Table of Contents

Categories

Recent Posts

google ads คืออะไร ความรู้การทำ google ads สำหรับผู้เริ่มต้น

Google Ads อีกหนึ่งพระเอกที่ช่วยผลักดันยอดขาย สร้างกำไรให้ธุรกิจ

Table of Contents

สำหรับใครที่ทำธุรกิจออนไลน์ หรือสนใจอยากริเริ่มทำการตลาดออนไลน์ น้อยคนนักที่จะไม่เคยได้ยินชื่อของ Google Ads ที่จัดได้ว่าเป็นเครื่องมือดันยอดขายในช่องทางออนไลน์ตัวดัง ที่หลายแบรนด์ยักษ์ใหญ่ รวมถึง SME ชื่อดังหลายเจ้าก็ล้วนใช้เครื่องมือนี้ในการผลักดันแบรนด์ด้วยกันทั้งนั้น ใครที่ยังไม่คุ้นเคยกับ Google Ads นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้รู้จักแบบเจาะลึกในทุกมิติ เพราะทุกความสงสัยที่ว่า Google Ads คืออะไร มีกี่รูปแบบ และมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง บทความชิ้นนี้ได้รวบรวมไว้หมดแล้ว

Google Ads คืออะไร มาทำความรู้จักกันก่อน

Google Ads คือเครื่องมือในการโฆษณาผ่าน Search Engine อันดับหนึ่งของโลกอย่าง Google ด้วยวิธีนี้จะทำให้แบรนด์ หรือสินค้าของคุณเข้าถึงผู้คนได้มากถึงหลายล้านคนต่อวัน โดยเป็นกลุ่มคนที่มีความสนใจในบริการ หรือสินค้าของแบรนด์ได้อย่างตรงจุด และนี่เป็นจุดแข็งของ Google เลยก็ว่าได้

  • Google Ads เป็นเครื่องมือในการโปรโมตธุรกิจ ช่วยในการผลักดันยอดขายสินค้า เพิ่มการสร้าง Brand Awareness และช่วยทำให้เว็บไซต์ของแบรนด์มีการเข้าถึงง่ายขึ้น 
  • การใช้เครื่องมือนี้เพิ่มความสะดวกสบาย และคล่องตัวได้มาก เนื่องจากผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงแคมเปญโฆษณาได้ทุกเวลา รวมถึงเปลี่ยนแปลงข้อความ การตั้งค่า และงบประมาณ
  • ผู้ใช้งานสามารถตั้งงบได้โดยไม่มีขัั้นต่ำ จัดการรูปแบบโฆษณาได้เองอย่างอิสระ

ประเภทของ Google Ads มีกี่แบบ เลือกใช้ยังไงให้เหมาะกับธุรกิจ

คาดว่าทุกคนจะเห็นภาพรวม และประโยชน์ที่ได้รับจากเครื่องมือ Google Ads กันไปบ้างแล้ว ความน่าสนใจของเครื่องมือนี้คือ มีการแบ่งออกเป็น 7 ประเภท เพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม ผู้ใช้งานควรทำความเข้าใจระบบการทำงาน และฟังก์ชันหลักของแต่ละประเภทเสียก่อน

search ads คืออะไร ทำความรู้จักประเภทและการแสดงผลของ google search ads

1.Search Ads

Search Ads เป็นรูปแบบการโฆษณาของ Google ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็ว่าได้ วิธีนี้จะเป็นการโฆษณาผ่านการค้นหาของลูกค้า หากลูกค้าค้นหาคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้บริการกำหนดไว้ ตัวเว็บไซต์, Headline และ Description ก็จะปรากฏขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ การเลือกคีย์เวิร์ดให้เหมาะสมกับแบรนด์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้ได้ครอบคลุม และมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

Search Ads แสดงผลที่ไหน เมื่อไหร่ รูปแบบการแสดงผลเป็นอย่างไร?

การแสดงผลของ Search Ads จะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในหน้าผลการค้นหา (SERP) ของ Google แต่เพียงเท่านั้น เพราะ Ads ของแบรนด์จะไปปรากฏในหลากหลายช่องทางตามที่ได้ตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายไว้ หรือในช่องทางที่แบรนด์ให้ความสำคัญเป็นหลัก 

รูปแบบในการปรากฏ Ads จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

  • Google Search Sites: เมื่อลูกค้าทำการค้นหาคีย์เวิร์ดที่แบรนด์เลือกไว้ จะมีการปรากฏหน้าเว็บไซต์ หรือสิ่งที่ได้ตั้งค่าไว้บริเวณด้านบน หรือด้านล่างของหน้าต่างที่ปรากฏขึ้น
  • Google Search Partners: Ads จะไปปรากฏตามเว็บไซต์ที่เป็น Search Partners ของ Google ซึ่งรวมถึงอีกหลายร้อยเว็บไซต์ที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับ Google ด้วย

Search ads ควรใช้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีพฤติกรรมแบบไหน?

รูปแบบของการใช้งาน Search Ads เหมาะกับธุรกิจทุกประเภท แต่ความสำคัญคือการเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม และครอบคลุมทุกความต้องการของแบรนด์ โดยการกำหนดคีย์เวิร์ดไม่ควรมาจากการคาดเดาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ควรใช้เครื่องมือในการกำหนดคีย์เวิร์ด(Keyword Planner) หรือผู้เชี่ยวชาญทางด้าน PPC เพื่อให้การทำ Ads เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Search ads มีวิธีทำงานหรือจัดอันดับอย่างไร

แน่นอนว่าทุกคนจะต้องมีคำถามในใจเกี่ยวกับอันดับในการขึ้นแสดงผลลัพธ์มาจากอะไร ? Google ใช้หลักในการประมูลเป็นตัวตัดสิน ใครที่ประมูลได้ จ่ายมากสุด ก็จะปรากฏเป็นอันดับแรก แต่ถึงอย่างนั้น Google เองก็มีมาตรการในการควบคุมคุณภาพ หรือก็คือค่า Quality Score ของ Landing Page ด้วยเช่นเดียวกัน หากทาง Google พบว่าผู้ประมูลสูงสุดมีการโปรยคำ และใส่ลิงก์ที่ไม่เกี่ยวข้อง เพียงเพราะต้องการดึงคนเข้าเว็บไซต์ ทาง Google จะมีการจัดลำดับใหม่ เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ค้นหา และผู้ใช้บริการ Ads

Google Display Network คืออะไร ทำความรู้จักประเภทและการแสดงผลของ Google Display Network

Google Display Network

รูปแบบถัดมาจะเป็น Google Display Network หรือเรามักเรียกกันสั้นๆ ว่า GDN ซึ่งนี่จะเป็นการโปรโมตแบรนด์ หรือสินค้าในลักษณะของแบนเนอร์ที่เป็นป้ายโปสเตอร์คล้ายกับงานออฟไลน์ โดยไม่ได้จำกัดแค่ช่องทางของ Google เท่านั้น แต่ยังสามารถไปปรากฏตามบนวิดีโอของ Youtube หรือบนเว็บไซต์ต่างๆ ตลอดจนแอปพลิเคชันได้อีกด้วย

ความสามารถของ Display Network Ads สำหรับธุรกิจ

Display Network Ads จะช่วยให้สื่อของผู้ใช้บริการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และถูกที่ถูกเวลา ทำให้แคมเปญ หรือการสร้าง Brand Awareness เป็นไปตามความคาดหวังของแบรนด์ได้แน่นอน ตัวอย่างกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์สามารถเข้าถึงได้

  • การเข้าหาลูกค้าใหม่ โดยที่ยังแสดงผลกับลูกค้าเก่า: เครื่องมือจะประมวลผลโดยใช้เกณฑ์อ้างอิงเดิม เพื่อขยายตลาดในการสื่อสาร ทำให้แบรนด์ได้ลูกค้ารายใหม่ที่มีความสนใจเกี่ยวกับประเด็นที่วางไว้เพิ่มขึ้น โดยที่ Ads ยังคงยิงใส่ฐานลูกค้าเก่าเป็นการ re-engage ให้คนเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณด้วยในเวลาเดียวกัน 
  • ปรับเปลี่ยนเพื่อความคุ้มค่าของผู้ใช้: ความน่าสนใจของเครื่องมือนี้คือ ระบบจะทำการนำทางผู้ใช้เพื่อให้ไปยังเว็บไซต์ต้นทาง โดยที่จะมีการปรับราคาในการใช้บริการตามความเหมาะสม เพื่อไม่ให้ค่าใช้จ่ายของผู้ใช้บริการเกินความจำเป็น และทำให้การยิง Ads เกิดประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือคุ้มค่ามากที่สุด

Display Network Ads มีดีอย่างไรบ้าง

  • เข้าหากลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายช่องทาง: แบนเนอร์ของผู้ใช้บริการสามารถปรากฏได้มากกว่า 35 ล้านเว็บไซต์ และยังมีแอปที่อยู่ภายในแบรนด์ Google ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องของความครอบคลุม และทั่วถึง 
  • สร้างแคมเปญที่ตรงกับเป้าหมายของแบรนด์: ไม่ว่าเป้าหมายของแบรนด์จะเป็นการดันยอด, เพิ่มผู้ใช้งานของเว็บไซต์, สร้าง Brand Awareness หรือจะเป็นการโฆษณาสินค้า รูปแบบการโฆษณานี้ถือว่าตอบโจทย์
  • ออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบาย: รูปแบบการโฆษณานี้มีเทคโนโลยีในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ได้อย่างตรงจุด และสามารถวิเคราะห์เพื่อให้ Ads ทำตามเป้าหมายของแคมเปญได้อย่างเต็มที่

Google Search vs. Display Network

เมื่อเราทำความรู้จักกับ 2 ประเภทแรกของ Google Ads กันพอสมควรแล้ว จะเห็นได้ว่ามีทั้งข้อได้เปรียบ และเสียเปรียบต่างกัน แล้วแบบไหนจะดีกว่ากัน? ในเนื้อหาส่วนนี้คาดว่าจะช่วยได้ รูปแบบในการใช้งาน คือ

Google Display Network จะเหมาะอย่างมากสำหรับการสร้าง Brand Awareness และเลี้ยงกลุ่มเป้าหมายให้เข้าสู่เว็บไซต์ของแบรนด์จาการปรากฎตัวตามแหล่งอื่นๆ 

แต่ด้านการสร้าง Conversion ให้กับสินค้าและแบรนด์ ทางเราแนะนำว่าการยิง Ads แบบ Google Search ยังคงให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เนื่องจากเมื่อมีคน Search เข้ามาตรงกับสินค้าหรือบริการที่ธุรกิจของเราแล้ว ตัว Google Search Ads ก็จะปรากฎตัวอย่างพอดิบพอดี ทำให้เกิด Conversion ได้มากกว่า เพราะกลุ่มเป้าหมายมีความต้องการเบื้องต้นอยู่แล้วนั่นเอง

Youtube Ads คืออะไร ทำความรู้จักประเภทและการแสดงผลของ Youtube Ads

Youtube Ads

Youtube Ads เป็นอีกหนึ่งรูปแบบในการโฆษณาของ Google ที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ซึ่งหลายคนจะรู้กันดีว่า Google เป็นเจ้าของ Youtube ทำให้นี่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่เหล่านักธุรกิจสามารถกระโดดเข้ามาสู่อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่มีความนิยมตลอดกาล และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ด้วยหลากหลายวิธี เนื่องจากผู้ใช้บริการสามารถกำหนดลักษณะการปรากฏของโฆษณาได้ตามต้องการ และหลากหลายรูปแบบ

Youtube ads มีกี่ประเภท แสดงผลที่ไหน เมื่อไหร่ รูปแบบการแสดงผลเป็นอย่างไร

ผู้ใช้บริการสามารถเลือกคลิปโฆษณาของแบรนด์ให้ปรากฏได้หลากหลาย ตามวัตถุประสงค์ของแบรนด์ ในเนื้อหาส่วนนี้ได้ทำการสรุป และรวบรวมประเภทแยกย่อยของการโฆษณารูปแบบ Youtube Ads มาไว้ทั้งหมด 6 รูปแบบด้วยกัน จะมีรูปแบบอะไรบ้าง และมีรายละเอียดอย่างไร ไปติดตามกันต่อได้เลย

  1. TrueView Ads
    รูปแบบสุดคลาสสิกที่หลายคนคุ้นเคยกันดี คลิปโฆษณาที่สามารถเลือกปรากฏได้ทั้งต้น, กลาง หรือท้ายคลิปตามความต้องการของแบรนด์ โดยผู้ชมสามารถกดข้ามได้หลังจากดูโฆษณาไปแล้ว 5 วินาที 
  2. Non-skippable Instream Ads
    คลิปโฆษณาที่ผู้ชมจะไม่สามารถเลื่อนผ่านได้ และต้องดูโฆษณาจนจบ โดยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 15-20 วินาที คลิปโฆษณารูปแบบนี้จึงควรเข้าใจง่าย กระชับ และชวนติดตาม 
  3. Bumper Instream Ads
    รูปแบบคลิปโฆษณาแบบสั้นที่กดข้ามไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่จะมีระยะเวลาของ Ads อยู่ที่ 6 วินาทีเท่านั้น 
  4. Sponsored Card Ads
    Ads จะปรากฏบริเวณมุมขวาของคลิป ซึ่งจะเป็นการปรากฏสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของวิดีโอ 
  5. Overlay Ads
    นี่จะเป็นการปรากฏแบนเนอร์หน้าคลิปวิดีโอ โดยส่วนมากแล้วจะเป็นการใช้ข้อความ หรือรูปภาพพร้อมข้อความในการสื่อสารเป็นหลัก Ads รูปแบบนี้ผู้ชมสามารถกดปิดได้ทุกเมื่อ 
  6. Display Ads
    รูปแบบแบนเนอร์ที่จะปรากฏบริเวณขวามือของหน้าจอ

ตัวเลือกการกำหนดเป้าหมายโฆษณาYoutube Ads

ความโดดเด่นของการโฆษณาด้วยรูปแบบ Youtube Ads คือผู้ใช้บริการสามารถกำหนดเป้าหมายในการโฆษณาครั้งนั้นๆ ได้เลย และระบบจะพยายามทำตามเป้าหมายของแคมเปญอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อให้ผลลัพธ์ของการโฆษณาเป็นไปได้ดี และใช้งบที่วางไว้ได้คุ้มค่ามากที่สุด โดยผู้ใช้สามารถกำหนดเป้าหมายของแคมเปญได้ 5 รูปแบบ ดังนี้ 

  • Sales: การผลักดันยอดขายให้กับสินค้าของแบรนด์ 
  • Leads: การนำกลุ่มเป้าหมายไปยังลิงก์ปลายทางให้ได้มากที่สุด 
  • Website Traffic: การเพิ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้กับแบรนด์ 
  • Product or Brand Consideration: การส่งเสริมข้อมูลของสินค้า หรือแบรนด์ให้กับกลุ่มเป้าหมาย 
  • Brand Awareness and Reach: การเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์

App Campaign Ads คืออะไร

App Campaign Ads

App Campaign Ads เป็นรูปแบบการโฆษณาที่ได้รับความนิยมน้อยในกลุ่มธุรกิจประเภท SME เนื่องจาก App Campaign Ads จะเน้นการให้บริการบน App เป็นหลัก ทำให้ธุรกิจที่ต้องการทำโฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์แบรนด์ หรือผลักดันยอดขายไม่นิยมใช้ App Campaign Ads มากนัก 

ถึงแม้ว่ารูปแบบการโฆษณา App Campaign Ads อาจจะไม่ได้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายเหมือนกับรูปแบบอื่นๆ แต่ในปัจจุบันถือว่าเริ่มมีหลายแบรนด์ที่ให้ความสนใจใน Ads รูปแบบนี้มากขึ้น เนื่องจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่หลายเจ้า เริ่มมีการผลิต App ของตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Tops, 7-11 หรือจะเป็น Central เองก็ด้วย

App Campaign Ads ทำงานอย่างไร

เป้าหมายหลักของ App Campaign Ads คือการทำให้กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ เข้ามาดาวน์โหลด และใช้บริการจาก App ที่ทางแบรนด์สร้างขึ้น ลักษณะการทำงานของบริการรูปแบบนี้จะแตกต่างออกไปจากการโฆษณาก่อนหน้า เพราะผู้ใช้บริการไม่สามารถทำการตั้งค่า หรือออกแบบแคมเปญแยกเพื่อ App Campaigns ได้ 

แต่ทาง Google จะทำการบ้านในส่วนนี้ โดยนำข้อความ, แบนเนอร์ หรือคลิปวิดีโอไปทดลองเผยแพร่ในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหาผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สิ่งที่ทางแบรนด์ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมคือ รูปภาพแนวนอน วิดีโอแนวตั้ง และแนวนอน รวมถึงสิ่งที่ทีมงานอาจจะขอเพิ่มเติมเพื่อทดสอบในแคมเปญนี้

App Campaign Ads แสดงผลที่ไหน

โฆษณาจะไปปรากฏในสถานที่ใดบ้าง? เรียกได้ว่าปรากฏในทุกที่ตามเป้าหมายที่ผู้ใช้บริการกำหนดไว้ในแคมเปญ ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง Google Search, Google Play, YouTube, the Google Display Network, AdMob, Discover บน Google Search, เว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรกับ Google และ App ที่เข้าร่วมกับ Google อีกด้วย ด้วยภาพรวมของการแสดงโฆษณาทำให้ผู้ใช้บริการวางใจได้ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณจะพบเห็น และวิธีนี้จะสร้าง Brand Awareness ได้ดีทีเดียว

Google Shopping Ads คืออะไร ทำความรู้จักประเภทและการแสดงผลของ Google Shopping Ads

Google Shopping Ads

Google Shopping Ads คือ เครื่องมือในการโฆษณาสินค้าของแบรนด์ที่จะเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์ได้จริง ด้วยการปรากฏสินค้าเป็นอันดับแรกๆ เมื่อกลุ่มเป้าหมายทำการค้นหาสินค้าประเภทเดียวกันกับแบรนด์

ซึ่งหลังจากมีการเปิดให้บริการในส่วนนี้ ก็กลายเป็นรูปแบบที่มีผู้เข้าใช้บริการกันอย่างถล่มทลาย เนื่องจากสินค้าของผู้ใช้บริการจะปรากฏเป็นอันดับแรกๆ ของรายการสินค้า ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดี และสร้างความสะดวกสบายในการสั่งซื้อสินค้าได้อย่างเหนือชั้น แต่ไม่ใช่ทุกเว็บไซต์ที่จะสามารถทำ Google Shopping Ads ได้ ผู้ใช้บริการจำเป็นต้องทำ 2 เงื่อนไข ดังนี้เสียก่อน

  1. จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ประเภท E-Commerce Website ก่อน เพื่อให้ผู้ที่สนใจในสินค้าของคุณ สามารถที่จะกดเข้าลิงก์ และไปโผล่ที่หน้าเว็บไซต์ พร้อมกดสั่งซื้อสินค้าได้เลย 
  2. จำเป็นต้องสมัครสมาชิก Google Merchant Center เนื่องจากนี่จะเป็นเครื่องมือในการอัปโหลดรูปสินค้า และรายละเอียดสินค้าขึ้นไปยัง Google โดยสามารถติดตามรายละเอียดหรือสมัครได้จากที่นี่

Google Shopping Ads มีข้อดีอะไรบ้าง

หลายคนคงอยากรู้ถึงข้อดีของรูปแบบในการโฆษณาของ Google Shopping Ads ให้มากขึ้นกันแล้ว นี่จะเป็นการชี้ข้อดีเพื่อเพิ่มข้อมูลในการตัดสินใจใช้บริการได้ไม่มากก็น้อย 

  1. เพิ่มการเข้าถึงลูกค้าได้ดีเยี่ยม การใช้บริการ Ads ประเภทนี้จะช่วยดันยอดได้ดี เนื่องจากเป็นการนำเสนอสินค้า พร้อมข้อมูลที่จำเป็นในการตัดสินใจเลือกซื้อ พร้อมกับวิธีการสั่งซื้อสินค้าที่ง่ายเพียงปลายนิ้ว 
  2. ทำแคมเปญประเภทขายปลีกได้มีประสิทธิภาพ ไม่ต้องใช้คีย์เวิร์ด หรือการพบเห็น Ads บ่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความต้องการ แต่สามารถนำเสนอสินค้า และประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้าได้อย่างตรงไปตรงมาได้เลย 
  3. ขยายการรับรู้ของแบรนด์ ลูกค้าที่ไม่รู้จักแบรนด์มาก่อน หากมีการค้นหาสินค้าที่เป็นหมวดหมู่เดียวกับแบรนด์ จะทำให้พบเห็นสินค้าไปในตัวด้วย นี่จะเป็นหนทางในการขยายตลาดไปในวงสังคมของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น 
  4. รายงานผลลัพธ์ที่ใช้งานต่อได้จริง ทุกรายละเอียดทาง Google มีการจัดทำรายงานผลลัพธ์อยู่เสมอ ผู้ใช้บริการจะสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน และสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ในการปรับแผน และกลยุทธ์ได้อีกด้วย

Google Shopping Ads ทำงานอย่างไรและแสดงผลที่ไหน

ทาง Google จะนำข้อมูลของสินค้าจาก Merchant Center ที่ไม่ใช่ข้อมูลคีย์เวิร์ดมาประมวลผล และทดสอบกับสื่อประเภทต่างๆ เพื่อให้ได้สื่อและแผนในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เบื้องต้นผู้ใช้บริการสามารถที่จะปรับแต่งการตั้งค่า และเลือกแคมเปญได้เต็มที่ หากลงรายละเอียดเบื้องต้นของการใช้งาน Google Shopping Ads จะพบว่ามีการแบ่งเป็นอีก 2 ส่วนใหญ่ๆ ตามระดับการใช้งาน ดังนี้ 

  1. Product Shopping ads รูปแบบนี้จะเป็นการเน้นนำข้อมูลที่ได้มีการกรอกรายละเอียดไว้ใน Merchant Center มาเป็นอุปกรณ์สำคัญในการแพร่ขยายรูปแบบโฆษณา 
  2. Local inventory ads รูปแบบนี้จะเป็นการผสมผสานระหว่างข้อมูลที่ผู้ใช้บริการได้กรอกไว้ และร้านค้าที่มีการลงทะเบียนไว้ใน Merchant Center โดยประเทศที่เปิดให้บริการได้แก่ ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมณี ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา (ยังไม่เปิดให้บริการสำหรับประเทศไทย)

Google Shopping Ads มีวิธีคิดค่าใช้จ่ายอย่างไร

รูปแบบในการคิดค่าใช้จ่ายของ Ads ประเภท Google Shopping Ads จะเป็นในลักษณะ Cost-Per-Click (CPC) คือ เมื่อมีผู้สนใจพบเห็นสินค้า และมีการกดคลิกลิงก์ไปต่อจนเข้าหน้าเว็บไซต์ จึงจะถือเป็นการเก็บค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น

และยังมีอีกหนึ่งวิธีที่เหล่านักธุรกิจสามารถวางเงินขั้นต่ำในการประมูล โดยสินค้าที่โฆษณาจะไล่จากราคาประมูลสูงสุด และลดหลั่นกันตามเงิประมูลที่วางไว้ ทางเราแนะนำให้ทำการสำรวจตลาด และพลิกแผลงแผนให้ได้ตลอดเวลา เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายให้ได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

Discovery Ads คืออะไร ทำความรู้จักประเภทและการแสดงผลของ Discovery Ads

Discovery Ads

Discovery Ads คือ รูปแบบการโฆษณาที่กลืนไปกับเนื้อหาที่มีความใกล้เคียง และเกี่ยวข้องกับแบรนด์ หรือสินค้า ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้ง App หลักของการโฆษณานี้ Google Discover feed, Youtube Home Feed, Social Tab และ Promotion Tab ใน Gmail ด้วยวิธีนี้แบรนด์จะเข้าถึงผู้คนได้เป็นจำนวนมาก และพาให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการคล้อยตามในคอนเทนท์ที่ทางแบรนด์ต้องการสื่อสารได้โดยง่าย

ประโยชน์ของการทำ Discovery Ads

  • เข้าถึงผู้คนใน Google ได้ผ่านการทำแคมเปญเดียว: ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงผู้คนได้มากสูงถึง 3 พันล้านคนต่อเดือน ผ่านแพลตฟอร์มคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น YouTube Home และ Watch-Next Feeds, Discoverand the Gmail Promotions และ Social tabs
  • กระตุ้นกลุ่มเป้าหมายในมีส่วนร่วมกับ Ads: ด้วยรูปแบบการโฆษณาที่เจาะจง ทำให้แบรนด์สามารถสื่อสาร และเข้าหากลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด แนวทางคอนเทนท์ใน Ads ประเภทนี้จะทำให้ลูกค้าได้รู้จัก และเรียนรู้ข้อมูลที่จำเป็นของสินค้าไปในตัว 
  • สร้าง Ads ที่ลงตัว: รูปแบบคอนเทนท์ที่ล้อไปกับเนื้อหาในสื่อ ทำให้เกิดความกลมกลืน ลูกค้าจับประเด็นในการสื่อสารได้ ทำให้ Discovery Ads เป็นทางออกของแบรนด์ที่ต้องการสร้าง Brand Awareness ที่ต้องการความคุ้มค่าทั้งในแง่ของงบ และเวลาที่มีจำกัด 
  • ค่าใช้จ่ายที่สมดุล: ผู้ใช้บริการสามารถเห็นผลลัพธ์ และยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้ผ่านแคมเปญ อีกทั้งคุณยังสามารถใช้ Maximize Conversions Bidding, Target CPA, หรือ Target ROAS เพื่อประมูลช่องทางสื่อที่ต้องการเพิ่มได้ เพื่อให้แคมเปญได้ใช้อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ เพื่อให้งบที่วางไว้ได้ถูกใช้อย่างคุ้มค่า

Discovery ads ควรใช้เมื่อไหร่

  • ต้องการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้า: เพราะกลุ่มเป้าหมายยังไม่ใช่ลูกค้า ด้วยรูปแบบ Ads นี้ สามารถที่จะเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้เป็นลูกค้าได้ด้วย การเข้าชมเว็บไซต์ หรือการสมัครรับจดหมายอัปเดตโปรโมชัน เป็นต้น 
  • ต้องการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ในโซเชียล: การใช้ Discovery Ads สามารถเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ให้กับผู้ใช้บริการได้ เนื่องจาก Ads รูปแบบนี้สามารถเชื่อมผู้คนที่มีความสนใจในสินค้าประเภทหมวดเดียวกัน หรือผู้ที่มีความสนใจในสินค้าได้มีโอกาสพบกับสินค้าของคุณด้วย
  • ต้องการสื่อสารกับฐานลูกค้าเดิม: ลูกค้าเดิมจะมีต้นทุนประสบการณ์เกี่ยวกับแบรนด์ และสินค้าอยู่แล้ว เมื่อใช้ Ads ประเภทนี้จะเป็นการย้ำประสบการณ์ในการใช้สินค้าของกลุ่มลูกค้า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำได้ด้วยนั้นเอง

Local Ads คืออะไร

Local Ads

เมื่อกลุ่ม Local Business มีการแบ่งปันข้อมูลธุรกิจของตัวเองบน Google ก็จะมีโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจ หรือต้องการในงานบริการนั้นๆ ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะผ่าน Google Search Network, Maps, YouTube หรือ the Google Display Network ซึ่งนับได้ว่าเป็นเป็นอีกโอกาสในการเติบโตแบบก้าวกระโดด

ข้อดีของ Local Ads ที่จะช่วยธุรกิจคุณ

  • ลูกค้าเข้าถึงมากขึ้น: หากลูกค้าอยู่ใกล้กับบริเวณของร้านค้า นี่จะเป็นการเชื้อเชิญให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการกับทางร้านได้โดยง่าย 
  • เชื่อต่อธุรกิจกับลูกค้าได้โดยตรง: เจ้าของธุรกิจสามารถใส่เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลการติดต่อเพื่อให้ลูกค้าสามารถโทรเข้ามาปรึกษา หรือจองคิว เพิ่มความสะดวกในการใช้บริการได้แบบ Real-Time  
  • เพิ่มการรับรู้ของแบรนด์: ด้วยวิธีนี้นี่ถือเป็นการสร้าง Brand Awareness ที่ดีอย่างหนึ่ง เจ้าของร้านสามารถใส่รูป, ข้อมูลเบื้องต้น หรือเปิดโอกาสให้มีผู้คนได้เข้ามารีวิว เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในการใช้บริการได้

Local Ads ทำงานอย่างไร

แน่นอน คงไม่มีใครที่ไม่เคยใช้คีย์เวิร์ดคำว่า “ใกล้ฉัน” เพราะเมื่อคุณต้องการตามหาสถานที่อะไรบางอย่าง คีย์เวิร์ดคำต่อมาที่มักจะพบเห็นกันก็คือ “… ใกล้ฉัน” นี่เป็นข้อดีที่จะผลักดันร้านท้องถิ่นทั่วไปให้ติดหน้า Google ที่จะเป็นใบเบิกทางให้กับกิจการในการเติบโต โดยผู้ค้นหาจะไม่ได้เห็นแค่ชื่อร้าน และตำแหน่งเท่านั้น แต่เจ้าของร้านค้ายังสามารถใส่รายละเอียดเพิ่มเติมเวลาในการเปิด-ปิด หรือรูปแบบในการให้บริการเชิงลึกเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าก็ยังได้

Local ads มีวิธีคิดเงินจากอะไร

รูปแบบการคิดค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้บริการ Ads ประเภทนี้ จะเป็นแบบ Cost-Per-Click (CPC) ผ่านองค์ประกอบเหล่านี้:

  • คลิกเข้าดูรายละเอียดของสถานที่ 
  • คลิกเพื่อดูแผนที่ในการเดินทาง 
  • คลิกเพื่อโทรศัพท์ (สำหรับมือถือ) 
  • คลิปเพื่อเยี่ยมชมเว็บไซต์

ก่อนตัดสินใจทำ Ads ต้องรู้ ! ข้อดีของ Google Ads

เพื่อให้นักธุรกิจ และผู้ประกอบการเห็นภาพมากยิ่งขึ้น ในเนื้อหาส่วนนี้จะเป็นการพูดถึงข้อดี และข้อเสียของการใช้เครื่องมือ Google Ads ใครที่กำลังสนใจ และคิดว่าจะนำเครื่องมือไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง อาจจะต้องทำความเข้าใจในส่วนนี้ให้ดีเสียก่อน

1. ได้ผลลัพธ์ทันที

Google มีฐานผู้เข้าใช้บริการจำนวนมากต่อวันมากถึง 3 พันล้านคน หากคุณเลือกใช้บริการ Google Ads หนึ่งในสิ่งที่สัมผัสได้เลยคือการไหลเวียนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือรับชมสินค้าแทบจะทันที

2. สามารถทำการทดลองได้

พื้นที่อิสระที่ทาง Google มอบให้กับผู้อยากทดลองใช้บริการ โดยคุณสามารถที่จะทดลองใช้บริการได้ตั้งแต่หลักวัน จนถึงสัปดาห์ ด้วยฟังก์ชันนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้นี่เป็นข้อดีข้อที่สองของ Google Ads

3. วัดผลได้

หลังจากที่จบแคมเปญ คุณสามารถเข้าไปดูข้อมูลหลังบ้านได้ เพื่อให้จับทิศทางในการทำโฆษณาในครั้งถัดไป ตัวอย่างตัวแปรที่หลายคนให้ความสนใจ คีย์เวิร์ด, รูปแบบในการโฆษณา หรือแม้แต่สินค้าประเภทไหนขายดีที่สุด เป็นต้น

4. งบในการใช้โฆษณาที่ยืดหยุ่น

ตั้งแต่มีการนำระบบเก็บค่าใช้จ่ายต่อคลิก ก็ทำให้นี่เป็นวิธีที่หลายธุรกิจให้ความสนใจ เนื่องจากมีการกำหนดงบได้ยืดหยุ่นมากกว่าเดิม

5. ผลตอบรับไปในทางที่ดี

กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนพากันพูดถึงอย่าง ยอดในการเทิร์นกลับมา มีโอกาสสูงมากที่จะได้ยอดกลับมา x2 กันเลยทีเดียว หากมีความเชี่ยวชาญในการจัดระบบโฆษณา และเปลี่ยนแผนให้ลงตัวกับสถานการณ์ต่างๆ มีโอกาสที่จะ x5 หรือ x6 ได้ ไม่เกินจริง

6. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด

สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการให้เห็นโฆษณาของเรา หรือการกำหนดให้โฆษณาไปแสดงเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเป้าหมายหลักของเราได้ เช่น ต้องการส่งโฆษณาไปเฉพาะคนรายได้สูงที่ต้องการซื้อคอนโดใจกลางเมือง เป็นต้น

7. เข้าถึงผู้คนหลากหลาย

เนื่องจากวิธีนี้ไม่ได้อ้างอิงสถานที่อยู่ตามหลักภูมิศาสตร์ ถึงแม้ว่ากลุ่มเป้าหมายจะอยู่ไกลมาก็ตาม แต่หากวางเป้าหมายในการสื่อสารของแคมเปญ กลุ่มเป้าหมายก็จะได้รับสารตามที่แบรนด์ต้องการอย่างครอบคลุม

ข้อเสียของการทำ Google Ads ที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจทำ

ถึงแม้ว่าการทำ Google Ads จะมีข้อดีอยู่หลายอย่าง แต่อย่าลืมว่าคุณจำเป็นต้องนำมาชั่งน้ำหนักกับส่วนที่เป็นข้อเสียด้วย เพื่อให้การยิง Ads สำหรับธุรกิจของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด มีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย

1. ต้องมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว

เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกธุรกิจ เมื่อ Ads สามารถนำลูกค้าเข้าสู่หน้าร้าน หรือเว็บไซต์ของผู้ใช้บริการได้แล้ว แต่หากลูกค้าไม่เชื่อมั่น หรือรู้สึกกังวลกับการให้บริการของแบรนด์ Ads ก็ไม่สามารถผลักดันให้เกิดการสั่งซื้อสินค้าได้

2. ต้นทุนต่อคลิกค่อนข้างสูง

ยิ่งมีคู่แข่งทางการตลาดมากเท่าไหร่ ราคาค่าใช้จ่าย หรือ Cost Per Click ก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น ถ้าหากคุณไม่ได้มีบริษัทขนาดใหญ่ที่มีงบในการทำการตลาดที่มากพอ ก็อาจจะต้องลองมองหาหนทางอื่นสำหรับการทำการตลาดแทนการยิง Ads ทุกๆ เดือน

3. ระดับความชำนาญต้องสูง

ใครที่สนใจ แต่ขาดประสบการณ์ในการตั้งค่าของยิง Ads นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นเรื่องที่มือใหม่สามารถเข้ามาจัดการได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากการตั้งค่า Ads มีความซับซ้อนสูงมาก ถ้าหากต้องการยิง Ads ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ และความสามารถ

4. การลงทุนกับเวลา

เหมือนกับการเล่นเกม ผู้ที่ชำนาญการย่อมมีโอกาสในการเข้าถึง และประสบความสำเร็จมากกว่า สำหรับการยิง Ads ด้วยก็เช่นเดียวกัน ที่ผู้ยิง Ads จำเป็นต้องมีประสบการณ์ และใช้เวลาในการคลุกคลีกับการทำโฆษณาออนไลน์มาก่อน

5. ความเข้มข้นของคีย์เวิร์ด

ผู้ที่ไม่เคยทำการโฆษณาออนไลน์ผ่าน Google Ads มาก่อน ไม่อาจจะเข้าใจ และรู้ได้ว่าความสำคัญของคีย์เวิร์ดคืออะไร เนื่องจากหนึ่งในกลไกลที่สำคัญ และพร้อมจะพลิกสถานการณ์จากแบรนด์ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นแบรนด์ที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้ทั่วโลก

สถิติที่ผ่านมา และข้อมูลน่าสนใจสำหรับ Google Ads 2022-2023

ปัจจุบันนี้โลกของเราเต็มไปด้วยการแข่งขัน สิ่งที่คุณต้องมั่นใจคือเงินทุกบาทที่ลงทุนไปกับการยิง Ads จะเกิดประโยชน์สูงสุด อย่างไรก็ดี ด้วยเทรนด์การยิง Ads แบบ Pay-Per-Click (PPC) ทำให้การวัดผลถูกหลายตัวแปรทำให้ทุกอย่างอาจจะคลาดเคลื่อน 

ในเนื้อหาส่วนนี้จะพาเหล่านักธุรกิจ และนักการตลาดมาทำความรู้จักกับเทรนด์ Google Ads ที่ใครรู้ก่อน ก็ย่อมเข้าถึงโอกาสได้มากกว่าคนอื่นๆ ถ้าทุกคนพร้อมกันแล้วไปติดตาม 6 เทรนด์ที่ต้องรู้ของปี 2023 กันได้เลย ดังนี้

1.Google Search จะยังเป็นราชาผู้นำทัพต่อไป

เครื่องมือในการค้นหาบนโซเชียลยังถูกยึดครองด้วย Google ถึง 92.47% ทำให้ Google ยังคงเป็นพื้นที่ที่จะขยายการเชื่อมต่อของแบรนด์ไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง การทำการตลาดลักษณะ Google Ads ยังคงเป็นสิ่งที่นักการตลาดทอดทิ้งไม่ได้

2.Google Shopping เป็นพื้นที่สำหรับแม่ค้าขายปลีก

หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่าง Google Search กับ Google Shopping นั้นก็คือ การมองเห็น เนื่องจากการทำ Ads แนว Google Shopping จะทำให้เหล่าลูกค้าสามารถพบเห็นสินค้าของคุณได้ดีกว่า

3.กลยุทธ์การใช้ Youtube เต็มรูปแบบดีที่สุด

สื่ออย่าง Youtube มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกเลยก็ว่าได้ จากการศึกษาผู้คนเลือกซื้อสินค้ามากกว่า 70% เพราะเห็นสินค้าจาก Youtube และผู้คนจำนวนมากเลือกใช้ Youtube ในการเรียนรู้สิ่งใหม่มากกว่าช่องทางอื่นถึง 4 เท่า

4. การเข้ามาของ Performance Max แทนที่แคมเปญการค้นหา PPC แบบดั้งเดิม

ในปี 2023 มีแนวโน้มที่แคมเปญการค้นหา PPC แบบเดิม จะถูกแทนที่ด้วย แคมเปญ Performance Max ของ Google ด้วยผลลัพธ์ที่ดีกว่าและสามารถตั้งค่าได้ภายในไม่กี่นาที ผนวกกับ AI maching learning ที่ช่วยให้โฆษณา คำหลัก และหน้า Landing Page ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

สรุปเกี่ยวกับ Google Ads

เชื่อว่าผู้อ่านจะสังเกตได้ว่าบทบาทของ Google Ads มีความสำคัญอย่างมากกับทุกธุรกิจในปัจจุบัน เพราะจากสถิติที่มีผู้ใช้บริการค้นหาคีย์เวิร์ดต่างๆ ผ่าน Google มากถึง 8.5 พันล้านครั้งต่อวัน ทำให้นี่เป็นโอกาสที่แบรนด์จะได้สร้าง Brand Awareness กับกลุ่มเป้าหมาย และนำเสนอสินค้าของตัวเองผ่านวิธีการยิง Ads ที่หลากหลายเพื่อให้แบรนด์เติบโต

ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเป็นลักษณะของ B2B หรือจะเป็น B2C เครื่องมืออย่าง Google Ads จัดได้ว่าเป็นตัวแปรสำคัญที่จะส่งเสริมธุรกิจของคุณได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องเลือกรูปแบบในการโฆษณาให้เหมาะสมกับประเภทธุรกิจ และอาศัยการทำความเข้าใจในการใช้งาน นี่จะเป็นดั่งปุ๋ยชั้นดีที่จะทำให้ธุรกิจของคุณพุ่งทะยาน และผลิดอกออกผลได้แบบที่คุณเองจะคาดไม่ถึง

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

Ad rank quality ของ google ประกอบด้วยอะไรบ้าง

Ad rank quality ของ google นั้นมีค่าคะแนนอยู่ที่ 1-10 โดยมีการคำนึงจากปัจจัยหลักๆ 3 ส่วนได้แก่

  1. CTR(Click Through) หรือจำนวนคลิกโฆษณาได้รับหารด้วยจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏบนผลการค้นหา
  2. Ad relevance ความสอดคล้องกันระหว่าง keyword กับคำโฆษณา
  3. Landing page experience คุณภาพและประสบการณ์ใช้งานของหน้าเว็บไซต์ และความสอดคล้องกันระหว่าง keyword กับ Landing page

ข้อดีที่ทำให้ Google ads โดดเด่นกว่า paid media อื่นๆ

สิ่งที่ Google ads ทำได้ดีกว่า paid media ประเภทอื่นๆมีทั้งหมด 3 ข้อคร่าวๆได้แก่

  1. ไม่ใช่การทำโฆษณาแบบหว่าน แต่เป็นการทำโฆษณาที่รับรู้และนำส่งจาก intent ของลูกค้าจริงๆ
  2. ง่ายต่อการวัดผล ROI
  3. คุณภาพในการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย เพราะการอัพเดท algorithms ของกูเกิลมีอยู่เสมอ

ข้อควรระวังในการทำ Google ads

  1. มองข้ามการใช้งาน Negative keywords
  2. ใช้คำที่กว้างและหลากหลายเกินไป และไม่เกี่ยวข้องจนคะแนนคุณภาพโฆษณาต่ำลง
  3. อย่าให้ Landing page มีคุณภาพต่ำ เนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับคำที่ค้นหาเข้ามา

Related Articles

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง