ความเข้าใจในรูปแบบ วิธีการ และปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ในการทำ SEO ที่มีผลต่อการจัดอันดับของ Google เป็นสิ่งสำคัญที่คนทำ SEO จำเป็นจะต้องรู้ แต่สิ่งที่จะมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นก็คือการนำ SEO Tools มาประยุกต์ใช้ เพราะบางอย่างเราสามารถทำการปรับแต่งเองได้ แต่บางอย่างก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเพื่อให้ SEO ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเครื่องมือในการทำ SEO ว่าคืออะไร มีอยู่ด้วยกันกี่ประเภท และเหมาะกับการใช้งานส่วนไหน เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับแผน และกลยุทธ์ของตัวเองได้ เพื่อให้การทำ SEO ออกมาได้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น เราได้รวบรวมเครื่องมือ SEO ที่คนทำเอเจนซี่คัดสรรมาแล้วว่าดีจริงมาแชร์ให้ทุกคนกัน
เครื่องมือในการทำ SEO หรือ SEO Tools คืออะไร?
SEO Tools คือเครื่องมือ หรือโปรแกรมต่าง ๆ ที่ช่วยให้การทำ SEO ของคุณง่ายขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้เราจับจุดได้ว่าเว็บไซต์ของเราทำงานได้ดีหรือไม่ มีจุดไหนที่ต้องปรับปรุง หรือคีย์เวิร์ดที่ใช้ตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายมองหาอยู่หรือเปล่า ถึงแม้ว่าเราอาจจะพอรู้เทคนิคว่าการทำ SEO มีอะไรบ้าง ต้องทำแบบไหนถึงจะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของผู้ชมกับเว็บไซต์ของเราได้ แต่บางอย่างเราก็ไม่สามารถทำเองได้ไปทุกเรื่อง SEO Tools จึงเข้ามีบทบาทในส่วนนี้
![ทำไมต้องใช้ seo tools](https://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/03/MNM-3-5-01-2048x1072-1.webp)
ทำไมเราต้องใช้ SEO Tools
มีเว็บไซต์แต่ไม่สามารถเพิ่ม Traffic หรือ Coversion ได้ก็คงจะไม่มีประโยชน์ แม้ว่าเราจะรู้เทคนิคที่ช่วยให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จได้โดยปราศจากเครื่องมือ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเครื่องมือเหล่านี้ทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นจริงๆ และยังประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากกว่าการพยายามจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะเราสามารถค้นพบข้อด้อยบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์ได้ เพื่อที่เราจะสามารถแก้ไขได้แบบตรงจุด และประหยัดเวลา เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความเข้าใจมากขึ้น มาดูกันว่าประโยชน์ของ SEO Tools 5 ข้อ จะมีอะไรบ้าง และทำไมเราถึงต้องใช้มัน
1. วิเคราะห์และรับมือกลยุทธ์คู่แข่ง
ไม้เบื่อไม้เมาในการทำธุรกิจไหนๆ ก็คงหนีไม่พ้นคู่แข่ง ถึงแม้เราจะเตรียมตัวมาดี แต่คู่แข่งเขาก็เตรียมตัวมาพร้อมไม่แพ้กัน การจะเป็นอันดับหนึ่งได้จึงต้องรู้จักวิเคราะห์ และรับมือกลยุทธ์ร้อยแปดพันเก้าที่คู่แข่งงัดมาใช้สู้กับเรา เพราะฉะนั้น หากเรารู้ว่าคู่แข่งมีกลยุทธ์การทำ SEO อย่างไร จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์มากน้อยแค่ไหน Backlink (ลิงก์จากเว็บอื่น) มาจากไหนบ้าง ก็จะช่วยให้เราตั้งรับ และวางแผนการตลาดของเราได้ดีขึ้นนั่นเอง
2. ข้อมูลแบบ Real-Time
ข้อมูลแบบเรียลไทม์นั้นสำคัญมากๆ หากเราพลาดในจุดนี้ไป อาจทำให้เราช้ากว่าคู่แข่งไปอีกหลายก้าว ลองคิดดูว่า หากข้อมูลเหล่านี้ไม่มีเครื่องมือที่ช่วยในการแจ้งเตือน และรายงานผลแบบทันท่วงที ก็จะทำให้เสียเวลาเป็นอย่างมาก ถ้าเรามีข้อมูลแบบ Real-Time อยู่ในมือ ที่เราสามารถติดตามและตรวจสอบได้ทุกที่ทุกเวลา ก็จะทำให้เราสามารถรับมือ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาดได้อย่างทันที และมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้คีย์เวิร์ดของเราติดอันดับ พร้อมสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอีกด้วย
3. หา SEO Content Ideas
บางทีคิดไอเดียคอนเทนต์ไม่ออก หรือไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไรกำลังเป็นที่นิยม หากจะคาดการณ์เอาเองโอกาสเกิดความผิดพลาดก็ย่อมมีอย่างแน่นอน เครื่องมือ SEO บางตัวมีฟังก์ชันที่ช่วยบอกเราว่าเรื่องราวอะไรกำลังเป็นที่นิยม และเป็นสิ่งที่ผู้คนกำลังพูดถึงกันแบบเรียลไทม์ รวมถึงเรื่องน่าจะเป็นที่นิยมในอีก 2-3 ชั่วโมงข้างหน้าอีกด้วย ซึ่งตรงนี้แหละจะเป็นตัวช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นว่า เราควรจะสร้างคอนเทนต์แบบไหน เรื่องที่คิดไว้จะเวิร์คหรือไม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราได้ว่าไอเดียของเราเป็นสิ่งที่ตลาดกำลังให้ความสนใจ
4. ประหยัดเงินและเวลา
เชื่อเถอะว่าหากมีตัวช่วยในการทำ SEO จะช่วยประหยัดเงินและเวลาได้มากทีเดียว อย่างในการตรวจสอบคุณภาพ SEO (SEO Audit) มีประโยชน์ในการช่วยตรวจสอบปัญหาของเว็บไซต์ได้ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยต่างๆ เช่น ข้อบกพร่องที่ทำให้เว็บไซต์ของเรายอดเข้าชมน้อย ไม่ติดอันดับ หรือคอนเทนต์ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ซึ่งในการทำ SEO audit แบบปราศจากเครื่องมือจะกินเวลาและทรัพยากรทางการเงินอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้น เครื่องมืออย่าง Google Analytics หรือ Screaming Frog จึงมีความจำเป็นต่อการทำ SEO และจะทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นอีกเยอะ
5. ช่วยในการติดตามและวัดผลการทำ SEO
หลาย ๆ คนวัดความสำเร็จของ SEO จากการจัดอับดับ แต่มันก็ยังมีการวัดค่าอื่น ๆ ที่ควรนำมาพิจารณาด้วย เช่น ยอดการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ ยอดขาย จำนวนการแชร์ จำนวนคอมเมนต์ จำนวน Backlinks เป็นต้น ซึ่งเครื่องมือในการทำ SEO จะสามารถช่วย ประเมินค่าความก้าวหน้า ติดตามและวัดผลว่าการทำ SEO บนเว็บไซต์ของเรานั้นมีแนวโน้มไปในทางไหน ยอดการเข้าชมเว็บไซต์ส่งผลการซื้อขายจริงด้วยหรือไม่ ทำให้เราสามารถเปรียบเทียบผลที่ได้ในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งเปรียบเทียบกับคู่แข่งเพื่อวางกลยุทธ์การแข่งขันได้
![ประเภทของ seo tools](https://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/03/MNM-3-5-02-2048x1072-1.webp)
ประเภทของ SEO Tools มีอะไรบ้าง?
SEO Tools คือ เครื่องมือที่ช่วยในการ วิเคราะห์ ติดตาม ชี้จุดบกพร่อง ของการทำการตลาดออนไลน์ผ่านการค้นหา รวมทั้งช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และเหมาะสมที่จะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหา ทำให้ประหยัดทั้งเวลา และเงิน แถมยังได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำกว่า ซึ่งประเภทของ SEO Tools ก็มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท และแต่ละประเภทก็มีจุดประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกัน โดยเราได้จัดประเภทของ SEO Tools ไว้ด้วยกัน 8 ประเภท มาดูกันว่าแต่ละประเภทที่ว่ามีอะไรบ้าง
• Keyword Tool
เรื่องการเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงใจ และใช้งานได้จริงเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่เอาเข้าใจมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น การเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่บางครั้งก็ใช้เวลา แถมยังเป็นกระบวนที่แอบน่าเบื่อ และมีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย ทำอย่างไรถึงจะเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดที่ผู้คนกำลังมองหาอยู่ Keyword Tool จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะวิเคราะห์อย่างเจาะลึกว่าคีย์เวิร์ดที่ดีคืออะไร ทำให้เราสามารถนำมาใช้ในการวางแผนการทำ SEO ที่ส่งเสริมการทำการตลาดออนไลน์ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
• Ranking Tool
Ranking Tools เป็นเครื่องมือที่ช่วยติดตามผลการทำงานของคีย์เวิร์ดที่เราใช้ ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้เรารู้ว่าคีย์เวิร์ดไหนเวิร์ค หรือไม่เวิร์ค ข้อดีก็คือ เราสามารถมุ่งจุดโฟกัสไปที่คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ได้ผลตอบรับดี และส่งผลที่ดีต่อการจัดอันดับ
• Website Audit
Website Audit เป็นตัวช่วยชั้นดีที่จะคอยหาจุดผิดพลาดในการทำ SEO ที่เราอาจไม่ทันได้สังเกต หรือไม่รู้ถึงข้อผิดพลาดนั้นบนเว็บไซต์ของเรา ไม่ว่าจะเป็น คีย์เวิร์ดหายไป หน้าเพจที่ไม่มีลิ้งก์ ทำให้การเข้าถึงเว็บไซต์ยากขึ้น ไม่มี Title หรือ Meta Description ลิงก์เสีย และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าคิดจะทำด้วยตัวเองล่ะก็ เรียกได้ว่าเสียเวลามากเลยทีเดียว
• Content SEO Tool
เลือกคอนเทนต์ที่ชอบ และคีย์เวิร์ดที่ใช่อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด Content SEO Tool ทำหน้าที่เป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเสริมประสิทธิภาพการจัดอันดับเว็บไซต์ให้ได้ผลอย่างดีที่สุด เครื่องมือนี้จะแนะนำคีย์เวิร์ด และหัวข้อเรื่องที่เข้ากับ Niche ของเว็บไซต์คุณ
• Technical SEO Tool
Technical SEO Tool เป็นเครื่องมือที่ช่วยในด้านโครงร่างทางเทคนิคของตัวเว็บไซต์ ซึ่งเครื่องมือประเภทนี้จะเน้นไปทางด้านโครงสร้างทางเทคนิคมากกว่าตัวเนื้อหา เช่น เรื่องการบีบอัดรูปภาพ การบีบอัด HTML Meta Description (คำอธิบายเนื้อหาเว็บไซต์) หรือลิ้งก์ต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อเป็นตัวช่วยให้เราสามารถพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น
• Copy Audit
หากคอนเทนต์ที่ซื้อมามันซ้ำกับผลงานของคนอื่นๆ หรือผลงานของเราเองนี่แหละที่ถูกบางคนขโมยไปแล้วนำไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ของพวกเขาเอง เราจะรู้ได้อย่างไรหากไม่มีเครื่องมือช่วย? เครื่องมือทำ SEO ประเภท Copy Audit จะช่วยเราได้มาก หากมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้น เพราะปัญหา Plagiarism ส่งผลเสียต่อเว็บไซต์เราอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบกับ Speech Engines หรือ ความน่าเชื่อถือก็ตาม นอกจากนี้ มันยังช่วยตรวจสอบ และวิเคราะห์ ความชัดเจน และความอ่านง่ายของเนื้อหาให้เราอีกด้วย ซึ่งส่วนนี้ส่งผลต่อการจัดอันดับบนกูเกิ้ล
• AMP Testing
AMP (Accelerated Mobile Pages) คือการสร้างหน้าเว็บให้สามารถแสดงผลบนหน้าจอมือถือได้อย่างเร็ว ในปัจจุบันผู้คนหันมานิยมใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อค้นหาสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อค้นหา หรือสอบถามข้อมูลลดลง แต่การที่เราไม่สร้างหน้าเว็บให้เหมาะกับมือถือก็จะทำให้ผู้ใช้เกิดอาการถอดใจ และกดออกหน้าเว็บของเราไปแบบดื้อ ๆ
• Outreach SEO
หากใครกำลังใช้กลยุทธ์ที่ให้เว็บไซต์อื่นลิงก์มายังเว็บไซต์ของเรานั้น ควรจะต้องมีเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในจุดนี้ โดยซอฟต์แวร์จะจัดเก็บข้อมูลลงใน Database โดยจัดความสำคัญจาก Link Exchange เชื่อไหมว่าหากเครื่องมือประเภท Outreach มาช่วยแล้วล่ะก็งานที่ต้องใช้เวลามาก ๆ แถมยังเปลืองทรัพยากรบุคคลแบบนี้ สามารถจัดการได้แบบรวดเร็ว แถมทำคนเดียวยังได้เลย
![ปัจจัยในการเลือก seo tools](https://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/03/MNM-3-5-03.webp)
5 ปัจจัยในการเลือก SEO Tools มาใช้งาน
จะเลือก SEO Tools ทั้งที ก็อาจจะมีคำถามว่าเลือกอย่างไรดี แล้วตัวเลือกไหนจะคุ้ม ตรงใจ และเหมาะกับการใช้งานของเรามากที่สุด? ถ้าไม่อยากเลือก Software แล้วพลาด ลองมาดูปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือก SEO Tools มาใช้กันดีกว่า
1. มีให้ทดลองใช้ฟรี ก่อนเป็นสมาชิก
ก่อนที่จะจ่ายเงินเพื่อเป็นสมาชิกซอฟต์แวร์ที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำ SEO หากโปรแกรมนั้นๆ มีให้ทดลองใช้ฟรีแล้วล่ะก็ เราควรจะทดลองใช้ก่อนเพื่อสำรวจว่าประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องมือนั้น ๆ ใช้งานได้โอเคหรือเปล่า หรือมีส่วนไหนที่ยังไม่ตรงใจ เพราะในเวอร์ชันทดลองใช้ฟรี จะมีรูปแบบการใช้งานให้เลือกใช้เพียงพอต่อการตัดสินใจแล้ว
2. ฟังก์ชันและฟีเจอร์การใช้งานครบถ้วนตามวัตถุประสงค์
เครื่องมือทำในตลาดนั้นก็มีให้เลือกมากมาย ถึงจะมีจุดประสงค์เดียวกันคือการช่วยทำ SEO แต่เครื่องมือเหล่านี้มีจุดโฟกัสที่แตกต่างกันไป แต่เครื่องมือหลัก ๆ ชนิดที่ขาดไม่ได้ที่ควรจะมาไว้ใช้งานก็อย่างเช่น เครื่องมือที่ช่วยในเรื่องหาคีย์เวิร์ด ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องคีย์เวิร์ดถือเป็นหัวใจหลักของการทำ SEO รวมถึงเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์ และเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาด เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหว และปรับปรุงให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
3. ความยืดหยุ่นในการใช้งาน
ความยืดหยุ่นในการใช้งานคือความยืดหยุ่นที่มาจากสิ่งที่เรียกว่า Scalability ซึ่งก็คือโมเดลธุรกิจที่รองรับการขยายตัว ในกรณีที่มีธุรกิจเพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นในการใช้งานจะทำให้เกิดการรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นได้ เพราะฉะนั้นต้องมั่นใจว่า SEO Tools ที่เราเลือกสามารถขยายฟังก์ชั่นการใช้งานได้ เช่น การทำงานร่วมกันกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ ได้
4. ความหลากหลายทางภาษาของทีม Support
หากเว็บไซต์ของเราไม่ได้มีกลุ่มเป้าหมายเพียงแค่ประเทศเดียว แต่มีหลากหลายประเทศ และหลากหลายภาษา ดังนั้น อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเลยก็คือความหลากหลายทางภาษาของทีม Support เครื่องมือที่เลือกใช้ควรสนับสนุนหลากหลายภาษา และควรจะเป็นโปรแกรมที่ครบจบในที่เดียวจะดีกว่าการมีโปรแกรมเพื่อรองรับประเทศต่าง ๆ ที่มีความหลากหลาย
5. ความสามารถในการทำ SEO Report
ความสามารถในการทำ SEO Report เป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะช่วยสรุปผล และรายงานค่าวัดผลสำคัญต่าง ๆ อย่างเช่น อันดับคีย์เวิร์ด การวิเคราะห์ลิงก์ การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง หรือ การทำ Audit เราจึงต้องมั่นใจว่าเครื่องมือที่คิดจะนำมาใช้นั้นมีความสามารถเหล่านี้อย่างครบถ้วน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่เครื่องมือ SEO ควรจะมี
เครื่องมือ SEO Tools ที่ Minimice เลือกใช้
Minimice เป็น SEO Agency ที่ให้ความสำคัญในการทำ SEO ให้มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดย Minimice จะมีการลงทุนด้านเครื่องมือ SEO อย่างเต็มที่ เพื่อให้งานลูกค้าออกมาสมบูรณ์แบบ และผลลัพธ์การจัดอันดับของลูกค้าดีขึ้นได้ ซึ่งทางเราก็จะมาแชร์ SEO Tools ที่ใช้จริงและใช้เป็นประจำให้ทุกคนได้ลองเลือกพิจารณานำไปปรับใช้กันได้
Ahrefs
มาทำความรู้จักกันว่า Ahrefs คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทาง Minimice เลือกใช้
![ahrefs คืออะไร](https://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/03/MNM-3-5-04-2048x1072-1.webp)
Ahrefs คืออะไร?
Ahrefs คือเครื่องมือ SEO ยอดนิยม ที่รวบรวมฟังก์ชันการใช้งานเอาไว้แบบหลากหลาย ช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์กันแบบเจาะลึกเก็บทุกรายละเอียด ทั้งยังครอบคลุมเกือบทุกการใช้งาน เรียกได้ว่าเป็น All-In-One Tool Set เลยทีเดียว
Ahrefs ใช้ทำอะไร?
ฟีเจอร์โดดเด่นที่ Ahrefs ใส่เข้ามานั้นตอบสนองต่อการใช้งานที่ค่อนข้างครอบคลุมเลยทีเดียว ซึ่งฟีเจอร์ที่ Ahrefs มีหลักๆ เลยก็อย่างเช่น
- Site Audit ตัวช่วยตรวจสุขภาพเว็บไซต์ ค้นหาข้อผิดพลาดทางเทคนิคต่างๆ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เว็บไซต์ของเราไม่ติดอันดับ
- Keyword Explorer ตัวช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ อัพเดทแบบสดใหม่ตลอดเวลา รองรับกว่า 171 ประเทศ รวมถึงช่วยวิเคราะห์ปัญหาการติดอันดับ และแนวโน้มที่จะช่วยเพิ่มยอดเยี่ยมชมเว็บไซต์
- Site Explorer ตัวช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์ ตรวจสอบ คีย์เวิร์ด และ backlink ได้ทุกเว็บหรือทุก URL ให้เราล้วงลึกและตามทันคู่แข่งได้ตลอดเวลา
- Content Explorer ตัวช่วยค้นพบคอนเทนต์ปังตาม niche ของเว็บไซต์เรา และช่วยหาไอเดียสำหรับทำคอนเทนต์ ได้อีกด้วย
- Rank Tracker ตัวช่วยติดตามและจับตามองการจัดอันดับเว็บไซต์ของเราตามแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อวิเคราะห์ และช่วยบูสประสิทธิภาพการทำงานให้แข่งขันกับเว็บไซต์อื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้น
Ahrefs มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
Ahrefs มีค่าบริการรายเดือนแบ่งตามระดับซึ่งแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายก็แตกต่างกันไป ราคาแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้
- Lite – $99
- Standard – $179
- Advanced – $399
- Agency – $999
SEMRUSH
มาดูกันต่อว่า SEMRUSH คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทาง Minimice เลือกใช้
![](https://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/03/MNM-3-5-05-2048x1072-1.webp)
SEMRUSH คืออะไร?
SEMRUSH คือเครื่องมือ SEO ที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยเครื่องมือมากกว่า 55 ประเภท ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพ SEO, Content Marketing, โซเชียลมีเดีย และ PPC และยังถือว่าเป็นเครื่องมือที่บริษัทรายใหญ่ระดับโลกเลือกใช้อีกด้วย
ทำไมต้องใช้ SEMRUSH?
SEMRUSH เป็นเครื่องมือแบบ All-In-One ที่ช่วยอัพเกรดให้ธุรกิจเติบโตได้แบบง่ายๆ ได้รับความไว้วางใจจากธุรกิจใหญ่ชั้นนำ ช่วยตรวจสุขภาพภาพเว็บไซต์ ค้นหาคีย์เวิร์ดกว่าล้านคีย์เวิร์ด ทั้งยังช่วยติดตามตำแหน่ง SERP กันแบบทุกวัน และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลของคู่แข่งได้ เพื่อเตรียมพร้อมวางกลยุทธ์อยู่เสมอ
SEMRUSH ราคาเท่าไหร่?
SEMRUSH คิดค่าบริการรายเดือนโดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
- ระดับ Pro – $99.95
- ระดับ Guru – $199.95
- ระดับ Business – $399.95
MOZ
ทำความรู้จัก MOZ คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทาง Minimice เลือกใช้
![moz ตืออะไร](https://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/03/MNM-3-5-06-2048x1072-1.webp)
MOZ คืออะไร มีผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง?
MOZ คือเครื่องมือ SEO ที่ให้บริการด้านการจัดการ SEO ที่ช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเกิดการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งมีแค่ MOZ อย่างเดียวก็ถือว่าครอบคลุมทุกการใช้งานที่นี่ที่เดียว MOZ แบ่งออกได้เป็น 2 ผลิตภัณฑ์ ก็คือ MOZ Local และ MOZ Pro
Moz Local
Moz Local ให้บริการแก่ธุรกิจท้องถิ่น (Local Business) ซึ่งธุรกิจเหล่านี้จะขึ้นหน้าอันดับแตกต่างกว่าธุรกิจทั่วไป ซึ่ง Moz จะทำให้เว็บไซต์ถูกค้นเจอจากลูกค้าใหม่ๆ ได้ง่าย Moz Local ยังแบ่งแพ็คเกจออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ Moz Local สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และ Moz Local สำหรับ องค์กร ราคาค่าบริการแบบรายปีจะอยู่ที่
- Essential – $99
- Professional – $179
- Premium (Enterprise) – $249
Moz Pro
Moz Pro เป็นเครื่องมือ SEO แบบ All-In-One ที่สามารถจัดการ แคมเปญ SEO ได้หลากหลายแง่มุม ซึ่งเหมาะแก่การใช้งานเสริมคู่กับ Google Analytics ราคาค่าบริการของ Moz Pro แบ่งออกได้เป็น 4 แพลนดังนี้
- Standard – $99 ต่อเดือน หรือเหมาจ่ายรายปีจะตกอยู่ที่เดือนละ $69
- Medium – $179 ต่อเดือน หรือเหมาจ่ายรายปีจะตกอยู่ที่เดือนละ $125
- Large – $299 ต่อเดือน หรือเหมาจ่ายรายปีจะตกอยู่ที่เดือนละ $209
- Premium – $599 ต่อเดือน หรือเหมาจ่ายรายปีจะตกอยู่ที่เดือนละ $ 419
เราใช้ MOZ ทำอะไรบ้าง?
MOZ เป็นเครื่องมือ SEO แบบ All-In-One ซึ่งสามารถใช้งานได้ตามความต้องการ แต่หลักๆ เลยคือ การใช้ MOZ เพื่อวิเคราะห์ และสร้างกลยุทธ์ Link Building ให้มีประสิทธิภาพ ค้นคว้าคีย์เวิร์ดที่ผู้คนใช้ค้นหาบน Search Engines เช็คสุขภาพเว็บไซต์ และติดตามผลลัพธ์คีย์เวิร์ดที่นำไปใช้ว่ามีการจัดอันดับเช่นไร
SERPSTAT
แนะนำเครื่องมือยอดนิยมอย่าง SERPSTAT ว่าคืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยมสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทาง Minimice เราเลือกใช้
![serpstat คืออะไร](https://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/03/MNM-3-5-07-2048x1072-1.webp)
SERPSTAT คืออะไร?
SERPSTAT คือ ซอฟต์แวร์ที่พัฒนามาจากเครื่องมือสืบค้นคีย์เวิร์ด โดย Oleg Salamaha จนพัฒนามาเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยทำ SEO ได้หลากหลายมากขึ้น และยังเป็นเครื่องมือที่ธุรกิจชั้นนำเลือกใช้
SERPSTAT ทำอะไรได้บ้าง?
SERPSTAT เป็นเครื่องมือ SEO ที่ประกอบไปด้วย 5 โมดูลหลัก ๆ ได้แก่
- Rank Tracking
- Backlink Analysis
- Keyword Research
- Site Audit
- Competitor Research
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การทำ SEO ของเราง่ายยิ่งขึ้น รวดเร็ว ใช้งานง่าย สามารถติดตามผลว่าการตลาดของเราเวิร์คแค่ไหน และทำให้เรารู้เท่าทันคู่แข่งอยู่เสมอ
SERPSTAT ราคาเท่าไหร่และมีแพคเกจอะไรบ้าง ?
SERPSTAT ประกอบไปด้วย 4 แพ็คเกจให้เลือกตามการใช้งาน ซึ่งราคาก็มีดังนี้
- Lite – $69 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $55 ต่อเดือน
- Standard – $149 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $119 ต่อเดือน
- Advanced – $299 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $239 ต่อเดือน
- Enterprise – $499 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $399 ต่อเดือน
Screaming Frog
ไขข้อสงสัง Screaming frog คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทาง MINIMICE เลือกใช้
![screaming frog คืออะไร](https://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/03/MNM-3-5-08-2048x1072-1.webp)
Screaming Frog คืออะไร มีข้อดีอย่างไร?
Screaming Frog เป็นเครื่องมือ SEO ที่มีฟังก์ชั่นการทำงานที่หลากหลาย มีหน้าที่แสกนเว็บไซต์เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งในด้านโครงสร้างและองค์ประกอบ ซึ่งช่วยตรวจสอบหาข้อผิดพลาดที่พบเจอในเว็บไซต์ได้อย่างรอบด้าน ข้อดีของ Screaming Frog ก็คือความง่ายในการใช้งาน สามารถปรับแต่งได้แบบตามใจต้องการ และมีฟีเจอร์ที่สำคัญเอาไว้ให้ใช้
เราใช้ Screaming Frog ทำอะไรได้บ้าง?
Screaming Frog มีความสามารถโดดเด่นในเรื่องของ SEO Audit ซึ่งเครื่องมือนี้ทำหน้าที่เป็น Internet Bot เพื่อเก็บข้อมูลตามเว็บเพจต่างๆ ซึ่งทำให้เราตรวจสอบได้ว่ามีลิ้งก์ไหนเสียหาย ค้นหาคอนเทนต์ที่ซ้ำ รายงาน Title Tags ที่หายไป เป็นต้น
Screaming Frog ราคาเท่าไหร่ ?
Screaming frog มีแบบเวอร์ชั่นฟรี และเสียเงิน ซึ่งราคาจะอยู่ที่
- 1-4 licences – $209 ต่อ 1 licence ต่อปี
- 5-9 licences – $195 ต่อ 1 licence ต่อปี
- 10-19 licences – $179 ต่อ 1 licence ต่อปี
- 20+ licences – $165 ต่อ 1 licence ต่อปี
SEOquake
มาดูกันว่า SEOquake คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่เราเลือกใช้
![seoquake คืออะไร](https://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/03/MNM-3-5-09-2048x1072-1.webp)
SEOquake คืออะไร?
SEOquake คือ โปรแกรมเสริมที่เราสามารถติดตั้งบนบราวเซอร์ได้ ไม่ว่าจะเป็น Chrome, Opera, Firefox หรือบราวเซอร์อื่นๆ SEOquake ถือเป็น SEO Tool ที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี เพราะสามารถใช้งานได้ง่าย ที่สำคัญคือฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
ฟีเจอร์ของ SEOquake
SEOquake มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่สามารถเข้าถึงได้ และใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น
- SEO Audit
- วิเคราะห์ลิงก์ทั้งภายในและภายนอก
- รายงานความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด
- เปรียบเทียบโดเมนและ URL
- ส่งออกข้อมูลเป็นไฟล์
Ubersuggest
แชร์เรื่องน่ารู้ Ubersuggest คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทาง Minimice เลือกใช้
![ubersuggest คืออะไร](https://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/03/MNM-3-5-10-1-2048x1072-1.webp)
Ubersuggest ทำอะไรได้บ้าง?
แน่นอนว่า Ubersuggest เป็นซอฟแวร์ที่โดดเด่นในด้านคีย์เวิร์ด หน้าที่เครื่องมือนี้สามารถทำได้ก็คือการหาไอเดียคีย์เวิร์ด ซึ่งมันจะแนะนำ long tail keyword และคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องให้เราด้วย ซึ่งจะบอกรายละเอียดลงไปอีกว่า Serch Volume ค่า PPC CPC เป็นต้น และนอกจากนี้ Ubersuggest ยังให้ไอเดียคอนเทนต์ SERP Overview และอื่นๆ อีกมากมาย
Ubersuggest ราคาเท่าไหร่?
Ubersuggest แบ่งออกเป็น 3 แพลนให้เลือกด้วยกัน คือ
- Individual – $12 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $29.90 ต่อเดือน
- Business – $20 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $44.90 ต่อเดือน
- Enterprise/Agency – $40 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $89.90 ต่อเดือน
KWFinder
มาทำความรู้จักกับเครื่องมืออันสุดท้ายว่า KWFinder คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทางเราแนะนำ
![kwfinder คืออะไร](https://minimicegroup.co.th/wp-content/uploads/2023/03/MNM-3-5-11-1-2048x1072-1.webp)
KWFinder คืออะไร?
KWFinder เป็นเครื่องมือที่ช่วยเราค้นหาและเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมได้แบบง่ายดาย ทั้งยังให้ความแม่นยำสูงอีกด้วย ถึงแม้ KWFinder จะมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่คล้ายกับโปรแกรมอื่นๆ แต่เรื่องรายละเอียดแบบเจาะลึกถือว่า KWFinder ทำได้เป็นอย่างดี
KWFinder ช่วยอะไรเราได้บ้าง?
KWFinder ช่วยให้เราสามารถค้นหาคีย์ที่ใช่ตรงใจลูกค้า สามารถเลือกแบบกำหนดประเทศได้อีกด้วยว่าคำนี้ หรือวลีมีการค้นหาเท่าไร Keyword Difficulty เท่าไร แข่งขันได้หรือไม่ วิเคราะห์ PPC CPC รวมถึงเราสามารถวิเคราะห์ด้วยว่าคู่แข่งมีการใช้คีย์เวิร์ดอะไรบ้างได้อย่างง่ายดาย
KWFinder ราคาเท่าไหร่?
- Basic – $49 ต่อเดือน
- Premium – $69 ต่อเดือน
- Agency – $129 ต่อเดือน
สรุป
SEO Tools เป็นเพียงเครื่องมือในการช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้น ไวขึ้น แต่ไม่ได้การันตีว่าเว็บไซต์ของเราจะติดหน้าแรกโดยทันทีเพียงแค่มีตัวช่วยที่มากกว่าคนอื่น เพราะการทำ SEO คือการทำอย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงและวัดผลตลอด แต่การที่เราได้รู้รายละเอียดของเครื่องมือต่างๆ ว่าเครื่องมือไหนจะเหมาะสมสำหรับการทำกลยุทธ์ SEO ของเราย่อมทำแต้มต่อได้ดีกว่า และหากเป็นไปได้ การที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลเว็บไซต์ แก้ปัญหา และปรับปรุงให้ตรงจุดจะดียิ่งกว่า!
หากคุณกำลังมองหา SEO Agency เพื่อมาร่วมนำทีม ช่วยปรับเว็บไซต์ของคุณให้ตรงกับเป้าหมาย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่แท้จริงได้มากกว่า Minimice Group ของเราก็พร้อมให้คำปรึกษา และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมงานกับธุรกิจของคุณ !
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
SEO Tools ตัวไหนดีที่สุดสำหรับการทำ SEO?
SEO tools แต่ละตัวมีจุดเด่นและรูปแบบการใช้งานแตกต่างกัน จึงไม่สามารถบออกได้ว่า tools ตัวไหนดีที่สุด แต่ส่วนใหญ่เครื่องมือที่คนทำ SEO และนักการตลาดใช้ ได้แก่
- SEMrush
- Ahrefs
- Moz Pro
- Google Search Console
- Ubersuggest
- SpyFu และอื่น ๆ
เราจะหาคีย์เวิร์ดที่ดีในการทำ SEO ได้จาก SEO Tools ตัวไหน?
ทุก ๆ SEO tools จะมีฟังค์ชันในการหาคีย์เวิร์ด เพื่อรองรับในการหาคำหรือหัวข้อยอดนิยมเพื่อนำมาทำคอนเทนต์เพื่อสร้างการรับรู้และคนเข้าเว็บไซต์ โดย SEO tools ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้ในการหาคีย์เวิร์ด คือ
- Ubersuggest
- SpyFu
- Google Keyword Planner
- Serpstat
- SEMrush
- Ahrefs
- KWfinder
SEO Tools แบ่งออกเป็นกี่ประเภท?
ประเภทของ SEO Tools แบ่งออกเป็น 8 ประเภท ได้แก่
- Keyword tool
- Ranking tool
- Website audit
- Content SEO tool
- Technical SEO tool
- Copy audit
- AMP testing
- Outreach SEO