what-is-e-e-a-t

E-E-A-T Factor คืออะไร? สิ่งที่สำคัญที่สุด ในการทำ SEO ยุค AI อัพเดท 2026

Table of Contents

Key Takeaway: สรุปแก่น E-E-A-T ใน 1 นาที

สำหรับท่านที่มีเวลาน้อย นี่คือตารางสรุปหัวใจสำคัญของ E-E-A-T ที่ต้องรู้ก่อนไปลุยเนื้อหาเชิงลึก

ปัจจัย ความหมายรู้ถึงแก่นของปัญหา AI เพื่อตอบโจทย์ AIสิ่งที่ SEO ต้องปรับตัว เพื่อติดใน AI Search
E – Experienceประสบการณ์ตรงของผู้เขียนAI ไม่สามารถรับรู้ได้ถึง ประสบการณ์รีวิวจากการใช้งานจริง, ภาพถ่ายจริง, หลักฐานความน่าเชื่อถือ, เล่า Story ส่วนตัว
E – Expertiseความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆAI Gen ข้อมูลที่ “มั่ว” ขึ้นมาแสดงใบรับรอง, ประวัติผู้เขียน, Profile ที่พูดถึงความเชี่ยวชาญ
A – AuthoritativenessความมีอิทธิพลในวงการAI ไม่มีแหล่งการยืนยันว่า แบรนด์ไหนโดดเด่นกว่ากันได้รับการอ้างอิงจากเว็บอื่น (Backlink), เป็นผู้นำทางความคิด
T – Trustความน่าเชื่อถือ (หัวใจหลัก)AI ไม่รู้ว่าต้องเชื่อถือใคร หรืออะไรเว็บปลอดภัย (HTTPS), ข้อมูลติดต่อชัดเจน, รีวิวโปร่งใส

The Golden Rule of AI Content:

  • AI = Draft, Human = Craft: ใช้ AI ช่วยร่างโครงหรือหาข้อมูลดิบได้ แต่ “ห้าม” ปล่อยงานดิบขึ้นเว็บเด็ดขาด
  • The 80/20 Rule: เนื้อหาทั่วไปให้ AI ช่วย 80% ได้ แต่ถ้าเป็น YMYL (การเงิน/สุขภาพ) มนุษย์ต้องเขียนและคุมเนื้อหาเอง 100% เพื่อความปลอดภัยของ Trust Score

ในปี 2026 ที่ Content AI สามารถผลิตบทความได้เป็นพันชิ้นในไม่กี่นาที Google ยิ่งต้องเข้มงวดกับเกณฑ์คัดกรองเนื้อหามากขึ้น เพื่อแยก “ของจริง” ออกจาก “ของปลอม” และนี่คือจุดที่ Minimice Group ให้ความสำคัญเสมอมาในการวางกลยุทธ์ให้กับลูกค้า เพราะหากรากฐานความน่าเชื่อถือไม่แข็งแรง การทำ SEO ก็เหมือนสร้างตึกบนทราย

บทความนี้จะพาไปเจาะลึก E-E-A-T แบบหมดเปลือก ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นคัมภีร์รอดตายในยุค Digital Marketing 2026

องค์ประกอบของ E-E-A-T Factor ที่เพิ่มคุณภาพให้กับเนื้อหา

วิวัฒนาการจาก E-A-T สู่ E-E-A-T: ทำไมตัว ‘E’ ตัวแรกถึงสำคัญที่สุด ในยุค AI?

เดิมที Google ใช้เกณฑ์ E-A-T (Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) มายาวนาน แต่เมื่อปลายปี 2022 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน Google ได้เพิ่มตัว E (Experience) เข้ามา ซึ่งกลายเป็น “Game Changer” อย่างแท้จริงในยุค AI ครองเมือง

เหตุผลที่ Google ให้ค่ากับ Experience (ประสบการณ์) มากขึ้น เพราะ AI อย่าง ChatGPT หรือ Gemini สามารถรวบรวมข้อมูล (Expertise) ได้เก่งกว่ามนุษย์ แต่สิ่งเดียวที่ AI ทำไม่ได้คือ “การไปสัมผัสเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง” เช่น AI บอกสูตรผัดกะเพราได้ แต่บอกไม่ได้ว่ากลิ่นฉุนตอนผัดพริกแห้งมันแสบจมูกแค่ไหน หรือรสชาติของร้านป้าข้างบ้านต่างจากร้านหรูอย่างไร

สรุปใจความเรื่องวิวัฒนาการ

  • หากเนื้อหาของคุณดูเหมือนคัดลอกตำรามา (Textbook Style) จะเสี่ยงต่อการถูกลดอันดับ
  • E ตัวแรก (Experience) คืออาวุธลับในการชนะ AI Content
  • Google ต้องการเนื้อหาที่มี “ความเป็นมนุษย์” (Human Touch)

Experience (ประสบการณ์): ผลงานจากประสบการณ์ของเรา

ในปี 2026 Algorithm ของ Google ฉลาดพอที่จะแยกแยะระหว่าง “ข้อมูลมือสอง” กับ “ประสบการณ์ตรง” การเขียนคอนเทนต์ต้องเปลี่ยนจากการ “บอกข้อมูล” เป็นการ “เล่าประสบการณ์”

ตัวอย่างเช่น หากทำเว็บท่องเที่ยว แทนที่จะเขียนแค่ “วัดพระแก้วเปิดกี่โมง” (ซึ่ง AI ตอบได้ในเสี้ยววินาที)

ต้องเขียนเสริมว่า

“แนะนำให้ไปช่วง 8.30 น. เพราะทัวร์จีนยังไม่ลง ถ่ายรูปมุมมหาชนได้สวยที่สุด และอย่าลืมพกร่มเพราะแดดช่วงสายร้อนมาก” นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Experience

การใส่รูปภาพ Original ที่ถ่ายเอง วิดีโอสั้นๆ ที่อัดเอง หรือแม้แต่หลักฐานการใช้งานจริง (เช่น ใบเสร็จ, ตั๋วเครื่องบิน) จะช่วยดันคะแนนส่วนนี้ได้มหาศาล

Tips เพิ่มคะแนน Experience

  • ใส่รายละเอียดเชิงลึกที่หาไม่ได้ใน Datasheet ทั่วไป (Sensory Details)
  • ใช้คำสรรพนามที่แสดงตัวตน เช่น “จากที่ได้ลอง…”, “ความรู้สึกแรกคือ…”
  • แทรกรูปภาพ Original ที่ถ่ายเอง (ห้ามใช้ Stock Photo ในส่วนรีวิวสำคัญ)

***ตัวอย่างของ Experience ในมุม Agency อย่างเราคือ Case Study ที่ได้ช่วยลูกค้าให้เติบโตได้จริงๆ

experience-case-study

Expertise (ความเชี่ยวชาญ): เรามีความรู้จริง และผ่านเรื่องนี้มาจริงๆ

ความเชี่ยวชาญแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Formal Expertise (เชี่ยวชาญตามใบประกาศ เช่น หมอ ทนาย) และ Everyday Expertise (เชี่ยวชาญจากชีวิตจริง เช่น แม่บ้านรีวิวเครื่องดูดฝุ่น)

ในปี 2026 Google เคร่งครัดมากกับกลุ่ม YMYL (Your Money or Your Life) หากเว็บไซต์เกี่ยวกับสุขภาพ การเงิน หรือกฎหมาย ผู้เขียน จำเป็นต้อง เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีตัวตนจริง ตรวจสอบได้ การใช้ “Admin” เป็นชื่อผู้เขียนถือเป็นการฆ่าตัวตายทาง SEO ในยุคนี้

สรุปใจความเรื่อง Expertise

  • หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ให้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบเนื้อหา (Reviewed by…)
  • ระบุชื่อผู้เขียน (Author Name) ให้ชัดเจนในทุกบทความ
  • สร้างหน้า Author Bio แยก เพื่อรวมประวัติ ผลงาน และช่องทางติดต่อ

***ตัวอย่างของ Expertise ที่ดีนั้น คือการมี Author Section ที่ลิงค์ไปหา LinkedIn หรือ Social Media ว่าเราคือผู้เชี่ยวชาญจริง

Authoritativeness (ความมีอิทธิพล): ให้คนอื่นพูดถึงเรา ดีกว่าเราพูดเอง

ตัว A นี้คือเรื่องของ Reputation หรือชื่อเสียง หากคุณบอกว่าตัวเองเก่ง แต่ไม่มีใครในวงการพูดถึงคุณเลย Google ก็ยากที่จะเชื่อ ความมีอิทธิพลวัดจาก:

  1. Backlinks: ลิงก์จากเว็บข่าว เว็บมหาวิทยาลัย หรือเว็บหน่วยงานรัฐ
  2. Mentions: การถูกพูดถึงใน Social Media, Forum หรือบทความอื่นๆ แม้ไม่มีลิงก์กลับมา
  3. Awards/Recognitions: รางวัลที่ได้รับ หรือการได้รับเชิญไปบรรยาย

ลองจินตนาการว่า Minimice Group ได้รับการอ้างอิงจากเว็บไซต์การตลาดชั้นนำว่าเป็น “Top Digital Agency” สิ่งนี้คือน้ำหนักที่ทำให้ Google มั่นใจที่จะส่งบทความของเราขึ้นอันดับ 1

Tips สร้าง Authoritativeness

  • สร้างงานวิจัย หรือ Case Study ของตัวเองเพื่อให้คนอื่นนำข้อมูลไปอ้างอิง
  • ทำ PR ข่าวสารองค์กรส่งไปยังสำนักข่าวออนไลน์
  • ทำ Guest Post ในเว็บไซต์ที่มีคุณภาพในอุตสาหกรรมเดียวกัน

***ตัวอย่างของ Authoritativeness คือการที่เว็บอื่นๆพูดถึงเราในมุมที่ดี การได้รับรางวัลเป็นหนึ่งใน Authoritativeness หรือการมีเว็บไซต์อื่น Reference เนื้อหาเราไปเป็นสิ่งที่ดีมากๆ

Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ): การมีตัวตน และรีวิวจริง

ตามคู่มือ Google Search Quality Rater Guidelines ล่าสุด ระบุชัดเจนว่า Trustworthiness คือศูนย์กลาง หากเว็บไม่น่าเชื่อถือ อีก 3 ข้อที่เหลือก็ไร้ความหมาย

ความน่าเชื่อถือในปี 2026 ไม่ได้ดูแค่มี HTTPS หรือไม่ แต่ดูถึงความโปร่งใสของธุรกิจ (Business Transparency) ว่ามีตัวตนจริงไหม ติดต่อได้จริงหรือเปล่า หรือมีนโยบายการคืนเงิน/การรับประกันที่ชัดเจนหรือไม่ โดยเฉพาะเว็บ E-commerce

สรุปใจความเรื่อง Trustworthiness

  • ระบบชำระเงินต้องปลอดภัย และไม่มีโฆษณาที่รบกวนการใช้งาน (Intrusive Ads) มากเกินไป
  • ต้องมีหน้า “เกี่ยวกับเรา” (About Us) ที่ระบุที่ตั้งบริษัทชัดเจน
  • มีหน้า T&C (ข้อตกลงการใช้งาน) และ Privacy Policy ที่ถูกต้อง
ทำไมการทำเว็บไซต์ตามหลัก E-E-A-T Factor จึงสำคัญกับ SEO

ทำไมการทำเว็บไซต์ตามหลัก E-E-A-T Factor จึงสำคัญกับ SEO ในปี 2026?

ถ้าถามผมเมื่อ 5 ปีก่อนว่า “E-E-A-T สำคัญไหม?” ผมคงตอบว่า “สำคัญ ถ้าอยากติดอันดับดีๆ” แต่ถ้าถามผมในวันนี้ ปี 2026 ผมขอตอบใหม่ว่า “ถ้าไม่มี E-E-A-T ธุรกิจบน Google ของคุณอาจสูญพันธุ์ได้เลย”

ทำไมผมถึงพูดแรงขนาดนั้น? ลองจินตนาการดูครับว่าในโลกอินเทอร์เน็ตตอนนี้ มีคอนเทนต์ที่ถูกผลิตโดย AI เกิดขึ้นวินาทีละหลายหมื่นบทความ ข้อมูลล้นโลก (Information Overload) จนแยกไม่ออกว่าอันไหนจริง อันไหนมั่ว นี่คือเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ E-E-A-T กลายเป็น “ตัวกรองสุดท้าย” ที่ Google เหลืออยู่

และนี่คือ 4 เหตุผลลึกๆ ที่คนทำธุรกิจต้องรู้ครับ:

1. เกราะป้องกัน “AI Spam” และ “Core Updates”

Google ปล่อย Core Update ถี่มากเพื่อกวาดล้างคอนเทนต์คุณภาพต่ำ (Spammy AI Content) เว็บไซต์ที่ไม่มี E-E-A-T เปรียบเสมือนเรือที่ไม่มีสมอ เวลาพายุ (Update) มาทีไร ก็จะปลิวหายไปจากหน้าแรกทันที ในทางกลับกัน เว็บที่มี Trust สูง แม้จะโดนผลกระทบบ้าง แต่จะดีดกลับมา (Bounce Back) ได้ไวมาก หรือแทบไม่สะเทือนเลย เพราะ Google มองว่าคุณคือ “ของจริง”

2. บัตรผ่านสู่ SGE (Search Generative Experience)

ในปี 2026 คนเริ่มค้นหาด้วย AI Overview มากขึ้น (กล่องคำตอบ AI ด้านบนสุด) AI ของ Google ฉลาดพอที่จะ “ไม่กล้า” หยิบข้อมูลจากเว็บโนเนมมาตอบคำถาม โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพหรือการเงิน (YMYL) เพราะกลัวให้ข้อมูลผิด AI จะเลือกหยิบข้อมูลจากเว็บที่มี Authority และ Trustworthiness สูงเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย (Safety First) ดังนั้น E-E-A-T จึงเป็นกุญแจดอกเดียวที่จะพาคุณไปอยู่ในคำตอบของ AI ครับ

3. เปลี่ยน Traffic ให้เป็น “ลูกค้า” (Conversion Rate)

อันดับ SEO ดี แต่ขายของไม่ได้… มีถมไปครับ! เพราะลูกค้าสมัยนี้ฉลาดมาก เข้ามาอ่านบทความแล้ว ถ้าเขาเห็นว่า “ใครเขียนก็ไม่รู้ ไม่มีตัวตน” เขาก็ปิดหนีครับ แต่ถ้าเขาเห็น Experience เห็นหน้าหมอ เห็นหน้าผู้เชี่ยวชาญ ความมั่นใจจะเกิดขึ้นทันที E-E-A-T ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องอันดับ แต่มันช่วย “ปิดการขาย” ให้คุณโดยไม่รู้ตัว

4. สร้าง “Brand Moat” (คูเมืองป้องกันคู่แข่ง)

คู่แข่งอาจจะจ้างคนมาเขียนบทความแข่งกับคุณได้ อาจจะยิง Ads แข่งกับคุณได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาขโมยไปไม่ได้คือ “Experience & Expertise” ของคุณ การทำ E-E-A-T ที่เข้มข้น คือการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งจนคู่แข่งหน้าใหม่ (หรือ AI) เลียนแบบไม่ได้ ยิ่งคุณสะสม Trust ไว้นานเท่าไหร่ คูเมืองของคุณก็ยิ่งกว้างและลึกเท่านั้น

E-E-A-T Factor กับการเสริมสร้างกลยุทธ์ SEO ที่มีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์ปั้นคอนเทนต์ให้ “ตะโกน” บอก Google ว่าคุณมี E-E-A-T ที่ดี

หลายคนตกม้าตายตรงนี้ครับ คือมีความเชี่ยวชาญจริง แต่เขียนคอนเทนต์ออกมาแล้วดูเหมือนบทความทั่วไปที่ใครๆ ก็เขียนได้ (หรือ AI เขียนให้) การจะทำให้ Algorithm ของ Google รับรู้ถึง E-E-A-T ในบทความ เราต้องใส่ “รหัสลับ” บางอย่างลงไปในเนื้อหา และนี่คือ 5 กลยุทธ์ที่ Minimice Group ใช้เทรนด์ทีมงานในปีนี้

1. เปลี่ยน “Stock Photo” เป็น “Real Evidence” (หลักฐานเชิงประจักษ์)

ในปี 2026 รูปภาพ Stock สวยๆ หรือรูปที่ Gen จาก AI อาจจะดูดี แต่มัน “ไม่มีน้ำหนัก” ในสายตา Google อีกต่อไป เพราะมันขาด Experience

สิ่งที่คุณต้องทำคือการใส่ Original Media ที่ถ่ายเอง แม้ภาพจะไม่สวยเท่าช่างภาพมืออาชีพ แต่ Google จะมองเห็น Exif Data (ข้อมูลไฟล์ภาพ) ว่าเป็นภาพจริง ถ่ายที่ไหน เมื่อไหร่ สิ่งนี้ยืนยันว่า “คุณไปที่นั่นมาจริง” หรือ “คุณจับสินค้านั้นอยู่จริง”

  • ถ้าทำเว็บรีวิว: ต้องมีรูปตอนแกะกล่อง, รอยเปื้อนจากการใช้งาน, หรือภาพหน้าจอ (Screenshot) ปัญหาที่เจอ
  • ถ้าทำเว็บ service: ต้องมีรูปทีมงานขณะปฏิบัติหน้าที่จริง ไม่ใช่รูปฝรั่งจับมือกัน

2. ใช้เทคนิค “SME Interview Injection” (ดึงของจากผู้เชี่ยวชาญ)

ถ้าคนเขียนบทความ ไม่ใช่หมอ ไม่ใช่วิศวกร จะทำยังไง?

วิธีแก้คือใช้เทคนิค Interview Injection ครับ คือให้ Writer สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในบริษัท (SME – Subject Matter Expert) แล้วยกคำพูดมาใส่ในบทความ (Quote)

เช่น แทนที่จะเขียนว่า “ควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง”

ให้เขียนว่า “ทพญ. สมศรี (ทันตแพทย์ประจำคลินิก A) แนะนำว่า เทคนิคการแปรงฟันที่คนไข้มักเข้าใจผิดคือ… และย้ำว่าควร…”

การมีชื่อ ตำแหน่ง และคำพูดของผู้เชี่ยวชาญแทรกอยู่ คือสัญญาณ Expertise ที่ทรงพลังมาก

3. สร้าง “Information Gain” (ข้อมูลใหม่ที่ไม่ซ้ำใคร)

Google มีสิทธิบัตรตัวหนึ่งที่พูดถึง Information Gain Score คือการให้คะแนนเนื้อหาที่มี “ข้อมูลใหม่” มากกว่าคู่แข่ง

ถ้าคุณเขียนเหมือน Top 5 เป๊ะๆ แค่เปลี่ยนคำ Google จะมองว่าเนื้อหาคุณซ้ำซ้อน

วิธีเพิ่ม Information Gain:

  • ผลสำรวจเอง: ทำ Poll ง่ายๆ ในเพจ แล้วเอาตัวเลขมาวิเคราะห์ในบทความ
  • ตารางเปรียบเทียบ: ที่คุณสรุปขึ้นมาเองจากข้อมูลดิบ
  • ความเห็นส่วนตัว: กล้าที่จะ “ฟันธง” หรือ “ไม่เห็นด้วย” กับกระแสหลัก (โดยมีเหตุผลรองรับ)

ตารางเปรียบเทียบ: บทความทั่วไป vs บทความ E-E-A-T สูง

องค์ประกอบGeneral Content (ทั่วไป/AI เขียน)High E-E-A-T Content (Google รัก)
มุมมองการเล่าบุรุษที่ 3 (เขาว่ากันว่า, ข้อมูลระบุว่า)บุรุษที่ 1 (จากที่ผมลอง, ทีมงานเราพบว่า)
ภาพประกอบStock Photo, AI Imageภาพถ่ายจริง, Screenshot, วิดีโอถ่ายเอง
แหล่งอ้างอิงไม่มี หรืออ้างเว็บทั่วไปอ้างงานวิจัย, หน่วยงานรัฐ, Link ไป Original Source
ความลึกผิวเผิน กว้างๆเจาะลึกเฉพาะจุด, บอกข้อดี-ข้อเสียชัดเจน
ผู้เขียนAdmin, Staffระบุชื่อจริง, มีลิงก์ไปหน้า Bio

4. เชื่อมโยง Topic Clusters (โครงสร้างใยแมงมุม)

Authority ไม่ได้เกิดจากบทความเดียว แต่เกิดจาก “กลุ่มเนื้อหา”

สมมติคุณขาย “รองเท้าวิ่ง” อย่าเขียนแค่บทความขายของ แต่ต้องทำบทความรอบด้าน เช่น “วิธีวอร์มอัพ”, “ตารางซ้อมมาราธอน”, “อาการบาดเจ็บจากการวิ่ง” แล้วทำ Internal Link เชื่อมโยงกัน

สิ่งนี้บอก Google ว่า “เว็บนี้ไม่ได้แค่อยากขายของ แต่มีความรู้เรื่องการวิ่งแบบแตกฉาน” นี่คือการสร้าง Topical Authority ที่แข็งแกร่งที่สุด

5. Outbound Links to Authority Sources (การอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ)

หลายคนกลัวการส่ง Link ออกไปเว็บอื่น เพราะกลัวเสีย Traffic แต่จริงๆ แล้วการ Link ไปหาเว็บที่มี Trust สูง (เช่น .edu, .gov, เว็บข่าวใหญ่, งานวิจัย) เป็นการบอก Google ว่า “บทความนี้มีการค้นคว้ามาอย่างดี (Well-researched)”

เทคนิคคือ เมื่ออ้างสถิติ หรือกฎหมาย ให้ทำ Hyperlink คำนั้นไปยังต้นทางทันที มันช่วยเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือให้บทความคุณแบบทันตาเห็น

สรุปใจความและ Tips:

  • Tip: ลองอัดคลิปวิดีโอสั้นๆ (Short-form video) ของผู้เชี่ยวชาญพูดสรุปเนื้อหา แล้ว Embed ลงไปในบทความ จะได้คะแนนทั้ง Experience และช่วยให้คนอยู่บนหน้าเว็บนานขึ้น (Time on Page) ซึ่งดีต่อ SEO สองต่อ
  • Be Human: ใส่ความเป็นมนุษย์ลงไป เรื่องเล่า ความผิดพลาด ความรู้สึก
  • Prove it: อย่าแค่พูดลอยๆ หาหลักฐาน (รูป, วิดีโอ, กราฟ) มายันเสมอ

6. สร้าง “Digital ID Card” ให้ผู้เขียนด้วย Schema Markup และ Author Page

เขียนดีแค่ไหน แต่ถ้า Google ไม่รู้ว่า “ใครเขียน” และคนนั้น “มีตัวตนจริงในโลกออนไลน์ไหม” คะแนน Trust ก็มาไม่เต็มครับ

ในสายตาคนอ่าน เรามี “หน้าประวัติผู้เขียน” (Author Bio) ให้อ่าน แต่ในสายตา Robot เราต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า Schema Markup (Structured Data) เพื่อยื่นบัตรประชาชนดิจิทัลให้ Google ตรวจครับ

สิ่งที่ต้องทำทันที (Action Plan):

  1. สร้างหน้า Author Profile แยกรายบุคคล:
    • อย่ารวมทุกคนไว้ในหน้า About Us หน้าเดียว ให้สร้าง URL แยก เช่น domain.com/author/dr-somchai
    • ในหน้านั้นต้องมี: ประวัติการทำงาน, ใบรับรอง (Certificates), รางวัลที่ได้รับ และลิงก์ไปบทความทั้งหมดที่เขาเขียน
  2. ติดตั้ง “Person Schema” (สำคัญมาก):
    • ใช้ Code JSON-LD ฝังหลังบ้านเพื่อบอก Google ว่า URL นี้คือ “บุคคล” (Person)
    • The Magic Property (sameAs): นี่คือทีเด็ดครับ ใน Code Schema ต้องระบุ property ที่ชื่อว่า sameAs แล้วใส่ลิงก์ Social Media หรือเว็บภายนอกของคนๆ นั้นลงไป เช่น LinkedIn, Facebook, หน้าประวัติในเว็บไซต์โรงพยาบาล หรือหน้า Wikipedia
    • ทำไมต้องทำ? เพราะ Google จะใช้ลิงก์เหล่านี้ไป Cross-check ว่า “อ๋อ หมอสมชายคนนี้ คือคนเดียวกับที่มีโปรไฟล์ใน LinkedIn และเคยได้รางวัลนี้จริงๆ” นี่คือการสร้าง Knowledge Graph ที่แข็งแกร่งที่สุด

สรุปใจความและ Tips:

  • Google อ่าน Code ก่อนอ่าน Text: การทำ Schema คือทางลัดที่ทำให้ Google เข้าใจ Author Authority ได้เร็วที่สุด
  • อย่าลืม Organization Schema: นอกจากระบุตัวคนเขียน (Person) อย่าลืมระบุตัวตนบริษัท (Organization) เชื่อมโยงกันด้วยนะครับ
  • Tip: สำหรับเว็บ WordPress ใช้ Plugin อย่าง Yoast SEO หรือ Rank Math ช่วยทำส่วนนี้ได้ง่ายๆ แค่เข้าไปกรอกข้อมูล Social Profile ของ User ให้ครบ Plugin จะเจน Code ให้เองอัตโนมัติครับ

E-E-A-T กับ AI Content: เขียนด้วย AI อย่างไรไม่ให้โดนแบน?

คำถามยอดฮิตปี 2026: “ใช้ AI เขียนบทความ ผิดหลัก E-E-A-T ไหม?” คำตอบคือ ไม่ผิด หากเนื้อหานั้นมีประโยชน์ (Helpful Content) แต่ AI มักจะขาด Experience และ Trust

กลยุทธ์ที่ถูกต้องคือ AI + Human Edit (Hybrid Model) ใช้ AI ช่วยวางโครงสร้างหรือรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน แต่ในส่วนของการรีวิว ความคิดเห็น หรือการวิเคราะห์เชิงลึก ต้องเติมแต่งโดยมนุษย์

จำไว้ว่า: Google ไม่ได้แบน AI แต่ Google แบน “เนื้อหาคุณภาพต่ำ” (Spammy low-quality content) ไม่ว่าใครจะเป็นคนเขียนก็ตาม

สรุปใจความและ Tips:

  • Tip: ให้ AI เขียน Draft แรก แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจทาน (Fact-check) และเติม Case Study จริงลงไป
  • อย่า Copy-Paste AI: ผลงานดิบจาก AI มักจะดูเรียบและขาดมิติ (Hallucination)
  • Inject Personality: ใส่น้ำเสียงของแบรนด์และมุมมองส่วนตัวเข้าไปในงานเขียนของ AI

Google วัด E-E-A-T อย่างไร? รู้จักกับ Quality Raters

Google ไม่ได้ใช้แค่ Algorithm อัตโนมัติในการวัด E-E-A-T แต่ใช้คนจริงๆ ที่เรียกว่า Search Quality Raters นับหมื่นคนทั่วโลก เพื่อสุ่มตรวจเว็บไซต์ตามคู่มือที่เรียกว่า Search Quality Evaluator Guidelines

คนเหล่านี้จะเข้าไปดูหน้าเว็บของคุณ เช็คดูว่า:

  1. ใครเป็นเจ้าของเว็บ?
  2. ใครเป็นคนเขียนบทความนี้?
  3. คนเขียนมีชื่อเสียงในเรื่องนี้จริงไหม?
  4. เว็บนี้มีชื่อเสีย (Bad Reputation) ในเว็บอื่นไหม?

ข้อมูลจาก Raters จะถูกส่งกลับไปให้วิศวกร Google เพื่อปรับปรุง Algorithm หลัก (Core Update) ให้ฉลาดขึ้นในการคัดกรองเว็บแบบอัตโนมัติ

สรุปใจความและ Tips:

  • มนุษย์เป็นคนสอน AI: เกณฑ์ E-E-A-T ถูกออกแบบมาเพื่อให้มนุษย์อ่านแล้วรู้สึกดี ดังนั้นจงทำเว็บเพื่อคนอ่าน ไม่ใช่เพื่อบอท
  • Transparency is key: ความโปร่งใสของข้อมูลผู้ดูแลเว็บสำคัญมาก
  • Tip: ลองค้นหาชื่อแบรนด์ตัวเองใน Google ดูว่ามีคนพูดถึงในแง่ลบตามเว็บบอร์ด (เช่น Pantip) หรือไม่ ถ้ามีต้องรีบแก้ไข

7 ขั้นตอนอัปเกรด E-E-A-T ให้เว็บไซต์ (Actionable Strategy)

นี่คือสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้เว็บของคุณดูน่าเชื่อถือสุดๆ:

  1. สร้างหน้า Author Bio: ทุกบทความต้องระบุชื่อผู้เขียน พร้อมประวัติสั้นๆ รูปภาพจริง และลิงก์ไปยัง Profile LinkedIn หรือ Social Media
  2. อัปเดตหน้า About Us: เล่า Story ของบริษัท ทีมงาน วิสัยทัศน์ และรางวัลที่เคยได้รับ
  3. จัดการ Reviews: กระตุ้นให้ลูกค้าเขียนรีวิว และตอบกลับทุกรีวิวอย่างสุภาพ (แม้จะเป็นด้านลบ)
  4. Reference ข้อมูล: หากอ้างอิงสถิติ ให้ทำลิงก์กลับไปหาต้นทาง (Outbound Link) ที่น่าเชื่อถือ เช่น (https://www.google.com)
  5. ความปลอดภัย: ติดตั้ง SSL (HTTPS) และระบุนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
  6. โชว์ผลงาน: มีหน้า Portfolio หรือ Case Studies ที่จับต้องได้
  7. Contact ที่ติดต่อได้จริง: เบอร์โทร, ที่อยู่, แผนที่ Google Maps ต้องถูกต้องและตรงกันทุกที่ (NAP Consistency)

สรุปใจความและ Tips:

  • เริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด: หน้า Author Bio ทำได้ทันทีและเห็นผลไว
  • Audit Content เก่า: บทความไหนเก่าเกิน 2 ปี ให้อัปเดตข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน (Freshness)
  • Tip: การใส่ “วันที่อัปเดตล่าสุด” (Last Updated) ไว้บนหัวบทความ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือได้ดีกว่าวันที่โพสต์ครั้งแรก

บทบาทของ Social Proof และ External Signals

E-E-A-T ไม่ได้อยู่แค่ในเว็บคุณ แต่มันคือ “เสียงลือเสียงเล่าอ้าง” จากภายนอกด้วย ถ้าเว็บ Wikipedia, เว็บข่าวชั้นนำ หรือ Influencer ในวงการ พูดถึงแบรนด์ของคุณ Google จะมองว่าคุณมี Authority สูงมาก

การทำ PR (Public Relations) ในยุคดิจิทัล จึงมีผลต่อ SEO โดยตรง การได้รับ Backlink จากเว็บที่มี Authority สูง ย่อมดีกว่าได้จากเว็บเล็กๆ นับร้อย

สรุปใจความและ Tips:

  • Tip: ลองส่งบทความไปลงในเว็บ Partner หรือเว็บข่าว (Guest Post) เพื่อสร้างเครดิตและ Backlink คุณภาพ
  • Off-page SEO สำคัญต่อ E-E-A-T: การสร้างแบรนด์นอกเว็บไซต์ส่งผลกลับมาที่อันดับ
  • Social Media: การมีความเคลื่อนไหวใน Social Media ช่วยยืนยันตัวตนว่าธุรกิจยังมีชีวิตอยู่

ศัพท์น่ารู้สำหรับมือใหม่

  • YMYL (Your Money Your Life): เนื้อหาที่มีผลต่อเงิน สุขภาพ และชีวิต ซึ่ง Google เข้มงวดเป็นพิเศษ
  • Quality Raters Guidelines (QRG): คู่มือเล่มหนาที่ Google ให้คนจริงๆ ใช้ประเมินคุณภาพเว็บ
  • Knowledge Graph: ฐานข้อมูลความรู้ของ Google ที่เชื่อมโยง บุคคล สถานที่ และสิ่งของเข้าด้วยกัน
  • Schema Markup: โค้ดที่ช่วยอธิบายเนื้อหาบนเว็บให้ Bot เข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้น (เช่น บอกว่านี่คือ รีวิว หรือ สูตรอาหาร)
  • Helpful Content Update: อัปเดตของ Google ที่เน้นให้รางวัลกับเนื้อหาที่เขียนเพื่อคนอ่าน ไม่ใช่เพื่อ SEO

สรุป

ในปี 2026 การทำ SEO ไม่ใช่เรื่องของการหลอก Algorithm อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของการพิสูจน์ความจริงใจและความเชี่ยวชาญต่อผู้ใช้งาน E-E-A-T คือกระจกเงาที่สะท้อนคุณภาพของธุรกิจคุณบนโลกออนไลน์ หากคุณโฟกัสที่การส่งมอบคุณค่า และสร้างความไว้ใจอย่างสม่ำเสมอ อันดับบน Google จะเป็นเพียงผลพลอยได้ที่ตามมาเอง

E-E-A-T ไม่ใช่แค่กฎเกณฑ์ที่ทำครั้งเดียวจบ แต่คือ “Mindset” ของการทำธุรกิจออนไลน์ในปี 2026 ที่ต้องยึดถือความจริงใจ โปร่งใส และนำเสนอคุณค่าจากประสบการณ์จริง ยิ่งในวันที่ AI สร้างเนื้อหาได้ง่ายดาย “ความน่าเชื่อถือ” คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดที่คู่แข่ง (และ AI) เลียนแบบไม่ได้

หากคุณสามารถทำให้ Google และผู้อ่าน “เชื่อใจ” เว็บไซต์ของคุณได้ ไม่ว่า Algorithm จะเปลี่ยนไปอีกกี่ครั้ง ธุรกิจของคุณก็จะยังคงยืนหยัดอยู่ในอันดับต้นๆ ได้เสมอ

สนใจบริการ SEO และการสร้าง Content คุณภาพแบบ E-E-A-T ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญตัวจริงได้ที่ Minimice Group

FAQs: คำถามยอดฮิตเรื่อง E-E-A-T

เว็บไซต์เล็กๆ จะสู้เว็บใหญ่เรื่อง Authority ได้อย่างไร?

ทางเทคนิคแล้ว Google บอกว่า E-E-A-T ไม่ใช่ Ranking Factor เดี่ยวๆ (เหมือน Page Speed) แต่เป็น “แนวคิดหลัก” ที่ Algorithm หลายตัวใช้ร่วมกันในการประเมินคุณภาพ สรุปคือ มันกระทบอันดับแน่นอนครับ ทางอ้อมแต่รุนแรง

ถ้าไม่มีชื่อเสียง หรือรางวัลการันตี จะสร้าง Authority อย่างไร?

เริ่มจากการสร้าง High-Quality Content อย่างสม่ำเสมอ และกระจายความรู้ไปตาม Social Media หรือ Community ต่างๆ เพื่อสร้าง Digital Footprint ครับ นานวันเข้า Google จะเริ่มจดจำ Entity ของคุณเอง

ควรลบเนื้อหาเก่าที่ไม่มี E-E-A-T ทิ้งไหม?

ถ้าเนื้อหานั้นไม่มี Traffic และคุณภาพต่ำ แนะนำให้ลบ (Prune) หรือจับมารวมกัน (Consolidate) ครับ แต่ถ้าเนื้อหายังพอมีคนเข้า แนะนำให้ Rewrite ใหม่โดยใส่ E-E-A-T เข้าไปจะดีกว่า

ว็บขายของ (E-commerce) ต้องทำ E-E-A-T ตรงไหน?

เน้นที่ Trustworthiness และ Experience ครับ เช่น มีรีวิวสินค้าจากผู้ซื้อจริง (User Generated Content), นโยบายการคืนของชัดเจน, ระบบชำระเงินปลอดภัย และ Customer Service ที่ติดต่อได้ง่าย

Schema Markup จำเป็นต้องทำไหม?

นปี 2026 ถือว่า จำเป็น ครับ เพราะมันคือภาษาที่คุยกับ Robot โดยตรง ช่วยให้ Google เข้าใจว่าใครเป็นคนเขียน และองค์กรน่าเชื่อถือแค่ไหนได้เร็วขึ้นครับ

Harit Posanakul

Harit Posanakul

Managing Director

I started Minimice group to be the change I wanted to see. I wanted to build an agency with a heart, one that measures success not just in traffic, but in the real-world growth of our clients. For me, SEO isn't just a technical process; it's a tool for empowerment. It's how we level the playing field so that the businesses with the most passion, not just the biggest budgets, can win.I can't wait to hear your story and help you share it with the world.

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง