Landing Page และ Sale Page อาจเป็นคำที่คุ้นหูคุ้นตาคนที่อยู่ในวงการออกแบบเว็บไซต์ และนักการตลาดออนไลน์ โดยทั้ง Landing Page และ Sale Page ต่างก็เป็นหนึ่งในประเภทของ Web Page ที่นักการตลาดออนไลน์ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังมีความเข้าใจผิดถึงความแตกต่าง และวัตถุประสงค์ของเว็บเพจทั้งสองอย่างนี้อยู่ บทความนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าทั้งสองอย่างนี้มีความคล้ายคลึงหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?
เพราะ Real Time Marketing เป็นเครื่องมือที่ดีที่จะนำลูกค้าหน้าใหม่มาสู่แบรนด์ ในบางกรณียังช่วยสร้างการมีส่วนร่วมให้ลูกค้ากับแบรนด์ใกล้ชิดกันได้อีกด้วย แน่นอนในบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับกลยุทธ์นี้และตัวอย่างแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่นำแบรนด์มาเล่นกับเทรนด์ได้อย่างน่าสนใจ รายละเอียดจะเป็นอย่างไรบ้าง ไปติดตามกันได้เลย
Landing Page คืออะไร?
Landing Page คือเว็บเพจที่ถูกสร้างมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง มักใช้ในการเพิ่มกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผ่านการกดปุ่ม CTA (Call-To-Action) หรือกรอกฟอร์ม โดยมีของบางอย่างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนกับข้อมูลส่วนตัวของกลุ่มลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์การตลาดออนไลน์ ขออีเมลของผู้เข้าชม แลกกับการดาวน์โหลดคู่มือการทำการตลาดออนไลน์ในปี 2023 เป็นต้น โดยหากมีการวาง Customer’s Journey หรือ เส้นทางในการตัดสินใจซื้อสินค้าแล้ว Landing Page มักจะอยู่ในช่วงสร้างการรับรู้ (Awareness Stage) หรือ ช่วงกำลังตัดสินใจ (Consideration Stage) โดยสามารถจำแนกออกได้เป็นสองประเภทหลักคือ:
- Lead Generation หรือ Transactional
เป็น Landing Page ที่ให้ผู้เข้าชมกรอกฟอร์มเพื่อแลกเปลี่ยนกับข้อมูลหรือบริการบางอย่าง มักเจอได้บ่อยในรูปแบบของการสมัครสมาชิก หรือการเข้าร่วมสัมนาต่างๆ รวมไปถึงการกรอกอีเมลเพื่อรับจดหมายข่าว หรือ Newsletter ด้วย - Click Through หรือ Reference
เป็น Landing Page ที่ไม่ได้มีแบบฟอร์มให้กรอก แต่เป็นลักษณะของการเชิญชวนให้กดปุ่มเพื่อไปยัง หน้า Sales Page หรือหน้าอื่นๆ เช่นการกดปุ่ม “สั่งซื้อ” เพื่อไปยังหน้า Sale Page ของสินค้า หรือ กด “ดูวีดีโอ” เพื่อไปยังหน้าแนะนำบริการ เป็นต้น
Landing Page มีส่วนประกอบอะไรบ้าง?
การออกแบบ Landing Page ให้มีประสิทธิภาพนั้นเป็นทักษะที่ต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ ต้องมีการวางแผนที่ดี และมีหลายปัจจัยที่ควรให้ความสำคัญ โดย Landing Page ที่ดีนั้นจะต้อง:
- มีเป้าหมายที่ชัดเจน
Landing Page หนึ่งหน้าควรมีเป้าหมายที่ชัดเจนเพียงอย่างเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เข้าชมสับสนว่าจะต้องทำอะไร เช่น ต้องการให้คนกด Subscribe ช่องทางโซเชียลมีเดีย ต้องการให้กรอก Email หรือต้องการให้คนกดลงทะเบียนสมัครคอร์สออนไลน์ เป็นต้น การมีเป้าหมายเยอะเกินไปในหน้าเดียวอาจทำให้ผู้เข้าชมเกิดความสับสนและเลือกที่จะปิดหน้าจอก่อนที่จะทำตามจุดประสงค์ที่วางไว้ - เนื้อหากระชับ ตรงไปตรงมา
ควรสื่อสารให้ชัดเจนว่าผู้เข้าชมจะได้อะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยน เช่น ใส่อีเมลเพื่อแลกกับการดาวน์โหลด E-book หรือ กรอกฟอร์มเพื่อเข้าถึงวีดีโอสัมนาฟรี เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้เข้าชมทำตามเป้าหมายที่เราต้องการ - มีข้อเสนอที่น่าสนใจ ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย
ของแลกเปลี่ยนที่ใช้เป็นข้อเสนอนั้น ควรมีคุณค่ากับผู้ที่ได้รับมัน และเป็นโอกาสในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเรา นอกจากนี้การมีข้อเสนอที่น่าสนใจยังทำให้เราสามารถขอข้อมูลจากลูกค้าได้มากขึ้นอีกด้วย ในทางกลับกันหากข้อเสนอไม่ได้น่าสนใจพอ และไม่ตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ ก็เป็นการยากที่ใครจะยอมทำตามเป้าหมายที่เราวางไว้ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมให้ข้อมูลของตนเองออกไปแบบฟรีๆ โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ - ไม่ขอข้อมูลที่เกินความจำเป็น
ก่อนที่จะทำ Landing Page ควรรู้เสียก่อนว่าต้องการข้อมูลอะไรบ้างจากผู้เข้าชมเว็บไซต์ และเราจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปทำอะไร เช่น ขอเก็บเฉพาะอีเมลเพื่อนำไปส่ง Newsletter รายเดือน หรือ ขอข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพ เพื่อที่จะได้รู้ว่ากลุ่มผู้ติดตามหลักคือใคร เพื่อใช้ในการปรับปรุงเนื้อหาหรือบริการในอนาคต การขอข้อมูลที่เยอะเกินจำเป็นอาจทำให้ผู้เข้าชมเกิดความระแวงและเลือกที่จะไม่กรอกข้อมูล ทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี - มีปุ่ม Call-To-Action ที่ชัดเจน
หรือเรียกสั้นๆ ว่า CTA เป็นปุ่มที่ใช้เพื่อบ่งบอกผู้เข้าชมเว็บไซต์ว่าต้องการให้ทำอะไร ควรมีสีที่ตัดกับพื้นหลัง มีขนาดปุ่มและตัวอักษรที่ใหญ่พอเหมาะสามารถมองเห็นได้ง่าย และเขียนระบุอย่างชัดเจนว่าต้องการให้ทำอะไร เช่น ติดตาม สมัครทันที หรือ ติดต่อพนักงาน เป็นต้น - รองรับการทำงานบนมือถือและแท็บเล็ต
ในยุคที่คนส่วนใหญ่เชื่อมต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์ไร้สาย คงไม่เป็นเรื่องที่ดีแน่หาก Landing Page ของเราไม่สามารถแสดงผลที่ถูกต้องผ่านหน้าจอมือถือหรือแท็บเล็ต เช่น ไม่สามารถกรอกฟอร์มบางส่วน หรือไม่สามารถกดปุ่ม CTA ได้
Landing Page มีเป้าหมายไว้เพื่ออะไร?
นักการตลาดออนไลน์หลายคนเลือกที่จะสร้าง Landing Page โดยมีจุดประสงค์เพื่อ:
- เพิ่ม Conversion Rate
Landing Page ช่วยเพิ่มจำนวนกลุ่มลูกค้าที่รับรู้ถึงสินค้าหรือบริการหลักของเรา เป็นการขยายฐานลูกค้าและเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายได้เข้ามาพูดคุยกับแบรนด์ และปรับเปลี่ยนจาก ช่วง Awareness เข้าสู่ขั้นตอน Consideration - ส่ง Traffic ไปยัง Sale Page
ใช้ Landing Page ในการสร้างอารมณ์ของลูกค้า ก่อนที่จะส่งต่อไปยัง Sale Page - เก็บข้อมูลเชิงลึกเพื่อการทำการตลาดในอนาคต
นอกจากนี้ เรายังสามารถใช้ Landing Page ในการเก็บข้อมูลเชิงลึก เพื่อนำมาพัฒนาสินค้าและบริการ หรือ ใช้ในการทำเคมเปญ Remarketing ให้กับกลุ่มลูกค้าของเราได้อีกด้วย
Sale Page คืออะไร?
อาจพูดได้ว่า Sale Page นั้นก็คือ Landing Page ในรูปแบบหนึ่ง แต่เป็น Landing Page ที่มีจุดประสงค์หลักคือการปิดการขายนั่นเอง โดย Sale Page นั้นจะไม่ได้เน้นไปที่การเก็บข้อมูลเพิ่ม หรือสะสมฐานข้อมูลลูกค้า แต่เน้นไปที่การสร้าง Conversion ที่ทำให้เกิดการซื้อขาย เว็บไซต์ Hubspot ได้ทำการนิยามความหมายของ Sale Page ไว้ว่าเป็น “เว็บเพจที่นำเสนอสินค้าหรือบริการ เพื่อจุดประสงค์ในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้า” หากมองในขั้นตอนของ Customer’s Journey แล้ว Sale Page มักจะถูกใช้ในการเปลี่ยนลูกค้าในขั้นตอนกำลังตัดสินใจ (Consideration Stage) มาสู่ ช่วงตัดสินใจ (Decision Stage)
Sale Page มีส่วนประกอบอะไรบ้าง?
Sale Page นั้นมีจุดประสงค์หลักที่แตกต่างจาก Landing Page ดังนั้นจึงมีองค์ประกอบและเนื้อหาที่แตกต่างกันพอสมควร โดย Landing Page ที่ดีควรประกอบไปด้วย:
- ภาพประกอบ หรือวีดีโอของสินค้า
เช่นสุภาษิตที่ว่า “ภาพ 1 ภาพมีความหมายมากกว่าคำ 1,000 คำ” รูปภาพหรือวีดีโอนั้นเป็นประเภทของคอนเทนต์ที่สามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้ดีกว่าตัวอักษรเพียงอย่างเดียว โดยรูปภาพหรือวีดีโอสวยๆ สามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าได้เป็นอย่างดี - รายละเอียดและราคาที่ชัดเจน
ควรมั่นใจว่าสินค้าหรือบริการของเรานั้นมีการระบุราคาและข้อมูลครบถ้วน ชัดเจน ตรงไปตรงมา เขียนเข้าใจง่าย ไม่วกวน และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่กดเข้ามาที่หน้า Sales Page ของเรา - รีวิวผลิตภัณฑ์
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการรีวิวจากผู้ใช้งานจริงนั้น เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นรีวิวในรูปแบบของการให้คะแนน หรือการทำคลิปรีวิวสินค้าก็ตาม การที่มีลูกค้าคนอื่นๆ พูดถึงเราในแง่บวก ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และเพิ่มโอกาสในการขายได้เป็นอย่างดี - โปรโมชั่น
เพิ่มโอกาสในการปิดการขายโดยการเสนอโปรโมชั่นพิเศษ เช่น การเพิ่มของแถม หรือ การลดราคาพิเศษในระยะเวลาที่จำกัด การสร้างข้อจำกัดทางด้านเวลา ช่วยทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น - ปุ่ม CTA เพื่อปิดการขาย
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือปุ่ม CTA เช่นเดียวกับ Landing Page แต่เป้าหมายของ CTA ใน Sale Page ก็คือการปิดการขาย โดยปุ่มสามารถเป็นการกดเพื่อเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า หรือชำระเงิน เป็นต้น และปุ่มควรใช้คำชักชวน เช่น “สั่งเลย” “สมัครเลย” “คลิกเลย” เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการปิดการขาย
Sale Page มีเป้าหมายไว้เพื่ออะไร?
ในปัจจุบันเรามักจะเห็น Sale Page ถูกใช้เป็นช่องทางในการขายของออนไลน์จนชินตา โดยเป้าหมายของการทำ Sale Page สามารถช่วยร้านค้าหรือธุรกิจออนไลน์ได้ดังนี้:
- เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
เป้าหมายหลักของ Sales Page ก็คือการปิดการขายหรือเพิ่ม Sales Conversion ให้กับร้านค้า - ใช้กระตุ้นความต้องการ (Want) ของลูกค้า
Sale Page ที่ดีสามารถช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความต้องการสินค้าได้ โดยการดึงดูดด้วยภาพถ่าย วีดีโอ รีวิวสินค้า และโปรโมชั่น - ช่องทางในการเปรียบเทียบสินค้า
Sale Page มีข้อมูลของสินค้าที่ครบถ้วน ทั้งในรายละเอียดและราคา ดังนั้นจึงเป็นช่องทางที่ลูกค้าสามารถใช้ในการเปรียบเทียบสินค้าต่าง ๆ ก่อนทำการตัดสินใจซื้อ
สรุป
โดยผิวเผินแล้ว Landing Page และ Sale Page นั้นอาจมีหน้าตาที่ดูคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อลองมองดูรายละเอียดแล้วก็จะพบว่า เว็บเพจทั้งสองรูปแบบนั้นมีความแตกต่างที่ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะในแง่ของจุดประสงค์ ซึ่ง Landing Page จะเน้นไปที่การเก็บข้อมูลของกลุ่มลูกค้าหรือการสร้าง Lead ผ่านการแลกเปลี่ยนด้วยของฟรีบางอย่าง เช่น E-book ในขณะที่ Sale Page นั้นมีเป้าหมายหลักคือการปิดการขายและเปลี่ยนให้ “ผู้ที่มีความสนใจ” กลายมาเป็น ”ลูกค้า”
นอกจากนี้เว็บเพจทั้งสองแบบนี้ยังมีองค์ประกอบที่แตกต่างกันอย่างมาก โดย Landing Page มักมีการให้กรอกฟอร์มเพื่อเก็บข้อมูล หรือมีปุ่มที่ลิงก์ไปยัง Sale Page อีกที ในขณะที่ Sale Page นั้นเป็นเพจที่มีรูปภาพ และรายละเอียดของสินค้า พร้อมปุ่ม CTA ที่ทำให้คนสามารถกดสั่งซื้อสินค้า การรับรู้และเข้าใจถึงข้อแตกต่างของเว็บเพจทั้งสองชนิด จะช่วยให้เราสามารถออกแบบ และเลือกใช้ทั้ง Landing Page และ Sale Page ให้เหมาะสมกับจุดประสงค์ที่เราต้องการ ซึ่งหากทำได้ดี ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนได้อย่างแน่นอน
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
Landing Page คืออะไร?
Landing Page คือเว็บเพจที่ถูกสร้างมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง มักใช้ในการเพิ่มกลุ่มลูกค้าเป้าหมายผ่านการกดปุ่ม CTA (Call-To-Action) หรือกรอกฟอร์ม โดยมีของบางอย่างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนกับข้อมูลส่วนตัวของกลุ่มลูกค้า เช่น การขออีเมลของกลุ่มเป้าหมายเพื่อแลกกับ E-book ฟรี เป็นต้น
Sale Page คืออะไร?
Sale Page คือเว็บเพจที่ถูกสร้างมาเพื่อปิดการขายสินค้า มักมี รูปภาพ วีดีโอ รีวิว ข้อมูลของสินค้าหรือบริการที่ต้องการขาย และมีปุ่ม CTA ที่ทำให้ลูกค้าสามารถกด เพิ่มสินค้าลงในตะกร้า หรือซื้อสินค้าได้
Landing Page และ Sale Page มีเป้าหมายแตกต่างกันอย่างไร?
Landing Page มีเป้าหมายในการขยายฐานลูกค้า สามารถใช้เพื่อเพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับสินค้า หรือแนะนำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจในตัวสินค้า และยินยอมที่จะรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการในอนาคต ในขณะที่ Sale Page นั้นมีหน้าที่ในการขายสินค้าหรือเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย มีเป้าหมายในการเปลี่ยนให้กลุ่มคนที่ “กำลังตัดสินใจ” กลายมาเป็น “ลูกค้า” ของธุรกิจ