KPI ในการวัดผลโฆษณา Facebook Ads ที่นักยิงแอดไม่รู้ไม่ได้ ไปดูกัน!

KPI ในการวัดผลโฆษณา Facebook Ads ที่นักยิงแอดไม่รู้ไม่ได้ ไปดูกัน!

Table of Contents

KEY TAKEAWAYS

  • Facebook Ads คือโฆษณาออนไลน์บน Facebook ซึ่งคนทั่วไปก็สามารถสร้างโฆษณา และทำแคมเปญเองได้ไม่ยาก ด้วยการใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ
  • KPI ย่อมาจาก Key Performance Indicators ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลักที่ใช้ในการประเมินความสำเร็จของ Facebook Ads อาทิ Reach, Impressions, Link Clicks, Cost per Conversion, Click Through Rate, และอื่นๆ ที่จะพูดถึงและแนะนำในบทความ
  • การเลือก KPIs ที่เหมาะสมสำหรับการติดตามวัดผล Facebook Ads ทำได้จากกำหนดเป้าหมายการตลาด พิจารณากลุ่มเป้าหมาย เลือกทั้ง KPIs ที่ใช้วัดปริมาณและคุณภาพ พิจารณาขั้นการเติบโต (Stage of Growth) ของธุรกิจร่วมด้วย

เมื่อทำการตลาดบนโลกออนไลน์ หรือโฆษณาบนสื่อต่างๆ เช่น Facebook Ads หากต้องการที่จะวิเคราะห์การทำงาน และชี้วัดว่าการกระทำดังกล่าวนั้นสัมฤทธิผลมากน้อยแค่ไหน การกำหนด KPIs ถือเป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้รู้ถึงจุดประสงค์ของการทำแคมเปญ และยังเป็นเหมือนสื่อกลางระหว่างเจ้าของธุรกิจและเอเจนซีโฆษณา เพื่อให้เข้าใจตรงกันอีกด้วย

โดยบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า KPIs คืออะไร และมี KPIs Facebook Ads ตัวไหนบ้างที่ใช้ในการวัดผลการทำโฆษณาบน Facebook 

มาทำความรู้จักกับ KPIs กันก่อน

มาทำความรู้จักกับ KPIs กันก่อน

KPIs หรือ Key Performance Indicators คือ เครื่องมือที่ใช้วัดประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาว โดยนิยมใช้ตัวเลขหรือค่าสถิติ เพื่อให้สามารถเห็นผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมได้ ซึ่งการตั้ง KPIs ใน Facebook Ads จะเป็นตัวกำหนดทั้งเป้าหมาย วิธีการทำงาน และงบประมาณ ที่บริษัทจะนำมาใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์  

KPIs มีความสำคัญอย่างไร

ความสำคัญของ KPIs มีดังนี้

  • ช่วยให้สามารถเห็นอัตราความก้าวหน้า หรือความสำเร็จในการทำงานอย่างต่อเนื่อง
  • ช่วยในการดูแลภาพรวมขององค์กร
  • ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนแผนการทำงานระหว่างที่ดำเนินการ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อวัตถุประสงค์ 
  • ช่วยในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หรือการขยายโอกาสในการทำงาน
  • ช่วยให้สามารถจัดเก็บข้อมูลและวิเคราะห์รูปแบบการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
  • ช่วยให้องค์กรมองเห็นตำแหน่งของตัวเองในตลาดมื่อเทียบกับคู่แข่งทางธุรกิจ และแนวทางในการพัฒนาต่อไป

เราจะเลือก KPIs มาติดตามวัดผลอย่างไร 

  • เลือกตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง และมีความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการทำงาน
  • โฟกัสในรูปแบบของ KPIs ที่เลือก และไม่ใช้ตัวชี้วัดที่หลากหลายจนเกินไป
  • เลือกใช้ KPIs ที่วัดทั้งปริมาณและคุณภาพ
  • พิจารณาขั้นการเติบโต (Stage of Growth) ของธุรกิจร่วมด้วย
ทำไมแบรนด์ต้องติดตามและวัดผลการทำโฆษณา Facebook

ทำไมแบรนด์ต้องติดตามและวัดผลการทำโฆษณา Facebook

Facebook มักจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาของแบรนด์ หรือแอ็กเคานต์บนแพลตฟอร์ม ทำให้การจ่ายเงินเพื่อ โปรโมตโฆษณา เป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญในการทำการตลาดบน Facebook ซึ่งการกำหนด KPIs ของ Facebook Ads เพื่อให้สามารถติดตามและวัดผลสัมฤทธิ์ได้ มีความสำคัญ ดังนี้

  • ประเมินประสิทธิผลของแคมเปญโฆษณา
  • เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด
  • วิเคราะห์อย่างมีหลักการว่าควรดำเนินการ หรือยุติแคมเปญโฆษณาใด
  • ใช้พิจารณาความเหมาะสมแคมเปญโฆษณาของ Facebook สำหรับธุรกิจนั้นๆ เพื่อจัดสรรงบประมาณไปยังแพลตฟอร์มที่เหมาะสมที่สุด
13 KPIs ในการวัดผลการทำโฆษณา Facebook

13 KPIs ในการวัดผลการทำโฆษณา Facebook 

ในการวัดผลการทำโฆษณาบน Facebook สามารถเลือกใช้ตัวชี้วัดได้หลายตัว เพื่อนำมาประเมิน และเลือกกลยุทธ์ในการทำแคมเปญ หรือเนื้อหาที่เหมาะสมที่สุด สำหรับ KPIs ที่นิยมในการวัดผล Facebook Ads มีดังนี้

Reach

1. Reach 

Reach คือ การวัดจำนวน User ที่สามารถมองเห็นโพสต์ที่เป็นสาธารณะ โดยที่จะเป็นการนับจำนวนแอ็กเคานต์ที่ไม่ซ้ำกัน

Reach ใน Facebook Ads

Reach สำหรับการตั้ง KPIs ของ Facebook Ads จะแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ คือ

  • Facebook Ad Reach การวัดปริมาณของ User ที่มองเห็นโฆษณาจากการจ่ายเงินเพื่อโปรโมต ​(Paid Ads) จากหน้า News Feeds
  • Facebook Viral Reach การวัดปริมาณของ User ที่มองเห็นโฆษณาจากในหน้า News Feeds โดยมาจากการที่เพื่อนใน ​Facebook กดไลก์ คอมเมนต์ หรือกดแชร์โฆษณานั้นๆ 
  • Facebook Organic Reach การวัดปริมาณ User ที่มองเห็นโฆษณา ทั้งจากในหน้า News Feeds ของตัวเอง หรือการเข้าไปยังหน้าเพจแอ็กเคานต์ของผู้โพสต์

คำนวณค่า Reach อย่างไร

โดยปกติการคำนวณค่า Reach ในการวัดผลการทำโฆษณาบน Facebook จะมีการกำหนดค่าเฉลี่ยของ Reach ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น ในระยะเวลา 1 เดือน เป็นต้น

ทำไมค่า Reach ถึงสำคัญ

ความสำคัญของค่า ​Reach ในการวัดผลการทำโฆษณาบน Facebook มีดังนี้

  • Content Quality ช่วยในการปรับคุณภาพของเนื้อหาให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสื่อสาร
  • Client’s Audience Size ทำให้รู้ว่ามีจำนวนผู้รับรู้มากน้อยแค่ไหน และควรปรับแผนการอย่างไร เพื่อจะเพิ่มจำนวนของผู้รับสาร
  • Targeting ช่วยให้รู้ว่าเนื้อหาที่นำเสนอได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อสารแล้วหรือยัง
  • Posting Frequency ช่วยให้รู้ว่าความถี่ในการโพสต์เนื้อหาที่เป็นอยู่เหมาะสมหรือไม่ 
Impressions

2. Impressions 

Impressions  คืออะไรใน Facebook Ads

Impressions คือ จำนวนครั้งที่มี User มองเห็นโพสต์โฆษณานั้นๆ โดยจะแตกต่างจาก Reach ตรงที่จะมีการนับจำนวน User ในแอ็กเคานต์เดิมร่วมด้วย

คำนวณค่า Impressions อย่างไร

คำนวณได้จากการนำค่า Expression ที่ต้องการมาแทนลงในสูตรการหา CPM (Cost Per Thousand Impression)

CPM = Cost x 1000 / Impression

ทำไมค่า Impressions ถึงสำคัญ

ความสำคัญของค่า ​Expression ในการวัดผลการทำโฆษณาบน Facebook คือ ช่วยให้รู้โฆษณาดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และก่อให้เกิดการซื้อขายหรือไม่

ถ้าค่า Impressions ต่ำ แก้ไขอย่างไร 

ในกรณีที่มีค่า Impressions ต่ำกว่าที่ต้องการ มีวิธีแก้ไขดังนี้

  • Alter Ad Copy and Visuals ปรับปรุงการนำเสนอโพสต์ เช่น ข้อความ สื่อที่นำเสนอ หรือรูปแบบ โดยอาจจะวิเคราะห์จากโฆษณาของแบรนด์ที่เคยประสบความสำเร็จ หรือแนวทางของคู่แข่งก็ได้
  • Increase Your Budget การเพิ่มปริมาณงบประมาณที่ใช้ในแคมเปญที่ต้องการ หรืออาจนำงบประมาณจากของแคมเปญอื่นที่มีความสำคัญน้อยกว่ามาใช้
Link Clicks คืออะไร

3. Link Clicks 

Link Clicks คืออะไร

Link Clicks คือ จำนวนที่ User คลิกลิงก์ที่อยู่บนตัวโฆษณา โดยลิงก์ดังกล่าวสามารถนำไปสู่เนื้อหาอื่นๆ บนแพลตฟอร์ม Facebook หรือเว็บไซต์อื่น

Link Clicks คำนวณจากอะไร

โดยปกติจะไม่สามารถคำนวณจำนวน Link Click ได้ แต่จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออื่นๆ เป็นตัวช่วย เช่น Ads Manager คือการดูจาก Facebook Report Template เป็นต้น

ทำไมค่า Link Clicks ถึงสำคัญ

Link Clicks มีความสำคัญในการวัดผลการทำโฆษณาบน Facebook เพราะช่วยให้ข้อมูลในการวิเคราะห์ความน่าสนใจของแคมเปญ หรือการมีส่วนร่วมของ User 

4. Cost per Conversion

Cost per Conversion คืออะไร

Cost Per Conversion คือ ต้นทุนต่อ Conversion ซึ่งหมายถึง ตัวชี้วัดประสิทธิภาพในการโฆษณา เช่น การสั่งซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก การดาวน์โหลดเอกสาร การกรอกฟอร์ม เป็นต้น

Cost per Conversion คำนวณอย่างไร

นำงบประมาณที่ใช้ในการโปรโมตแคมเปญ หรือโฆษณา มาคำนวณร่วมกับยอดขายที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาการทำแคมเปญนั้นๆ คือการดูจากการสรุปข้อมูลของ Facebook Ads Report Template

ทำไมค่า Cost per Conversion ถึงสำคัญ

ค่า Cost Per Conversion ช่วยให้สามารถประเมินได้ว่าการนำงบประมาณไปใช้ในการโฆษณานั้นเหมาะสมหรือไม่ และควรเพิ่มหรือควรลดงบประมาณ

CTR คืออะไรใน Facebook Ads

5. Click Through Rate 

CTR คืออะไรใน Facebook Ads

CTR หรือ Click Through Rate คือ เปอร์เซ็นต์ที่ User จะคลิกโฆษณาหลังจากที่มองเห็น ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน ​KPIs ที่สำคัญของ ​Facebook Ads

คำนวณค่า CTR อย่างไร

 CTR = (Link Click / Impression) *100

ทำไมค่า CTR  ถึงสำคัญ

การวิเคราะห์ ​CTR ทำให้รู้ถึงแนวทางการนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพ ที่จะช่วยสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี และทำให้สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมได้

Engagement Rate

6. Engagement Rate 

Engagement Rate คืออะไร

Engagement Rate คือ ​KPIs ของ​ Facebook Ads ที่ช่วยวัดเปอร์เซ็นต์ของการมีส่วนร่วมของ User ต่อเนื้อหาหรือแคมเปญที่แบรนด์นำเสนอ เช่น การไลก์ การคอมเมนต์ การแชร์ การบันทึก หรือการคลิกโพสต์ เป็นต้น

Engagement Rate คำนวณอย่างไร

สามารถคำนวณได้ใช้สูตร

Engagement Rate = (Total Engagement / Total Reach) * 100 

ทำไมค่า Engagement Rate  ถึงสำคัญ

การติดตามและวิเคราะห์ค่า Engagement Rate มีความสำคัญดังนี้

  • ช่วยให้รู้ว่าเนื้อหา หรือประเภทของแคมเปญแบบไหนที่ได้รับความนิยม
  • ช่วยในการปรับปรุงและการเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการนำเสนอโฆษณา
  • ช่วยให้รู้ว่าเนื้อหาแบบไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ไม่เสียเวลาในการนำเสนอแคมเปญเหล่านั้น

7. Follower Growth 

Follower Growth คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของจำนวนผู้ติดตามใหม่ที่เกิดขึ้นกับแอ็กเคานต์

คำนวณค่า Follower Growth อย่างไร

สามารถคำนวณได้จากการนำจำนวนของผู้ติดตามที่เพิ่มขึ้นจากเดิม / จำนวนผู้ติดตามเดิมก่อนเริ่มแคมเปญ และคิดเป็นเปอร์เซ็นต์โดยการคูณ 100

ทำไมค่า Follower Growth ถึงสำคัญ

ค่า Follower Growth ช่วยให้รู้ว่าแอ็กเคานต์ของแบรนด์เป็นที่รู้จัก และมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น รวมถึง ทำให้รู้ถึงรูปแบบของเนื้อหาที่ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของ User อีกด้วย

Referral Traffic from Facebook

8. Referral Traffic from Facebook 

Referral Traffic from Facebook คืออะไร

Referral Traffic from Facebook เป็นค่าที่วัดจำนวนของผู้เข้าชมหน้าของแบรนด์ ซึ่งเกิดจากการคลิกลิงก์จาก Facebook เข้าสู่หน้าเว็บไซต์ของแบรนด์

ดูค่า Referral Traffic จาก Facebook อย่างไร

ค่า Referral Traffic from Facebook สามารถดูได้จาก Google Analytics โดย

  1. เข้าไปที่ GA4 และไปที่ Reports ในเมนูด้านซ้ายมือ
  2. เลือก Acquisition เลือกในส่วนของ Traffic acquisition หรือ User acquisition 
  3. เลือก Search items เป็น Session source / medium เพื่อดูค่า Referral ที่มาจากช่องทางต่าง ๆ 

ทำไม Referral Traffic From Facebook ถึงสำคัญ

นอกจากค่า Referral Traffic from Facebook จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์กลุ่มบุคคลที่อาจเป็นลูกค้าของแบรนด์แล้ว ยังช่วยในการเพิ่มโอกาสที่เว็บไซต์ของแบรนด์จะขึ้นอันดับต้นๆ ในผลการค้นหาอีกด้วย

9. Video Engagement 

ค่า Video Engagement คืออะไร

ค่า Video Engagement คือ การวัดเปอร์เซ็นต์การมีส่วนร่วมของ User ที่มีต่อเนื้อหาที่แบรนด์นำเสนอในรูปแบบวิดีโอ เช่น จากการกดไลก์ การคอมเมนต์ การแชร์ การบันทึกวิดีโอ หรือการคลิกเข้าไปที่โพสต์ เป็นต้น

Video Engagement Rate คำนวณอย่างไร

Video Engagement Rate = (Total Engagements / Total Video Views) x 100

โดย

  • Total Engagements = จำนวนการมีส่วนร่วมทั้งหมด (เช่น ไลค์ แชร์ คอมเมนต์)
  • Total Video Views = จำนวนการรับชมวิดีโอทั้งหมด

ทำไม Video Engagement  ถึงสำคัญ

ค่า ​Video Engagement ช่วยให้รู้ว่าเนื้อหาแบบไหนที่ได้รับความนิยมบนวิดีโอ ซึ่งจะเป็นแนวทางในการวางแผนและปรับปรุงวิดีโอ เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด และยังช่วยให้องค์กรไม่ต้องเสียงบประมาณไปกับวิดีโอที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

Cost per Click

10. Cost per Click (CPC)

Cost per Click คืออะไร

CPC หรือ Cost Per Click คือ การวัดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อจำนวน 1 คลิกที่เกิดขึ้นบน Facebook Ads

คำนวณค่า Cost per Click อย่างไร

Cost per Click = Total Ad Spend / Total Clicks

ทำไมค่า Cost per Click  ถึงสำคัญ

CPC ทำให้รู้ว่าการใช้เนื้อหา และคีย์เวิร์ดของโฆษณาแบบไหนที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยในการปรับปรุงให้โฆษณานั้นๆ หรือโฆษณาในอนาคตเหมาะสมและเพิ่มปริมาณของ CTR ได้ 

Spend คืออะไร

11. Spend

Spend คืออะไร

Spend คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ เป็นอีกหนึ่ง KPI การตลาดออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, Google Ads เป็นต้น โดยต้นทุนเหล่านี้จะแตกต่างกันไปตามแพลตฟอร์มและกลยุทธ์การยิงแอดที่ใช้

คำนวณค่า Spend อย่างไร

  • ต้นทุนต่อการคลิก (CPC): คำนวณโดยหารต้นทุนโฆษณาด้วยจำนวนคลิกที่ได้รับ
  • ต้นทุนต่อการแสดงผล (CPM): คำนวณโดยหารต้นทุนโฆษณาด้วยจำนวนการแสดงผลโฆษณา
  • ต้นทุนต่อการเข้าถึง (CPA): คำนวณโดยหารต้นทุนโฆษณาด้วยจำนวนการเข้าถึงโฆษณา

ทำไมค่า Spend  ถึงสำคัญ

ทำให้ประเมินความคุ้มค่าของแคมเปญโฆษณาได้ โดยเปรียบเทียบต้นทุนกับผลลัพธ์ที่ได้ เช่น ยอดขายที่เพิ่มขึ้นหรือจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม และปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญให้ดีขึ้นได้ เช่น ปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายหรือเนื้อหาโฆษณา เป็นต้น

12. Return On Ad Spend (ROAS)

ROAS คืออะไร

ค่า ROAS (Return on Advertising Spend) คือ อัตราส่วนของมูลค่าการแปลงที่ได้จากการใช้จ่ายโฆษณา 

คำนวณค่า ROAS อย่างไร

ROAS = (Revenue from Ad Campaign / Cost of Ad Campaign)

โดยที่:

  • Revenue from Ad Campaign = รายได้ที่เกิดจากแคมเปญโฆษณา
  • Cost of Ad Campaign = ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการทำแคมเปญโฆษณา

เช่น หากจ่ายโฆษณาไป 1,000 บาท และสร้างรายได้จากการขายได้ 5,000 บาท ค่า ROAS จะเท่ากับ 5 

ทำไมค่า ROAS ถึงสำคัญ

วัดประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา โดยค่า ROAS ที่สูงกว่า 1 หมายความว่าได้รับมูลค่ามากกว่าที่จ่ายไป พร้อมทั้งช่วยให้เปรียบเทียบประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาต่างๆ และตัดสินใจว่าจะลงทุนในแคมเปญใด

13. Sales and Traffic

Sales and Traffic คืออะไร

Sales and Traffic คือ ยอดขายและปริมาณการเข้าชมเป็นตัวชี้วัดสำคัญ 2 อย่างที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด 

  • Sale คือ จำนวนผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ขายได้ในช่วงเวลาที่กำหนด
  • Traffic คือ จำนวน User ที่เยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือหน้าเว็บที่เฉพาะเจาะจงในช่วงเวลาที่กำหนด

คำนวณค่า Sales and Traffic อย่างไร

  • ยอดขาย: คำนวณโดยการคูณราคาขายต่อหน่วยด้วยจำนวนหน่วยที่ขายได้
  • ปริมาณการเข้าชม: คำนวณโดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บ เช่น Google Analytics

ทำไมค่า Sales and Traffic ถึงสำคัญ

ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญการตลาด และระบุแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ หรือไม่ประสบความสำเร็จได้ อีกทั้งยอดขายเป็นตัวชี้วัดหลักของความสำเร็จทางการเงินสำหรับธุรกิจ

สรุป

KPIs ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญในการวัดผลการทำโฆษณาบน Facebook เพราะมีส่วนช่วยให้ทราบถึงเป้าหมายของแคมเปญ และแนวทางในการนำเสนอเนื้อหา หรือวิดีโอที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์มากที่สุด สำหรับ KPIs ที่นิยมใช้เพื่อวัดผล Facebook Ads ก็มีด้วยกันหลายตัว เช่น ​​Reach, Impression, และ ​CTR โดยในการกำหนด KPIs จำเป็นต้องเลือกให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ KPI Facebook (FAQ)

CTR ของ Facebook ควรอยู่ที่เท่าไร

CTR ของโฆษณา Facebook ไม่มีค่าที่เป็นมาตรฐานตายตัว ซึ่ง CTR จะแสดงในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ หากค่า CTR สูง จะบ่งชี้ว่าโฆษณามีประสิทธิภาพดี
 
อย่างไรก็ตาม จากการรวบรวมข้อมูลจาก 11,000 แคมเปญโฆษณา พบว่า CTR ของ Facebook มาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 0.51% แต่ CTR อาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อุตสาหกรรม กลุ่มเป้าหมาย และรูปแบบโฆษณา เป็นต้น

วิธีดูผลลัพธ์โฆษณาของ Facebook

สามารถทำได้เพียง 3 ขั้นตอน ดังนี้

  1. เลือกเพจ Facebook ที่ต้องการดูผลลัพธ์โฆษณา
  2. เลือก “ศูนย์โฆษณา” จากเมนูด้านซ้ายมือ
  3. เลือกโฆษณาที่ต้องการแล้วคลิก “ดูผลลัพธ์”

ใช้ Facebook ส่วนตัวยิงโฆษณาได้ไหม

ปัจจุบันสามารถทำได้ แต่บัญชีส่วนตัว Facebook เป็นบัญชีเดี่ยวๆ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Business Manager อีกทั้งยังมีฟีเจอร์และการเข้าถึงข้อมูลจำกัดกว่า Business Manager
 
ดังนั้น ควรใช้ Facebook Ads หรือ Business Manager แทนบัญชีส่วนตัว เพื่อให้เข้าถึงฟีเจอร์ที่จำเป็น และสามารถวิเคราะห์ผลการโฆษณาได้ดีขึ้น อย่างเช่น Catalog Management และรายงานระดับธุรกิจที่ไม่มีในบัญชีส่วนตัว เป็นต้น

ค่าโฆษณา Facebook ต่ำสุดกี่บาท

ค่าโฆษณา Facebook มีขั้นต่ำวันละ 1 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 30-40 บาท แต่ทั้งนี้ค่าโฆษณา Facebook ที่แนะนำให้ใช้เริ่มต้นคือวันละ 2-5 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 60-150 บาท เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญทางสถิติ

การสร้างเพจมีค่าใช้จ่ายไหม

การสร้างเพจ Facebook ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยการสร้างเพจขายของบน Facebook ทำได้ 3 ขั้นตอนง่ายๆ ได้แก่

  • อัปโหลดรูปโปรไฟล์และรูปปก
  • เข้าไปที่ https://www.facebook.com/pages/create เพื่อเริ่มสร้างเพจ
  • ใส่รายละเอียดเช่น ชื่อเพจ หมวดหมู่ เป็นต้น

จ่ายค่าโฆษณา Facebook เสียภาษีอย่างไร

ผู้ประกอบการมีหน้าที่ชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้กรมสรรพากร โดยยื่นแบบ ภ.พ.36 เนื่องจาก Facebook มีบริษัทอยู่นอกประเทศไทย ค่าใช้จ่ายนี้สามารถบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ ช่วยในการเบิกจ่ายตามปกติ นอกจากนี้ หากเป็นบุคคลหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ยังสามารถใช้สิทธิภาษีซื้อสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้อีกด้วย

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง