ความเข้าใจในรูปแบบ วิธีการ และปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ในการทำ SEO ที่มีผลต่อการจัดอันดับของ Google เป็นสิ่งสำคัญที่คนทำ SEO จำเป็นจะต้องรู้ แต่สิ่งที่จะมาช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นก็คือการนำ SEO Tools มาประยุกต์ใช้ เพราะบางอย่างเราสามารถทำการปรับแต่งเองได้ แต่บางอย่างก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเพื่อให้ SEO ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเครื่องมือในการทำ SEO ว่าคืออะไร มีอยู่ด้วยกันกี่ประเภท และเหมาะกับการใช้งานส่วนไหน เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับแผน และกลยุทธ์ของตัวเองได้ เพื่อให้การทำ SEO ออกมาได้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น เราได้รวบรวมเครื่องมือ SEO ที่คนทำเอเจนซี่คัดสรรมาแล้วว่าดีจริงมาแชร์ให้ทุกคนกัน
เครื่องมือในการทำ SEO หรือ SEO Tools คืออะไร?
SEO Tools คือเครื่องมือ หรือโปรแกรมต่าง ๆ ที่ช่วยให้การทำ SEO ของคุณง่ายขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้เราจับจุดได้ว่าเว็บไซต์ของเราทำงานได้ดีหรือไม่ มีจุดไหนที่ต้องปรับปรุง หรือคีย์เวิร์ดที่ใช้ตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายมองหาอยู่หรือเปล่า ถึงแม้ว่าเราอาจจะพอรู้เทคนิคว่าการทำ SEO มีอะไรบ้าง ต้องทำแบบไหนถึงจะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของผู้ชมกับเว็บไซต์ของเราได้ แต่บางอย่างเราก็ไม่สามารถทำเองได้ไปทุกเรื่อง SEO Tools จึงเข้ามีบทบาทในส่วนนี้
ทำไมเราต้องใช้ SEO Tools
มีเว็บไซต์แต่ไม่สามารถเพิ่ม Traffic หรือ Coversion ได้ก็คงจะไม่มีประโยชน์ แม้ว่าเราจะรู้เทคนิคที่ช่วยให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จได้โดยปราศจากเครื่องมือ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเครื่องมือเหล่านี้ทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นจริงๆ และยังประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากกว่าการพยายามจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะเราสามารถค้นพบข้อด้อยบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์ได้ เพื่อที่เราจะสามารถแก้ไขได้แบบตรงจุด และประหยัดเวลา เพื่อให้เห็นภาพและเกิดความเข้าใจมากขึ้น มาดูกันว่าประโยชน์ของ SEO Tools 5 ข้อ จะมีอะไรบ้าง และทำไมเราถึงต้องใช้มัน
1. วิเคราะห์และรับมือกลยุทธ์คู่แข่ง
ไม้เบื่อไม้เมาในการทำธุรกิจไหนๆ ก็คงหนีไม่พ้นคู่แข่ง ถึงแม้เราจะเตรียมตัวมาดี แต่คู่แข่งเขาก็เตรียมตัวมาพร้อมไม่แพ้กัน การจะเป็นอันดับหนึ่งได้จึงต้องรู้จักวิเคราะห์ และรับมือกลยุทธ์ร้อยแปดพันเก้าที่คู่แข่งงัดมาใช้สู้กับเรา เพราะฉะนั้น หากเรารู้ว่าคู่แข่งมีกลยุทธ์การทำ SEO อย่างไร จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์มากน้อยแค่ไหน Backlink (ลิงก์จากเว็บอื่น) มาจากไหนบ้าง ก็จะช่วยให้เราตั้งรับ และวางแผนการตลาดของเราได้ดีขึ้นนั่นเอง
2. ข้อมูลแบบ Real-Time
ข้อมูลแบบเรียลไทม์นั้นสำคัญมากๆ หากเราพลาดในจุดนี้ไป อาจทำให้เราช้ากว่าคู่แข่งไปอีกหลายก้าว ลองคิดดูว่า หากข้อมูลเหล่านี้ไม่มีเครื่องมือที่ช่วยในการแจ้งเตือน และรายงานผลแบบทันท่วงที ก็จะทำให้เสียเวลาเป็นอย่างมาก ถ้าเรามีข้อมูลแบบ Real-Time อยู่ในมือ ที่เราสามารถติดตามและตรวจสอบได้ทุกที่ทุกเวลา ก็จะทำให้เราสามารถรับมือ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาดได้อย่างทันที และมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้คีย์เวิร์ดของเราติดอันดับ พร้อมสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอีกด้วย
3. หา SEO Content Ideas
บางทีคิดไอเดียคอนเทนต์ไม่ออก หรือไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไรกำลังเป็นที่นิยม หากจะคาดการณ์เอาเองโอกาสเกิดความผิดพลาดก็ย่อมมีอย่างแน่นอน เครื่องมือ SEO บางตัวมีฟังก์ชันที่ช่วยบอกเราว่าเรื่องราวอะไรกำลังเป็นที่นิยม และเป็นสิ่งที่ผู้คนกำลังพูดถึงกันแบบเรียลไทม์ รวมถึงเรื่องน่าจะเป็นที่นิยมในอีก 2-3 ชั่วโมงข้างหน้าอีกด้วย ซึ่งตรงนี้แหละจะเป็นตัวช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นว่า เราควรจะสร้างคอนเทนต์แบบไหน เรื่องที่คิดไว้จะเวิร์คหรือไม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราได้ว่าไอเดียของเราเป็นสิ่งที่ตลาดกำลังให้ความสนใจ
4. ประหยัดเงินและเวลา
เชื่อเถอะว่าหากมีตัวช่วยในการทำ SEO จะช่วยประหยัดเงินและเวลาได้มากทีเดียว อย่างในการตรวจสอบคุณภาพ SEO (SEO Audit) มีประโยชน์ในการช่วยตรวจสอบปัญหาของเว็บไซต์ได้ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยต่างๆ เช่น ข้อบกพร่องที่ทำให้เว็บไซต์ของเรายอดเข้าชมน้อย ไม่ติดอันดับ หรือคอนเทนต์ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ซึ่งในการทำ SEO audit แบบปราศจากเครื่องมือจะกินเวลาและทรัพยากรทางการเงินอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้น เครื่องมืออย่าง Google Analytics หรือ Screaming Frog จึงมีความจำเป็นต่อการทำ SEO และจะทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้นอีกเยอะ
5. ช่วยในการติดตามและวัดผลการทำ SEO
หลาย ๆ คนวัดความสำเร็จของ SEO จากการจัดอับดับ แต่มันก็ยังมีการวัดค่าอื่น ๆ ที่ควรนำมาพิจารณาด้วย เช่น ยอดการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ ยอดขาย จำนวนการแชร์ จำนวนคอมเมนต์ จำนวน Backlinks เป็นต้น ซึ่งเครื่องมือในการทำ SEO จะสามารถช่วย ประเมินค่าความก้าวหน้า ติดตามและวัดผลว่าการทำ SEO บนเว็บไซต์ของเรานั้นมีแนวโน้มไปในทางไหน ยอดการเข้าชมเว็บไซต์ส่งผลการซื้อขายจริงด้วยหรือไม่ ทำให้เราสามารถเปรียบเทียบผลที่ได้ในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งเปรียบเทียบกับคู่แข่งเพื่อวางกลยุทธ์การแข่งขันได้
ประเภทของ SEO Tools มีอะไรบ้าง?
SEO Tools คือ เครื่องมือที่ช่วยในการ วิเคราะห์ ติดตาม ชี้จุดบกพร่อง ของการทำการตลาดออนไลน์ผ่านการค้นหา รวมทั้งช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และเหมาะสมที่จะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหา ทำให้ประหยัดทั้งเวลา และเงิน แถมยังได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำกว่า ซึ่งประเภทของ SEO Tools ก็มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท และแต่ละประเภทก็มีจุดประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกัน โดยเราได้จัดประเภทของ SEO Tools ไว้ด้วยกัน 8 ประเภท มาดูกันว่าแต่ละประเภทที่ว่ามีอะไรบ้าง
• Keyword Tool
เรื่องการเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงใจ และใช้งานได้จริงเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่เอาเข้าใจมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น การเลือกคีย์เวิร์ดที่ใช่บางครั้งก็ใช้เวลา แถมยังเป็นกระบวนที่แอบน่าเบื่อ และมีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย ทำอย่างไรถึงจะเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดที่ผู้คนกำลังมองหาอยู่ Keyword Tool จึงเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะวิเคราะห์อย่างเจาะลึกว่าคีย์เวิร์ดที่ดีคืออะไร ทำให้เราสามารถนำมาใช้ในการวางแผนการทำ SEO ที่ส่งเสริมการทำการตลาดออนไลน์ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
• Ranking Tool
Ranking Tools เป็นเครื่องมือที่ช่วยติดตามผลการทำงานของคีย์เวิร์ดที่เราใช้ ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้เรารู้ว่าคีย์เวิร์ดไหนเวิร์ค หรือไม่เวิร์ค ข้อดีก็คือ เราสามารถมุ่งจุดโฟกัสไปที่คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ได้ผลตอบรับดี และส่งผลที่ดีต่อการจัดอันดับ
• Website Audit
Website Audit เป็นตัวช่วยชั้นดีที่จะคอยหาจุดผิดพลาดในการทำ SEO ที่เราอาจไม่ทันได้สังเกต หรือไม่รู้ถึงข้อผิดพลาดนั้นบนเว็บไซต์ของเรา ไม่ว่าจะเป็น คีย์เวิร์ดหายไป หน้าเพจที่ไม่มีลิ้งก์ ทำให้การเข้าถึงเว็บไซต์ยากขึ้น ไม่มี Title หรือ Meta Description ลิงก์เสีย และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าคิดจะทำด้วยตัวเองล่ะก็ เรียกได้ว่าเสียเวลามากเลยทีเดียว
• Content SEO Tool
เลือกคอนเทนต์ที่ชอบ และคีย์เวิร์ดที่ใช่อาจจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด Content SEO Tool ทำหน้าที่เป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเสริมประสิทธิภาพการจัดอันดับเว็บไซต์ให้ได้ผลอย่างดีที่สุด เครื่องมือนี้จะแนะนำคีย์เวิร์ด และหัวข้อเรื่องที่เข้ากับ Niche ของเว็บไซต์คุณ
• Technical SEO Tool
Technical SEO Tool เป็นเครื่องมือที่ช่วยในด้านโครงร่างทางเทคนิคของตัวเว็บไซต์ ซึ่งเครื่องมือประเภทนี้จะเน้นไปทางด้านโครงสร้างทางเทคนิคมากกว่าตัวเนื้อหา เช่น เรื่องการบีบอัดรูปภาพ การบีบอัด HTML Meta Description (คำอธิบายเนื้อหาเว็บไซต์) หรือลิ้งก์ต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อเป็นตัวช่วยให้เราสามารถพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น
• Copy Audit
หากคอนเทนต์ที่ซื้อมามันซ้ำกับผลงานของคนอื่นๆ หรือผลงานของเราเองนี่แหละที่ถูกบางคนขโมยไปแล้วนำไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ของพวกเขาเอง เราจะรู้ได้อย่างไรหากไม่มีเครื่องมือช่วย? เครื่องมือทำ SEO ประเภท Copy Audit จะช่วยเราได้มาก หากมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้น เพราะปัญหา Plagiarism ส่งผลเสียต่อเว็บไซต์เราอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบกับ Speech Engines หรือ ความน่าเชื่อถือก็ตาม นอกจากนี้ มันยังช่วยตรวจสอบ และวิเคราะห์ ความชัดเจน และความอ่านง่ายของเนื้อหาให้เราอีกด้วย ซึ่งส่วนนี้ส่งผลต่อการจัดอันดับบนกูเกิ้ล
• AMP Testing
AMP (Accelerated Mobile Pages) คือการสร้างหน้าเว็บให้สามารถแสดงผลบนหน้าจอมือถือได้อย่างเร็ว ในปัจจุบันผู้คนหันมานิยมใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อค้นหาสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อค้นหา หรือสอบถามข้อมูลลดลง แต่การที่เราไม่สร้างหน้าเว็บให้เหมาะกับมือถือก็จะทำให้ผู้ใช้เกิดอาการถอดใจ และกดออกหน้าเว็บของเราไปแบบดื้อ ๆ
• Outreach SEO
หากใครกำลังใช้กลยุทธ์ที่ให้เว็บไซต์อื่นลิงก์มายังเว็บไซต์ของเรานั้น ควรจะต้องมีเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในจุดนี้ โดยซอฟต์แวร์จะจัดเก็บข้อมูลลงใน Database โดยจัดความสำคัญจาก Link Exchange เชื่อไหมว่าหากเครื่องมือประเภท Outreach มาช่วยแล้วล่ะก็งานที่ต้องใช้เวลามาก ๆ แถมยังเปลืองทรัพยากรบุคคลแบบนี้ สามารถจัดการได้แบบรวดเร็ว แถมทำคนเดียวยังได้เลย
5 ปัจจัยในการเลือก SEO Tools มาใช้งาน
จะเลือก SEO Tools ทั้งที ก็อาจจะมีคำถามว่าเลือกอย่างไรดี แล้วตัวเลือกไหนจะคุ้ม ตรงใจ และเหมาะกับการใช้งานของเรามากที่สุด? ถ้าไม่อยากเลือก Software แล้วพลาด ลองมาดูปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือก SEO Tools มาใช้กันดีกว่า
1. มีให้ทดลองใช้ฟรี ก่อนเป็นสมาชิก
ก่อนที่จะจ่ายเงินเพื่อเป็นสมาชิกซอฟต์แวร์ที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำ SEO หากโปรแกรมนั้นๆ มีให้ทดลองใช้ฟรีแล้วล่ะก็ เราควรจะทดลองใช้ก่อนเพื่อสำรวจว่าประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องมือนั้น ๆ ใช้งานได้โอเคหรือเปล่า หรือมีส่วนไหนที่ยังไม่ตรงใจ เพราะในเวอร์ชันทดลองใช้ฟรี จะมีรูปแบบการใช้งานให้เลือกใช้เพียงพอต่อการตัดสินใจแล้ว
2. ฟังก์ชันและฟีเจอร์การใช้งานครบถ้วนตามวัตถุประสงค์
เครื่องมือทำในตลาดนั้นก็มีให้เลือกมากมาย ถึงจะมีจุดประสงค์เดียวกันคือการช่วยทำ SEO แต่เครื่องมือเหล่านี้มีจุดโฟกัสที่แตกต่างกันไป แต่เครื่องมือหลัก ๆ ชนิดที่ขาดไม่ได้ที่ควรจะมาไว้ใช้งานก็อย่างเช่น เครื่องมือที่ช่วยในเรื่องหาคีย์เวิร์ด ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องคีย์เวิร์ดถือเป็นหัวใจหลักของการทำ SEO รวมถึงเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์ และเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาด เพื่อที่เราจะได้ไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหว และปรับปรุงให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
3. ความยืดหยุ่นในการใช้งาน
ความยืดหยุ่นในการใช้งานคือความยืดหยุ่นที่มาจากสิ่งที่เรียกว่า Scalability ซึ่งก็คือโมเดลธุรกิจที่รองรับการขยายตัว ในกรณีที่มีธุรกิจเพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นในการใช้งานจะทำให้เกิดการรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นได้ เพราะฉะนั้นต้องมั่นใจว่า SEO Tools ที่เราเลือกสามารถขยายฟังก์ชั่นการใช้งานได้ เช่น การทำงานร่วมกันกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ ได้
4. ความหลากหลายทางภาษาของทีม Support
หากเว็บไซต์ของเราไม่ได้มีกลุ่มเป้าหมายเพียงแค่ประเทศเดียว แต่มีหลากหลายประเทศ และหลากหลายภาษา ดังนั้น อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญเลยก็คือความหลากหลายทางภาษาของทีม Support เครื่องมือที่เลือกใช้ควรสนับสนุนหลากหลายภาษา และควรจะเป็นโปรแกรมที่ครบจบในที่เดียวจะดีกว่าการมีโปรแกรมเพื่อรองรับประเทศต่าง ๆ ที่มีความหลากหลาย
5. ความสามารถในการทำ SEO Report
ความสามารถในการทำ SEO Report เป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะช่วยสรุปผล และรายงานค่าวัดผลสำคัญต่าง ๆ อย่างเช่น อันดับคีย์เวิร์ด การวิเคราะห์ลิงก์ การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง หรือ การทำ Audit เราจึงต้องมั่นใจว่าเครื่องมือที่คิดจะนำมาใช้นั้นมีความสามารถเหล่านี้อย่างครบถ้วน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่เครื่องมือ SEO ควรจะมี
เครื่องมือ SEO Tools ที่ Minimice เลือกใช้
Minimice เป็น SEO Agency ที่ให้ความสำคัญในการทำ SEO ให้มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดย Minimice จะมีการลงทุนด้านเครื่องมือ SEO อย่างเต็มที่ เพื่อให้งานลูกค้าออกมาสมบูรณ์แบบ และผลลัพธ์การจัดอันดับของลูกค้าดีขึ้นได้ ซึ่งทางเราก็จะมาแชร์ SEO Tools ที่ใช้จริงและใช้เป็นประจำให้ทุกคนได้ลองเลือกพิจารณานำไปปรับใช้กันได้
Ahrefs
มาทำความรู้จักกันว่า Ahrefs คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทาง Minimice เลือกใช้
Ahrefs คืออะไร?
Ahrefs คือเครื่องมือ SEO ยอดนิยม ที่รวบรวมฟังก์ชันการใช้งานเอาไว้แบบหลากหลาย ช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์กันแบบเจาะลึกเก็บทุกรายละเอียด ทั้งยังครอบคลุมเกือบทุกการใช้งาน เรียกได้ว่าเป็น All-In-One Tool Set เลยทีเดียว
Ahrefs ใช้ทำอะไร?
ฟีเจอร์โดดเด่นที่ Ahrefs ใส่เข้ามานั้นตอบสนองต่อการใช้งานที่ค่อนข้างครอบคลุมเลยทีเดียว ซึ่งฟีเจอร์ที่ Ahrefs มีหลักๆ เลยก็อย่างเช่น
- Site Audit ตัวช่วยตรวจสุขภาพเว็บไซต์ ค้นหาข้อผิดพลาดทางเทคนิคต่างๆ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เว็บไซต์ของเราไม่ติดอันดับ
- Keyword Explorer ตัวช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดที่ใช่ อัพเดทแบบสดใหม่ตลอดเวลา รองรับกว่า 171 ประเทศ รวมถึงช่วยวิเคราะห์ปัญหาการติดอันดับ และแนวโน้มที่จะช่วยเพิ่มยอดเยี่ยมชมเว็บไซต์
- Site Explorer ตัวช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์ ตรวจสอบ คีย์เวิร์ด และ backlink ได้ทุกเว็บหรือทุก URL ให้เราล้วงลึกและตามทันคู่แข่งได้ตลอดเวลา
- Content Explorer ตัวช่วยค้นพบคอนเทนต์ปังตาม niche ของเว็บไซต์เรา และช่วยหาไอเดียสำหรับทำคอนเทนต์ ได้อีกด้วย
- Rank Tracker ตัวช่วยติดตามและจับตามองการจัดอันดับเว็บไซต์ของเราตามแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อวิเคราะห์ และช่วยบูสประสิทธิภาพการทำงานให้แข่งขันกับเว็บไซต์อื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้น
Ahrefs มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
Ahrefs มีค่าบริการรายเดือนแบ่งตามระดับซึ่งแน่นอนว่าค่าใช้จ่ายก็แตกต่างกันไป ราคาแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ ดังนี้
- Lite – $99
- Standard – $179
- Advanced – $399
- Agency – $999
SEMRUSH
มาดูกันต่อว่า SEMRUSH คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทาง Minimice เลือกใช้
SEMRUSH คืออะไร?
SEMRUSH คือเครื่องมือ SEO ที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยเครื่องมือมากกว่า 55 ประเภท ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพ SEO, Content Marketing, โซเชียลมีเดีย และ PPC และยังถือว่าเป็นเครื่องมือที่บริษัทรายใหญ่ระดับโลกเลือกใช้อีกด้วย
ทำไมต้องใช้ SEMRUSH?
SEMRUSH เป็นเครื่องมือแบบ All-In-One ที่ช่วยอัพเกรดให้ธุรกิจเติบโตได้แบบง่ายๆ ได้รับความไว้วางใจจากธุรกิจใหญ่ชั้นนำ ช่วยตรวจสุขภาพภาพเว็บไซต์ ค้นหาคีย์เวิร์ดกว่าล้านคีย์เวิร์ด ทั้งยังช่วยติดตามตำแหน่ง SERP กันแบบทุกวัน และยังสามารถเข้าถึงข้อมูลของคู่แข่งได้ เพื่อเตรียมพร้อมวางกลยุทธ์อยู่เสมอ
SEMRUSH ราคาเท่าไหร่?
SEMRUSH คิดค่าบริการรายเดือนโดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
- ระดับ Pro – $99.95
- ระดับ Guru – $199.95
- ระดับ Business – $399.95
MOZ
ทำความรู้จัก MOZ คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทาง Minimice เลือกใช้
MOZ คืออะไร มีผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง?
MOZ คือเครื่องมือ SEO ที่ให้บริการด้านการจัดการ SEO ที่ช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเกิดการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งมีแค่ MOZ อย่างเดียวก็ถือว่าครอบคลุมทุกการใช้งานที่นี่ที่เดียว MOZ แบ่งออกได้เป็น 2 ผลิตภัณฑ์ ก็คือ MOZ Local และ MOZ Pro
Moz Local
Moz Local ให้บริการแก่ธุรกิจท้องถิ่น (Local Business) ซึ่งธุรกิจเหล่านี้จะขึ้นหน้าอันดับแตกต่างกว่าธุรกิจทั่วไป ซึ่ง Moz จะทำให้เว็บไซต์ถูกค้นเจอจากลูกค้าใหม่ๆ ได้ง่าย Moz Local ยังแบ่งแพ็คเกจออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ Moz Local สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และ Moz Local สำหรับ องค์กร ราคาค่าบริการแบบรายปีจะอยู่ที่
- Essential – $99
- Professional – $179
- Premium (Enterprise) – $249
Moz Pro
Moz Pro เป็นเครื่องมือ SEO แบบ All-In-One ที่สามารถจัดการ แคมเปญ SEO ได้หลากหลายแง่มุม ซึ่งเหมาะแก่การใช้งานเสริมคู่กับ Google Analytics ราคาค่าบริการของ Moz Pro แบ่งออกได้เป็น 4 แพลนดังนี้
- Standard – $99 ต่อเดือน หรือเหมาจ่ายรายปีจะตกอยู่ที่เดือนละ $69
- Medium – $179 ต่อเดือน หรือเหมาจ่ายรายปีจะตกอยู่ที่เดือนละ $125
- Large – $299 ต่อเดือน หรือเหมาจ่ายรายปีจะตกอยู่ที่เดือนละ $209
- Premium – $599 ต่อเดือน หรือเหมาจ่ายรายปีจะตกอยู่ที่เดือนละ $ 419
เราใช้ MOZ ทำอะไรบ้าง?
MOZ เป็นเครื่องมือ SEO แบบ All-In-One ซึ่งสามารถใช้งานได้ตามความต้องการ แต่หลักๆ เลยคือ การใช้ MOZ เพื่อวิเคราะห์ และสร้างกลยุทธ์ Link Building ให้มีประสิทธิภาพ ค้นคว้าคีย์เวิร์ดที่ผู้คนใช้ค้นหาบน Search Engines เช็คสุขภาพเว็บไซต์ และติดตามผลลัพธ์คีย์เวิร์ดที่นำไปใช้ว่ามีการจัดอันดับเช่นไร
SERPSTAT
แนะนำเครื่องมือยอดนิยมอย่าง SERPSTAT ว่าคืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยมสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทาง Minimice เราเลือกใช้
SERPSTAT คืออะไร?
SERPSTAT คือ ซอฟต์แวร์ที่พัฒนามาจากเครื่องมือสืบค้นคีย์เวิร์ด โดย Oleg Salamaha จนพัฒนามาเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยทำ SEO ได้หลากหลายมากขึ้น และยังเป็นเครื่องมือที่ธุรกิจชั้นนำเลือกใช้
SERPSTAT ทำอะไรได้บ้าง?
SERPSTAT เป็นเครื่องมือ SEO ที่ประกอบไปด้วย 5 โมดูลหลัก ๆ ได้แก่
- Rank Tracking
- Backlink Analysis
- Keyword Research
- Site Audit
- Competitor Research
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การทำ SEO ของเราง่ายยิ่งขึ้น รวดเร็ว ใช้งานง่าย สามารถติดตามผลว่าการตลาดของเราเวิร์คแค่ไหน และทำให้เรารู้เท่าทันคู่แข่งอยู่เสมอ
SERPSTAT ราคาเท่าไหร่และมีแพคเกจอะไรบ้าง ?
SERPSTAT ประกอบไปด้วย 4 แพ็คเกจให้เลือกตามการใช้งาน ซึ่งราคาก็มีดังนี้
- Lite – $69 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $55 ต่อเดือน
- Standard – $149 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $119 ต่อเดือน
- Advanced – $299 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $239 ต่อเดือน
- Enterprise – $499 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $399 ต่อเดือน
Screaming Frog
ไขข้อสงสัง Screaming frog คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทาง MINIMICE เลือกใช้
Screaming Frog คืออะไร มีข้อดีอย่างไร?
Screaming Frog เป็นเครื่องมือ SEO ที่มีฟังก์ชั่นการทำงานที่หลากหลาย มีหน้าที่แสกนเว็บไซต์เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งในด้านโครงสร้างและองค์ประกอบ ซึ่งช่วยตรวจสอบหาข้อผิดพลาดที่พบเจอในเว็บไซต์ได้อย่างรอบด้าน ข้อดีของ Screaming Frog ก็คือความง่ายในการใช้งาน สามารถปรับแต่งได้แบบตามใจต้องการ และมีฟีเจอร์ที่สำคัญเอาไว้ให้ใช้
เราใช้ Screaming Frog ทำอะไรได้บ้าง?
Screaming Frog มีความสามารถโดดเด่นในเรื่องของ SEO Audit ซึ่งเครื่องมือนี้ทำหน้าที่เป็น Internet Bot เพื่อเก็บข้อมูลตามเว็บเพจต่างๆ ซึ่งทำให้เราตรวจสอบได้ว่ามีลิ้งก์ไหนเสียหาย ค้นหาคอนเทนต์ที่ซ้ำ รายงาน Title Tags ที่หายไป เป็นต้น
Screaming Frog ราคาเท่าไหร่ ?
Screaming frog มีแบบเวอร์ชั่นฟรี และเสียเงิน ซึ่งราคาจะอยู่ที่
- 1-4 licences – $209 ต่อ 1 licence ต่อปี
- 5-9 licences – $195 ต่อ 1 licence ต่อปี
- 10-19 licences – $179 ต่อ 1 licence ต่อปี
- 20+ licences – $165 ต่อ 1 licence ต่อปี
SEOquake
มาดูกันว่า SEOquake คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่เราเลือกใช้
SEOquake คืออะไร?
SEOquake คือ โปรแกรมเสริมที่เราสามารถติดตั้งบนบราวเซอร์ได้ ไม่ว่าจะเป็น Chrome, Opera, Firefox หรือบราวเซอร์อื่นๆ SEOquake ถือเป็น SEO Tool ที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี เพราะสามารถใช้งานได้ง่าย ที่สำคัญคือฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
ฟีเจอร์ของ SEOquake
SEOquake มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่สามารถเข้าถึงได้ และใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น
- SEO Audit
- วิเคราะห์ลิงก์ทั้งภายในและภายนอก
- รายงานความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด
- เปรียบเทียบโดเมนและ URL
- ส่งออกข้อมูลเป็นไฟล์
Ubersuggest
แชร์เรื่องน่ารู้ Ubersuggest คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทาง Minimice เลือกใช้
Ubersuggest ทำอะไรได้บ้าง?
แน่นอนว่า Ubersuggest เป็นซอฟแวร์ที่โดดเด่นในด้านคีย์เวิร์ด หน้าที่เครื่องมือนี้สามารถทำได้ก็คือการหาไอเดียคีย์เวิร์ด ซึ่งมันจะแนะนำ long tail keyword และคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องให้เราด้วย ซึ่งจะบอกรายละเอียดลงไปอีกว่า Serch Volume ค่า PPC CPC เป็นต้น และนอกจากนี้ Ubersuggest ยังให้ไอเดียคอนเทนต์ SERP Overview และอื่นๆ อีกมากมาย
Ubersuggest ราคาเท่าไหร่?
Ubersuggest แบ่งออกเป็น 3 แพลนให้เลือกด้วยกัน คือ
- Individual – $12 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $29.90 ต่อเดือน
- Business – $20 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $44.90 ต่อเดือน
- Enterprise/Agency – $40 ต่อเดือน หรือจ่ายเป็นรายปีจะตกอยู่ที่ $89.90 ต่อเดือน
KWFinder
มาทำความรู้จักกับเครื่องมืออันสุดท้ายว่า KWFinder คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยสูง ทำไมจึงเป็นเครื่องมือที่ทางเราแนะนำ
KWFinder คืออะไร?
KWFinder เป็นเครื่องมือที่ช่วยเราค้นหาและเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมได้แบบง่ายดาย ทั้งยังให้ความแม่นยำสูงอีกด้วย ถึงแม้ KWFinder จะมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่คล้ายกับโปรแกรมอื่นๆ แต่เรื่องรายละเอียดแบบเจาะลึกถือว่า KWFinder ทำได้เป็นอย่างดี
KWFinder ช่วยอะไรเราได้บ้าง?
KWFinder ช่วยให้เราสามารถค้นหาคีย์ที่ใช่ตรงใจลูกค้า สามารถเลือกแบบกำหนดประเทศได้อีกด้วยว่าคำนี้ หรือวลีมีการค้นหาเท่าไร Keyword Difficulty เท่าไร แข่งขันได้หรือไม่ วิเคราะห์ PPC CPC รวมถึงเราสามารถวิเคราะห์ด้วยว่าคู่แข่งมีการใช้คีย์เวิร์ดอะไรบ้างได้อย่างง่ายดาย
KWFinder ราคาเท่าไหร่?
- Basic – $49 ต่อเดือน
- Premium – $69 ต่อเดือน
- Agency – $129 ต่อเดือน
สรุป
SEO Tools เป็นเพียงเครื่องมือในการช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้น ไวขึ้น แต่ไม่ได้การันตีว่าเว็บไซต์ของเราจะติดหน้าแรกโดยทันทีเพียงแค่มีตัวช่วยที่มากกว่าคนอื่น เพราะการทำ SEO คือการทำอย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงและวัดผลตลอด แต่การที่เราได้รู้รายละเอียดของเครื่องมือต่างๆ ว่าเครื่องมือไหนจะเหมาะสมสำหรับการทำกลยุทธ์ SEO ของเราย่อมทำแต้มต่อได้ดีกว่า และหากเป็นไปได้ การที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลเว็บไซต์ แก้ปัญหา และปรับปรุงให้ตรงจุดจะดียิ่งกว่า!
หากคุณกำลังมองหา SEO Agency เพื่อมาร่วมนำทีม ช่วยปรับเว็บไซต์ของคุณให้ตรงกับเป้าหมาย และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่แท้จริงได้มากกว่า Minimice Group ของเราก็พร้อมให้คำปรึกษา และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมงานกับธุรกิจของคุณ !
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
SEO Tools ตัวไหนดีที่สุดสำหรับการทำ SEO?
SEO tools แต่ละตัวมีจุดเด่นและรูปแบบการใช้งานแตกต่างกัน จึงไม่สามารถบออกได้ว่า tools ตัวไหนดีที่สุด แต่ส่วนใหญ่เครื่องมือที่คนทำ SEO และนักการตลาดใช้ ได้แก่
- SEMrush
- Ahrefs
- Moz Pro
- Google Search Console
- Ubersuggest
- SpyFu และอื่น ๆ
เราจะหาคีย์เวิร์ดที่ดีในการทำ SEO ได้จาก SEO Tools ตัวไหน?
ทุก ๆ SEO tools จะมีฟังค์ชันในการหาคีย์เวิร์ด เพื่อรองรับในการหาคำหรือหัวข้อยอดนิยมเพื่อนำมาทำคอนเทนต์เพื่อสร้างการรับรู้และคนเข้าเว็บไซต์ โดย SEO tools ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้ในการหาคีย์เวิร์ด คือ
- Ubersuggest
- SpyFu
- Google Keyword Planner
- Serpstat
- SEMrush
- Ahrefs
- KWfinder
SEO Tools แบ่งออกเป็นกี่ประเภท?
ประเภทของ SEO Tools แบ่งออกเป็น 8 ประเภท ได้แก่
- Keyword tool
- Ranking tool
- Website audit
- Content SEO tool
- Technical SEO tool
- Copy audit
- AMP testing
- Outreach SEO