครื่องมือสร้าง URL

หากต้องการสร้าง URL ที่กำหนดเองด้วยพารามิเตอร์เฉพาะ สามารถใช้เครื่องมือสร้าง URL เช่น เครื่องมือสร้าง URL ของแคมเปญ Google Analytics หรือ UTM.io ซึ่งสามารถเพิ่มพารามิเตอร์แคมเปญลงใน URL เพื่อการติดตาม

  • Google Analytics URL Builder เครื่องมือฟรีจาก Google ช่วยสร้าง URL พร้อมพารามิเตอร์แคมเปญ (UTM) เพื่อวิเคราะห์แหล่งที่มาของผู้เข้าชมและติดตามประสิทธิภาพแคมเปญได้อย่างแม่นยำ
  • UTM.io เครื่องมือสร้าง URL แบบมืออาชีพ เน้นการจัดการพารามิเตอร์แคมเปญอย่างเป็นระบบ เหมาะกับทีมการตลาดที่ต้องติดตามหลายแคมเปญพร้อมกันและแชร์ให้ทีมใช้งานได้ง่าย

ระบบจัดการเนื้อหา (CMS)

CMS ช่วยให้สร้าง จัดการ และปรับแต่งเว็บไซต์ได้ง่ายโดยไม่ต้องเขียนโคดมาก ตัวอย่างยอดนิยม ดังนี้

  • WordPress ยืดหยุ่นสูง เหมาะทั้งเว็บไซต์ขนาดเล็กและใหญ่ มีปลั๊กอินให้เลือกใช้งานมากมาย ทำให้ปรับแต่งฟีเจอร์และดีไซน์ได้ตามต้องการ พร้อมสนับสนุน SEO และระบบจัดการเนื้อหาครบวงจร
  • Drupal แข็งแรงและมีความสามารถสูง เหมาะกับเว็บไซต์ขนาดใหญ่หรือซับซ้อน รองรับการปรับแต่งโครงสร้างและฟีเจอร์ขั้นสูง มีระบบความปลอดภัยและการจัดการเนื้อหาที่ละเอียด เหมาะกับองค์กรหรือธุรกิจที่ต้องการความครบเครื่อง
  • Joomla ยืดหยุ่นระดับกลาง เหมาะกับเว็บไซต์องค์กร พอร์ตฟอลิโอ หรืออีคอมเมิร์ซ มีระบบจัดการเนื้อหาแบบครบวงจร ปรับแต่ง URL และโครงสร้างเว็บไซต์ได้ง่าย พร้อมส่วนเสริมให้เพิ่มฟีเจอร์หลากหลาย เหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการความสามารถมากกว่า CMS พื้นฐานแต่ไม่ซับซ้อนเท่า Drupal
  • Wix เหมาะกับผู้เริ่มต้นและคนที่ต้องการสร้างเว็บไซต์เร็ว ใช้งานง่ายด้วยระบบลากวาง ไม่ต้องเขียนโคด สามารถปรับแต่งดีไซน์ พร้อมเทมเพลตสวยๆ ที่ใช้ได้ทันที
  • Squarespace เน้นดีไซน์สวยมืออาชีพ พร้อมเทมเพลตคุณภาพสูง เหมาะกับเว็บไซต์พอร์ตฟอลิโอ ร้านค้าออนไลน์ และบล็อก ให้ทั้งความสวยงามและระบบจัดการเนื้อหาที่เรียบง่าย

เครื่องมือสำหรับนักพัฒนา

  • Google Search Console เครื่องมือฟรีจาก Google สำหรับตรวจสอบประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์ วิเคราะห์ URL ที่ถูกจัดทำดัชนี และติดตามปัญหาในการเข้าถึงเว็บไซต์
  • Screaming Frog โปรแกรมสแกนเว็บไซต์เพื่อวิเคราะห์โครงสร้าง URL ลิงก์ภายใน ข้อผิดพลาด และปัญหาของ SEO เหมาะกับเว็บไซต์ขนาดใหญ่
  • Ahrefs เครื่องมือวิเคราะห์ SEO ที่เน้นตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับ (Backlink) โอกาสในการจัดอันดับ และประสิทธิภาพของ URL เพื่อปรับกลยุทธ์คอนเทนต์
  • Postman ใช้ทดสอบ API และพารามิเตอร์ใน URL เพื่อให้มั่นใจว่าการส่งข้อมูลและเรียกใช้งานระบบถูกต้องแม่นยำ
  • JavaScript / Python นักพัฒนาสามารถใช้สคริปต์เพื่อสร้างหรือปรับแต่ง URL อัตโนมัติ เช่น การสร้าง Query String และทำ URL encode/decode หรือจัดการพารามิเตอร์ของ URL โดยตรง ทำให้การจัดการเว็บไซต์หรือ API มีประสิทธิภาพสูง
ข้อดีของการปรับ URL Structure ให้เหมาะกับ SEO

ข้อดีของการปรับ URL Structure ให้เหมาะกับ SEO

การปรับ URL Structure ให้เหมาะกับ SEO นั้นเพิ่มโอกาสในการค้นหาของเว็บไซต์ และมีข้อดีดังนี้ 

สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ใช้

โครงสร้าง URL ที่ได้รับการปรับปรุงอย่างเหมาะสม เป็นระเบียบ อ่านแล้วเข้าใจทันทีว่าหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร ไม่ต้องเดาหรือคลิกผิดๆ ทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น รู้สึกมั่นใจในการคลิกและแชร์ลิงก์ สิ่งนี้จะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ให้ราบรื่นขึ้นโดยรวม เพิ่มโอกาสที่ผู้เยี่ยมชมจะอยู่บนเว็บไซต์ได้นานขึ้น และกลับมาใช้งานเว็บไซต์ซ้ำได้ง่ายกว่าเดิม

ช่วยให้ Google รวบรวมข้อมูลได้ง่าย

URL ที่จัดเรียงอย่างเป็นระบบและมีความหมายชัดเจน ช่วยให้ Googlebot เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ได้เร็วและแม่นยำขึ้น การที่แต่ละหน้ามี URL ที่สื่อเนื้อหาอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ Google สามารถเก็บข้อมูลและจัดทำดัชนีหน้าเว็บไซต์ได้ดีขึ้น นำไปสู่การมองเห็นที่ดีขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP)

เพิ่มประสิทธิภาพคำหลัก (Keyword)

การจัด URL Structure ให้มี Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ช่วยให้ Google เข้าใจได้ทันทีว่าหน้านั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร ส่งผลให้เว็บไซต์มีโอกาสปรากฏในการค้นหาที่เกี่ยวข้องมากขึ้น สำหรับผู้ใช้งาน การเห็น URL ที่ตรงกับสิ่งที่ค้นหา ก็สร้างความมั่นใจและเพิ่มโอกาสคลิกเข้าเว็บไซต์ ทำให้ทั้ง SEO และประสบการณ์ผู้ใช้งานดีขึ้นพร้อมๆ กัน

อัตราการคลิกผ่าน (CTR) ที่เพิ่มขึ้น

URL Structure ที่ออกแบบอย่างดี ทำให้ลิงก์ดูน่าสนใจและคุ้มค่าแก่การคลิก เมื่อผู้ใช้เห็น URL ที่ชัดเจน กระชับ และตรงกับสิ่งที่กำลังค้นหา ก็มีแนวโน้มคลิกมากขึ้น การปรับ URL ให้สื่อความหมายจึงช่วยเพิ่ม CTR และดึงผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ได้มากขึ้น

การแชร์และสร้างลิงก์ง่ายขึ้น

เมื่อพูดถึงการแชร์เนื้อหาบนโซเชียลมีเดียหรือเว็บไซต์อื่นๆ การมี URL ที่เรียบง่าย ชัดเจน และสื่อความหมายช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจและมีแนวโน้มที่จะแชร์เนื้อหามากขึ้น วิธีนี้ไม่เพียงเพิ่มการมองเห็น แต่ยังช่วยดึงผู้เข้าชมเว็บไซต์ใหม่ๆ แบบออร์แกนิก ทำให้เนื้อหาเข้าถึง User ได้กว้างขึ้น

ข้อควรระวังเมื่อต้องเปลี่ยน URL บนเว็บไซต์

การเปลี่ยน URL บนเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าไม่ระวังอาจทำให้ผู้ใช้งานคลิกแล้วเจอหน้า 404 หรือเสียอันดับ SEO ได้ การวางแผนและจัดการอย่างรอบคอบจึงสำคัญ เพื่อให้เว็บไซต์ยังทำงานได้ราบรื่นและผู้เข้าชมไม่สับสน

ใช้การ Redirect แบบ 301

เมื่อเปลี่ยน URL สิ่งสำคัญคือการใช้ Redirect แบบ 301 ซึ่งเป็นการบอกให้ Google และเบราว์เซอร์รู้ว่า URL เดิมถูกย้ายถาวรไปยัง URL ใหม่ การทำแบบนี้ช่วยรักษาอันดับ SEO ของหน้าเดิมและป้องกันผู้ใช้งานเจอหน้าหายหรือข้อความผิดพลาด ทำให้การเปลี่ยน URL เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

อัปเดต Internal Links ให้ชี้ไปยัง URL ใหม่

เมื่อเปลี่ยน URL ภายในเว็บไซต์ การอัปเดต Internal Links ให้ชี้ไปยัง URL ใหม่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าไม่ทำ ผู้ใช้งานอาจคลิกแล้วเจอหน้า 404 ทำให้ประสบการณ์การใช้งานแย่ลง นอกจากนี้ Google ก็อาจไม่สามารถเก็บข้อมูลหน้าเว็บไซต์ได้ครบถ้วน การปรับลิงก์ภายในให้ตรงกับ URL ใหม่จึงช่วยรักษา SEO และให้เว็บไซต์ทำงานได้ราบรื่น

ส่ง Sitemap ใหม่ให้ Google Search Console

หลังจากเปลี่ยน URL การส่ง Sitemap ใหม่ไปยัง Google Search Console เป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้ Google รู้ว่าหน้าเว็บไซต์ไหนถูกย้ายหรือแก้ไข การไม่ส่ง Sitemap อาจทำให้ Googlebot ไม่เก็บข้อมูลหน้าเว็บไซต์ใหม่ทันที ส่งผลให้การจัดอันดับ SEO ลดลง การอัปเดต Sitemap จึงช่วยให้การเปลี่ยน URL ราบรื่นและหน้าเว็บไซต์ใหม่ถูกค้นเจอเร็วขึ้น  

ตรวจสอบ Backlink เก่า

เมื่อเปลี่ยน URL การตรวจสอบ Backlink เก่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่ชี้ไปยัง URL เดิมอาจกลายเป็นลิงก์เสีย หากไม่จัดการให้ดี อาจส่งผลต่อ SEO และอันดับเว็บไซต์ การติดต่อเจ้าของเว็บไซต์เพื่ออัปเดตลิงก์ หรือใช้ Redirect แบบ 301 จึงช่วยรักษาความน่าเชื่อถือและปริมาณผู้เข้าชมที่มาจากลิงก์เหล่านี้ 

URL Structure กับ SEO ในปี 2025 — ประเด็นใหม่จาก Google Core Update

URL Structure กับ SEO ในปี 2025 — ประเด็นใหม่จาก Google Core Update

ปี 2025 Google Core Update ทำให้ SEO ต้องปรับตัวอีกครั้ง หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ URL Structure การจัดเรียง URL ที่ชัดเจน ไม่ซับซ้อน และสื่อความหมายตรงกับเนื้อหา ยังคงมีบทบาทมาก แต่มีการอัปเดตใหม่ที่ควรใส่ใจ ดังนี้

1. AI อ่านและตีความ URL ได้ลึกขึ้น

Google ใช้ AI ในการตีความ URL ให้เข้าใจเนื้อหาและบริบทได้ละเอียดมากขึ้น ไม่ใช่แค่ดูคำหลักเท่านั้น การมี URL ที่สื่อความหมายชัดเจนและเรียบง่ายช่วยให้ AI เข้าใจว่าหน้านี้เกี่ยวกับเรื่องอะไร ส่งผลให้เว็บไซต์มีโอกาสปรากฏในผลการค้นหาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ SEO โดยรวม

2. Slug ต้องสอดคล้องกับ Search Intent

เน้นให้ AI เข้าใจเจตนาการค้นหา (Search Intent) มากขึ้น ทำให้ Slug ของ URL ต้องสื่อความหมายตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานกำลังค้นหา ไม่ใช่แค่ใส่คำหลักแบบสุ่ม การมี Slug ชัดเจนและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาช่วยให้หน้าเว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ เพิ่มโอกาสคลิกและปรับปรุง SEO อย่างมีประสิทธิภาพ

3. URL กับ Website Architecture ต้องสอดคล้องกัน

ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่าง URL และโครงสร้างเว็บไซต์มากขึ้น URL ที่สอดคล้องกับโครงสร้างเว็บไซต์ช่วยให้ AI เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างหน้าได้ดี ทั้งหมวดหมู่และหน้าเนื้อหาถูกจัดลำดับอย่างเป็นระบบ ทำให้การจัดทำดัชนีแม่นยำขึ้น เพิ่มโอกาสให้หน้าเว็บไซต์ที่สำคัญปรากฏในผลการค้นหาและปรับปรุง SEO โดยรวม

4. Internal Linking กับ URL ที่สอดคล้องกัน

เน้นให้ Internal Linking และ URL ทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้อง การลิงก์ภายในที่ชี้ไปยัง URL ที่เรียบง่ายและมีความหมายช่วยให้ AI เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ได้ชัดเจนขึ้น ทำให้การจัดทำดัชนีและการประเมินความสำคัญของแต่ละหน้าแม่นยำ การจัดลิงก์อย่างถูกต้องจึงช่วยเพิ่ม SEO และทำให้ผู้ใช้งานนำทางเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น

5. การใช้คีย์เวิร์ดใน URL ต้องไม่ยัดเยียด

เน้นให้การใส่คีย์เวิร์ดใน URL เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ยัดคำหลักจนเกินจำเป็น การมี URL ที่ชัดเจนและสื่อความหมายช่วยให้ AI เข้าใจเนื้อหาได้ตรงจุด และยังทำให้ผู้ใช้งานอ่าน URL เข้าใจง่าย การปรับ URL ให้เหมาะสมแบบนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ SEO โดยไม่ถูกมองว่าเป็นการสแปมคำหลัก

6. การเปลี่ยน URL ต้องวางแผนรอบคอบ

การเปลี่ยน URL ในปี 2025 ต้องทำอย่างระมัดระวังและมีแผนรองรับ เช่น ใช้ Redirect 301 อัปเดต Internal Links และส่ง Sitemap ใหม่ให้ Google การวางแผนรอบคอบช่วยรักษาอันดับ SEO ของหน้าเดิม ป้องกันผู้ใช้งานเจอหน้าหาย และทำให้ Google สามารถรวบรวมข้อมูลหน้าเว็บไซต์ใหม่ได้อย่างราบรื่น

7. ให้ความสำคัญกับ E-E-A-T ใน Local Search

เน้นให้ E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) มีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะใน Local Search การมี URL ที่ชัดเจนและเนื้อหาที่เชื่อถือได้ช่วยให้ AI ประเมินคุณภาพเว็บไซต์ง่ายขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจท้องถิ่นปรากฏในผลการค้นหาอย่างน่าเชื่อถือ เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเจอและคลิกเข้ามาใช้งานมากขึ้น

โครงสร้าง URL แบบ Flat VS. Hierarchical 

เวลาออกแบบเว็บไซต์ การเลือกโครงสร้าง URL ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่เพียงช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจเว็บไซต์ง่าย แต่ยังส่งผลต่อ SEO ด้วย เรามาลองดู Flat และ Hierarchical URL Structure กันว่าแต่ละแบบมีลักษณะอย่างไร ข้อดี–ข้อเสียต่างกันอย่างไร

Flat URL Structure

Flat URL คือ URL ที่มีโครงสร้างเรียบง่าย ไม่มีลำดับหมวดหมู่ลึก หน้าแต่ละหน้าจะอยู่ในระดับเดียวกัน ทำให้ URL สั้นและตรงไปตรงมา เช่น example.com/product

ข้อดี

  • อ่านง่ายและเข้าใจทันที
  • แชร์สะดวก เหมาะกับ Social Media
  • Google และ AI เข้าใจเนื้อหาเร็ว
  • เหมาะกับเว็บไซต์ขนาดเล็กหรือหน้าจำนวนไม่มาก

ข้อเสีย

  • ยากต่อการจัดหมวดหมู่เนื้อหาหลายหน้า
  • ไม่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหน้าภายในเว็บไซต์
  • การจัด SEO แบบกลุ่มเนื้อหาอาจจำกัด

Hierarchical URL Structure

Hierarchical URL คือ URL ที่สะท้อนโครงสร้างเว็บไซต์ มีการจัดลำดับหมวดหมู่และหน้าอย่างเป็นระบบ เช่น example.com/products/electronics/phone การจัด URL แบบนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานและ Google เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหน้าต่างๆ ได้ง่ายขึ้น   

ข้อดี

  • ช่วยให้ผู้ใช้และ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์
  • เหมาะกับเว็บไซต์ขนาดใหญ่และมีหลายหมวดหมู่
  • สะดวกต่อการจัดกลุ่มเนื้อหาและทำ SEO แบบหมวดหมู่
  • สร้างความสัมพันธ์ระหว่างหน้าเว็บไซต์อย่างชัดเจน

ข้อเสีย

  • URL ยาวและซับซ้อน
  • แชร์ลิงก์ได้ยากกว่าลิงก์สั้น
  • หากโครงสร้างลึกเกินไป อาจทำให้ผู้ใช้และ AI สับสน

สรุป

การจัด URL Structure ที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้ URL ที่เรียบง่าย ชัดเจน และมีคำหลักช่วยให้ Google และ AI เข้าใจเนื้อหาได้เร็วขึ้น เพิ่มโอกาสคลิกและแชร์ URL พร้อมทั้งทำให้ Internal Linking, Sitemap และ Backlink ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ การเลือกโครงสร้างแบบ Flat หรือ Hierarchical ขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อนของเว็บไซต์ และต้องวางแผนอย่างรอบคอบเมื่อเปลี่ยน URL

สำหรับใครที่อยากให้เว็บไซต์ปรับโครงสร้าง URL และทำ SEO อย่างมืออาชีพ ทีมงาน Minimice Group รับทำ SEO พร้อมให้บริการครบวงจร ตั้งแต่การวิเคราะห์เว็บไซต์ ปรับปรุง URL Structure จนถึงวางกลยุทธ์ SEO ที่เหมาะกับธุรกิจคุณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และการค้นหาให้ธุรกิจของคุณโดดเด่น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ URL Structure (FAQ)

URL ที่สร้างใหม่มีผลต่อการจัดอันดับในการค้นหาไหม?

มีผลแน่นอน เพราะ URL ใหม่ที่สื่อความหมายชัดเจนและสอดคล้องกับเนื้อหาช่วยให้ Google และ AI เข้าใจหน้าเว็บไซต์ได้ดีขึ้น ส่งผลให้การจัดอันดับในผลการค้นหาดีขึ้น หาก URL ไม่เหมาะสม อาจกระทบ SEO เดิม

เปลี่ยน URL Structure ของเว็บไซต์หลังแสดงผลในเครื่องมือค้นหาได้ไหม?

ทำได้ แต่ต้องระวังและวางแผน เช่น ใช้ Redirect 301 อัปเดต Internal Links และส่ง Sitemap ใหม่ หากไม่จัดการดีอาจทำให้ผู้ใช้งานเจอหน้า 404 และอันดับ SEO ลดลง

URL ต่างจาก URI อย่างไร?

URL เป็นส่วนนึงของ URI ใช้ระบุที่อยู่เว็บไซต์และวิธีเข้าถึง เช่น https://example.com ส่วน URI ครอบคลุมทุกตัวระบุทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็น URL หรือ URN ทำให้ URI เป็นคำศัพท์กว้างกว่า URL

Warisara Butchadee

Warisara Butchadee

SEO SPECIALIST

SEO Specialist at Minimice Group , Expert in On-page, Off-page, and Technical SEO, helping businesses achieve top search rankings, grow sustainable organic traffic, and maximize conversions.

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง