สำหรับคนที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ควรมีเครื่องมือที่ช่วยวัดผลการตลาดออนไลน์ ทุกแคมเปญทางการตลาดต้องมีการวัดผลลัพธ์ เพราะจะช่วยให้รู้ถึงที่มาของยอดขาย หรือรายได้อย่างชัดเจน ตลอดจนพัฒนา และทุ่มเทกับแคมเปญให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อการเติบโตของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือวัดผลทางการตลาดก็คือ UTM บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับ UTM ว่าคืออะไร ทำไมถึงวัดผลลัพธ์ Digital Marketing ได้อย่างแม่นยำ และเป็นสิ่งที่นักการตลาดทั้งหลายไม่ควรมองข้าม ไปอ่านกันได้เลย!
ทำความรู้จัก UTM คืออะไร
UTM ย่อมาจากคำว่า Urchin Tracking Modules เรียกได้หลายแบบ เช่น UTM Tracking, UTM Tags, UTM Link โดย UTM คือ เครื่องมือตัวช่วยวัดผลการตลาด หรือตัวเก็บข้อมูลจากการเข้าชมเว็บไซต์เชิงลึกว่ามาจากแคมเปญไหน ใช้วิธีการแบบใด มาจากช่องทางไหน ซึ่งสามารถทำได้โดยการติดแท็กที่เราใส่เข้าไปท้าย URL ของเว็บไซต์ ยกตัวอย่างเช่น
- https://minimicegroups.com/seo/?utm_source=facebook
- https://minimicegroups.com/seo/?utm_medium=content+post
- https://minimicegroups.com/seo/?utm_campaign=what-is-seo
เมื่อเราใส่รูปแบบต่างๆ เข้าไป จะทำให้จำแนกที่มาของการเข้าสู่เว็บไซต์ของลูกค้าได้นั่นเอง
รูปแบบของ UTM มีอะไรบ้าง
รูปแบบของ UTM คือ โค้ดที่นำมาใส่ไว้ด้านท้ายของ URL ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 รูปแบบ แต่ละแบบก็แตกต่างกันออกไปตามที่มาของการเก็บข้อมูลการเข้าเว็บไซต์ ซึ่งได้แก่ utm_campaign, utm_source, utm_medium, utm_term และ utm_content โดยแต่ละแบบมีรายละเอียดดังนี้
Campaign
UTM Campaign เป็นแคมเปญที่เราใช้ในการทำตลาด การโฆษณา การโปรโมตสินค้า และบริการ การสร้างการรับรู้แบรนด์ เพื่อช่วยให้เรารู้ถึงที่มาของการเข้าชมเว็บไซต์ของลูกค้าว่ามาจากแคมเปญอะไร โดยการใช้โค้ด utm_campaign
Source
UTM Source ใช้บอกแหล่งที่มาของผู้ชมที่เข้ามาดูเว็บไซต์ของเราว่ามาจากช่องทางไหน เช่น Facebook, Instagram, TikTok, Twitter เป็นต้น หรือเว็บไซต์ที่เราไปฝากแบนเนอร์ไว้ให้ช่วยโปรโมต โดยการใช้โค้ด utm_source
Medium
UTM Medium ใช้เพื่อการบ่งบอกว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเราเข้ามาด้วยวิธีการใด เช่น คลิกผ่านแบนเนอร์ คลิกป๊อปอัป คลิกลิงก์ คลิกโฆษณา หรือสื่ออื่นๆ เพื่อเข้ามายังเว็บไซต์ของเรา เป็นต้น โดยการใช้โค้ด utm_medium
Term
UTM Term เป็นการใช้ Tracking สำหรับ Keyword ต่างๆ ที่เรายิงโฆษณาบน Google Ads เพื่อบ่งบอกว่าลูกค้าที่เข้ามาชมเว็บไซต์มาจากการยิง Keyword อะไร ผ่าน Google Analytics โดยการใช้โค้ด utm_term
Content
UTM Content เป็นการแยกย่อยเนื้อหาให้เฉพาะเจาะจงลงไป สำหรับดูว่าผู้เข้าชมมาจากคอนเทนต์ใด หรือมาจากแคมเปญไหน เช่น เรามีรูปภาพที่วางลิงก์ไว้ เราก็สามารถระบุเนื้อหาให้ละเอียดลงไปด้วยได้ โดยการใช้โค้ด utm_content
ทำไมจึงต้องนำมาวัดผลลัพธ์การตลาดออนไลน์
UTM คือสิ่งจำเป็นสำหรับการวัดผลลัพธ์ทางการตลาดออนไลน์ เนื่องจากทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการติดตามและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญและกลยุทธ์ออนไลน์ต่างๆ เพราะมีความสำคัญระบุและติดตามแหล่งที่มาของแต่ละแคมเปญได้ เป็นการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำการตลาดออนไลน์ และยังสามารถรายงานผลเฉพาะเจาะจงแบบกำหนดเองได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีความแม่นยำสูง ซึ่งช่วยขจัดความคลุมเครือด้วยการกำหนดแหล่งที่มา สื่อ แคมเปญ และคุณลักษณะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับแต่ละคลิกอย่างชัดเจน
วิธีการสร้าง URL สำหรับ UTM Tracking เพื่อวัดผล
การเริ่มต้นทำ UTM Tracking ต้องรู้จักกับ URL Parameter เสียก่อน ซึ่งก็คือองค์ประกอบ หรือรูปแบบของ UTM นั่นเอง เพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งหมด และความแตกต่างของ UTM แต่ละแบบ เราทำ UTM ก็เพื่อวัดผลลัพธ์การคลิกเข้าชมเว็บไซต์จากการทำการตลาดออนไลน์ในช่องทางต่างๆ ซึ่งไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด โดยเราสามารถอธิบายวิธีการสร้าง URL สำหรับ UTM Tracking ดังนี้
- ขั้นตอนแรกให้เข้าไปที่เว็บไซต์ Campaign URL Builder ซึ่ง Google เป็นผู้ออกแบบให้สามารถใช้งานได้ง่าย ที่สำคัญยังใช้ได้ฟรีอีกด้วย เพราะการสร้างโค้ด UTM เองอาจมีความยุ่งยาก หรือเกิดความผิดพลาดได้
- จากนั้นให้ Copy URL ของหน้า Landing Page ที่คุณต้องเก็บข้อมูลลงในช่อง Website URL เช่น https://minimicegroups.com/
- จากนั้นกรอก UTM ที่ต้องการใช้ลงในช่องต่างๆ ได้แก่ Campaign Source, Campaign Medium, Campaign Name เป็นต้น เช่น Facebook, Banner
- หลังจากนั้นให้เลื่อนลงไปที่กล่อง Share the generated campaign URL เพียงเท่านี้ก็สามารถ Copy UTM และนำไปใช้ได้ทันที เช่น https://minimicegroups.com/?utm_source=facebook_medium=banner
เครื่องมือที่ใช้ในการติดตามผล UTM Tracking
เครื่องมือส่วนใหญ่ที่เจ้าของเว็บไซต์นิยมใช้ในการติดตามผล UTM Tracking ที่เราได้ทำ URL ไว้แล้ว ได้แก่ Google Analytics และ Marketing Hub (Hubspot) ซึ่งสองตัวนี้แตกต่างกันอย่างไร ไปดูกันเลย!
Google Analytics
Google Analytics มีข้อดี คือ สามารถใช้งานได้ฟรี และมีการให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เหมาะกับผู้ที่ยิงโฆษณาผ่าน Google Ads ซึ่งสามารถเชื่อมกับเครื่องมือต่างๆ ของ Google ได้อีกด้วย เหมาะกับ UTM Tracking แบบ Campaign, Source, Medium สำหรับวิธีการใช้งานก็ไม่ยาก เพียงแค่คลิกไปที่เมนู Acquisition และกดเลือก All Traffic จากนั้นกด Source/Medium เพียงเท่านี้ก็สามารถดูแหล่งที่มาของผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้แล้ว
Marketing Hub (Hubspot)
แม้ว่า Marketing Hub (Hubspot) ไม่ได้เป็นเครื่องมือที่ใช้งานได้ฟรี แต่ก็มีข้อดีหลายอย่าง เช่น การระบุแหล่งที่มาได้อย่างแม่นยำ สามารถติดตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ สามารถใช้กับ UTM Tracking ได้ทุกแบบ วิธีใช้งานเพียงเข้าไปที่ Marketing Dashboard กดที่เมนู Report และคลิกที่ Analytics Tools จากนั้นคลิกไปที่ Traffic Analytics เพียงเท่านี้ก็จะหาประเภทของผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์ได้แล้วว่ามาจากแหล่งใดบ้าง
ข้อดีและประโยชน์ของ UTM
นักการตลาดหลายคนคงคิดว่าการทำ UTM เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก แต่ในความจริงแล้วมีประโยชน์มากกว่าที่คิด และคุ้มค่าในการทำ เพราะมีข้อดี และประโยชน์หลายอย่าง ได้แก่
- วัดผลได้อย่างละเอียด และมีความแม่นยำสูง เราสามารถรู้ได้ว่าผู้เข้าชมส่วนใหญ่มาจากช่องทางไหน
- ช่วยวิเคราะห์ และทำการตลาดได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย สามารถเจาะจงการทำการตลาดที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น เช่น หากลูกค้าส่วนใหญ่มาจาก Facebook ก็ให้เน้นการทำ UTM ในส่วนนั้นแทน
- ช่วยลดต้นทุนในการทำการตลาดดิจิทัล เช่น หากเราทำการตลาดผ่านการส่งลิงก์ไปทางอีเมลแล้วไม่ค่อยเห็นผล ก็ควรปิดช่องทางเหล่านั้น เพื่อประหยัดงบ และต้นทุน ก่อนจะนำไปใช้กับช่องทางอื่นแทน
- เพิ่มโอกาสในการขยับตำแหน่ง SEO บนหน้า Google การทำ UTM ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยดันหน้าเว็บไซต์ให้ขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆ บนหน้าของ Google ได้ไม่ยาก
ข้อที่ควรคำนึงและระวังในการทำ UTM
การทำ UTM มีข้อที่ควรคำนึง และควรระวังอยู่เช่นกัน เพราะหากทำไม่ถูกต้อง UTM ที่เราสร้างไว้ก็จะไร้ประโยชน์ ไม่สามารถนำไปต่อยอดได้ ซึ่งการทำ UTM มีข้อที่ควรคำนึงต่างๆ ดังนี้
- ห้ามเว้นช่องว่างของ URL การสร้าง URL ไม่สามารถเว้นช่องว่างได้ เพราะจะทำให้ลิงก์ของเว็บไซต์ไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจเปลี่ยนมาใช้เครื่องหมาย – แทน
- ตัวพิมพ์เล็ก และตัวพิมพ์ใหญ่ ต้องตรวจสอบตัวพิมพ์เล็ก และตัวพิมพ์ใหญ่ให้ถูกต้องทุกครั้ง เพราะมีผลต่อการเข้าถึงเว็บไซต์ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นตัวอักษรคำเดียวกัน แต่เป็นตัวพิมพ์เล็ก และตัวพิมพ์ใหญ่ ก็จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน โดยผู้เข้าชมอาจกดเข้าไปอีกหน้าแทนได้
- อย่าลืมตรวจสอบแหล่งที่มา ก่อนทำ UTM ต้องตรวจสอบก่อนว่าจะเก็บข้อมูลจากช่องทางใด สามารถทำได้หรือไม่ เช่น หากคุณไม่เคยนำลิงก์ไปแปะไว้ใน Facebook เลย ก็ไม่สามารถทำ utm_source ให้เป็น Facebook ได้นั่นเอง
สรุป
UTM คือสิ่งสำคัญที่นักการตลาดที่ต้องวางแผนการตลาดควรมี เพราะสามารถช่วยให้ทราบถึงแหล่งที่มาของการเข้าชมเว็บไซต์ โดยอาจมาจากหลายแคมเปญที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้เราสามารถเห็นตัวเลขได้อย่างชัดเจนว่าควรมุ่งทำการตลาดไปยังแคมเปญใด ถึงจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้มากกว่า นอกจากนี้ การวัดผลโดยใช้ UTM ดี และมีประโยชน์ต่อเว็บไซต์ที่มีวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ เพราะมีความแม่นยำสูง แสดงผลได้อย่างเฉพาะเจาะจง และยังสามารถติดตามผลลัพธ์ของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
คำถามที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับ UTM (FAQ)
หลายคนอาจมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ UTM ซึ่งเราได้รวบรวมคำถามที่น่าสนใจ และคำตอบมาให้แล้ว
การวัดผลโดยการทำ UTM นั้นเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่
โดยปกติการสร้าง UTM นั้นไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะสามารถใช้เครื่องมือฟรีของ Google ได้ แต่หากคุณต้องการติดตามผลลัพธ์ด้วยเครื่องมือพิเศษ ก็อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วยนั่นเอง
จำเป็นที่จะต้องทำ UTM ทุกเว็บไซต์หรือไม่
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำ UTM ทุกเว็บไซต์ แต่การไม่ทำ UTM อาจทำให้ไม่สามารถเก็บข้อมูล และนำไปวิเคราะห์ได้อย่างละเอียด ซึ่งหากต้องการรู้แหล่งที่มาของผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อวางแผนการตลาดก็ควรที่จะทำ UTM
ไม่มีพื้นฐานการเขียนเว็บสามารถทำ UTM ได้หรือไม่
สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานการเขียนเว็บไซต์ก็สามารถทำ UTM ได้ เพราะขั้นตอนการทำมีความง่าย ไม่ยุ่งยาก ที่สำคัญเครื่องมือที่ใช้ยังเป็นเครื่องมือฟรีอีกด้วย