Key Takeaway
- Ahrefs คือเครื่องมือวิเคราะห์และติดตามผล SEO ใช้ตรวจสอบ Backlinks วิเคราะห์คีย์เวิร์ด และติดตามอันดับเว็บไซต์ เหมาะสำหรับนักการตลาดดิจิทัล คนทำ SEO และเจ้าของธุรกิจที่ต้องการวางกลยุทธ์การตลาดออนไลน์
- เครื่องมือหลัก ได้แก่ Site Explorer สำหรับวิเคราะห์เว็บไซต์และคู่แข่ง Keyword Explorer เพื่อค้นหาและวิเคราะห์คีย์เวิร์ด Site Audit ตรวจสอบปัญหาเว็บไซต์ Rank Tracker ติดตามอันดับคำค้นหา และ Content Explorer ค้นหาโอกาสการสร้างคอนเทนต์ใหม่
- Ahrefs ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เข้าใจคู่แข่ง ค้นหาคีย์เวิร์ดเป้าหมาย ตรวจเช็กแผนผังลิงก์ และติดตามความเปลี่ยนแปลงอันดับในตลาดออนไลน์ เพื่อวางแผนทำ SEO ให้เห็นผลชัดเจน
- Ahrefs มีแพลนการใช้งานฟรี และเสียค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ $29 ต่อเดือน เหมาะกับผู้เริ่มต้น ส่วนแผนระดับสูงที่ครอบคลุมฟีเจอร์เต็มรูปแบบ ราคาอยู่ที่ $1,499 ต่อเดือน ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้และเครื่องมือที่ต้องการใช้
ชาว SEO น่าจะเคยสงสัยว่า เวลาทำคอนเทนต์แล้วไม่แน่ใจเลยว่าคู่แข่งทำยังไงถึงติดอันดับ หรือคำไหนที่คนค้นหาเยอะแต่เรายังไม่ได้ใช้? ถ้าเคยมีคำถามแบบนี้ในหัว ‘Ahrefs’ อาจกลายเป็นตัวช่วยได้ เพราะ Ahrefs คือชุดเครื่องมือ SEO ที่ช่วยให้ทำงานได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหา Keyword วิเคราะห์คู่แข่ง ตรวจสอบ Backlinks ตรวจเว็บไซต์ หรือแม้แต่ติดตามอันดับคำค้น ครบจบในที่เดียว! ใครอยากปั้นเว็บไซต์ให้โตแบบมีข้อมูลแน่นๆ ต้องไม่พลาดเครื่องมือตัวนี้เด็ดขาด

Ahrefs คืออะไร? เครื่องมือที่จะเปลี่ยนเกมการตลาด
Ahrefs คือเครื่องมือ SEO ยอดนิยม แบบ all-in-one ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ครบ จบในหนึ่งเดียว ครอบคลุมทุกฟังก์ชันการใช้งาน มาพร้อมความสามารถที่หลากหลาย และยังเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้มากที่สุด โดย Ahrefs เป็นที่รู้จักในช่วงแรกๆ ว่าเป็นเครื่องมือตรวจเช็ก Backlinks เพราะมีฐานข้อมูลของลิงก์ที่ใหญ่ที่สุด และมีสิ่งที่เรียกว่า AhrefsBot คือบอตสุดแอคทีฟซึ่งทำหน้าที่เป็น Web Crawler คอยสำรวจและเดินทางท่องไปยังเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อรวบรวม ประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน
แต่ Ahrefs ไม่ได้มีดีแค่เรื่อง Backlinks เท่านั้น ยังมีฟังก์ชันหลากหลายที่ช่วยทั้งติดตามผลการจัดอันดับเว็บไซต์ วิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่น่าสนใจ และเจาะลึกข้อมูลคู่แข่ง เพื่อให้มีข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำที่สุดทุกก้าวของการทำ SEO ถ้าคุณเป็นนักการตลาดออนไลน์ ผู้ดูแลเว็บไซต์ เจ้าของธุรกิจที่อยากเพิ่มช่องทางขาย หรือแม้แต่นักเขียนคอนเทนต์ที่อยากเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย Ahrefs จะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยเปิดโลก SEO ให้เห็นภาพชัดเจนและวางกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจ เป็นผู้ช่วยที่ทำให้การตลาดออนไลน์ ‘เปลี่ยนเกม’ อย่างแท้จริง!

เครื่องมือสำคัญของ Ahrefs ที่จะยกระดับธุรกิจ
Ahrefs เป็นตัวช่วยทำ SEO ที่มีเครื่องมือมากมาย และเครื่องมือสำคัญที่ถือเป็นตัวชูโรงของ Ahrefs มีด้วยกัน 5 เครื่องมือหลักๆ ดังนี้
1. Site Explorer
Site Explore เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้รู้เท่าทันคู่แข่ง โดยหาข้อมูลเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดที่ติดอันดับของคู่แข่ง ทั้งแบบ Organic Traffic (User เข้าชมเว็บไซต์แบบไม่เสียค่าโฆษณา) และ Paid Traffic (User เข้าชมเว็บไซต์แบบเสียค่าโฆษณา) ช่วยให้วิเคราะห์ได้ว่า “ผู้ใช้งานกำลังสนใจอะไร และกำลังมองหาอะไร”
ความสามารถของเครื่องมือ Site Explorer คือคอยติดตามและจับตามองคีย์เวิร์ดจำนวนหลายร้อยล้านคีย์เวิร์ด บอกให้รู้ว่าคีย์เวิร์ดไหนที่เว็บไซต์ติดอันดับและมีคนค้นหามากที่สุด ซึ่งตัวระบบคอยทำให้ข้อมูล Organic Traffic ของเว็บไซต์บน Google น่าเชื่อถือได้อีกด้วย นอกจากนี้ Site Explorer ยังมีการวิเคราะห์ Backlinks เปรียบเทียบกับเว็บไซต์คู่แข่ง จึงช่วยให้ประเมินผลคุณภาพ Backlinks ได้มีประสิทธิภาพ
2. Keyword Explorer
หนึ่งในปัญหาคลาสสิกของสาย SEO คือ “จะเริ่มจากคีย์เวิร์ดไหนดี?” เพราะคีย์เวิร์ดคือหัวใจหลักของการทำ SEO แต่การเดาแบบไม่มีข้อมูลก็อาจพาให้หลงทางได้ง่าย และนี่คือจุดที่ Keyword Explorer ของ Ahrefs เข้ามาช่วยได้ ‘คีย์เวิร์ด’ คือหนึ่งในองค์ประกอบหลักของการทำ SEO แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคีย์เวิร์ดไหนที่ใช่?
Keyword Explorer จะช่วยแนะนำคีย์เวิร์ดแบบจุใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะหมดไอเดีย พร้อมให้ข้อมูลการคาดการณ์ Traffic จากความถี่ในการค้นหา และยังอัปเดตข้อมูลใหม่ทุกเดือนจากกว่า 10 Search Engines ทั้ง Google, YouTube, Amazon และ Bing เป็นต้น นอกจากนี้ Keyword Explorer ยังบอกระดับความยากของคีย์เวิร์ด (Keyword Difficulty Score) เพื่อให้ประเมินโอกาสในการแข่งขัน พร้อมฟีเจอร์พิเศษที่เผยข้อมูล ‘คีย์เวิร์ดที่สร้างยอดคลิกจริง’ ทำให้เลือกใช้คีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุดสำหรับกลยุทธ์ SEO
3. Site Audit
Site Audit เครื่องมือสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการตรวจสอบสุขภาพเว็บไซต์ โดย Ahrefsbot จะไป Crawl เว็บไซต์เพื่อหาว่ามีข้อมูลตรงไหนที่ขาดหายไป ลิงก์เสีย เนื้อหาซ้ำ ปัญหาเว็บเพจโหลดช้า และอื่นๆ แถมยังมีการแนะนำวิธีแก้ไขให้อีกด้วย ถ้าไม่มีเครื่องมือตัวนี้ แล้วต้องมานั่งเช็กทุกจุดด้วยตัวเอง คงเหนื่อยจนท้อแน่ๆ
การเช็กสุขภาพเว็บไซต์ถือว่าสำคัญมาก เพราะปัญหาเล็กๆ เหล่านี้อาจส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับบน Search Engine ได้เลย ดังนั้น Site Audit จึงเปรียบเสมือนหมอประจำเว็บไซต์ ที่ช่วยทุ่นแรงให้คนทำ SEO ประหยัดทั้งเวลา และมั่นใจได้ว่าเว็บไซต์พร้อมสำหรับการติดอันดับบนหน้าแรกของ Google
4. Rank Tracker
อยากรู้ไหม? คำไหนที่พาเว็บไซต์ขึ้นหรือดันให้ร่วงในหน้าผลลัพธ์ของ Google และนี่คือหน้าที่ของ Rank Tracker เครื่องมือสุดสำคัญใน Ahrefs ที่ช่วยให้ติดตามอันดับคำค้นได้แบบเรียลไทม์ Rank Tracker เป็นเครื่องมือที่ช่วยรายงานผลการจัดอันดับเว็บไซต์บน Google ได้ทั้งบนมือถือและ Desktop ได้ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน สามารถดูได้ทันทีว่ามียอดคลิกเข้าชมเว็บไซต์เท่าไร
เครื่อมือนี้ยังช่วยเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างเว็บไซต์ของคุณกับคู่แข่งได้อย่างละเอียด แค่ป้อนคีย์เวิร์ด เลือกประเทศ และใส่ URLs ของคู่แข่ง ระบบจะอัปเดตผลให้อัตโนมัติอย่างสม่ำเสมอ จึงถือเป็น ‘เรดาร์’ สำคัญสำหรับการทำ SEO ที่คอยรายงานความเคลื่อนไหวของอันดับเว็บไซต์ เพื่อให้วางแผนและปรับกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำตลอดเวลา
5. Content Explorer
ถ้าอยากรู้ว่าคอนเทนต์แบบไหนกำลังมาแรง หรือหัวข้อไหนที่คนแชร์กันทั่วโลกออนไลน์ เครื่องมือ Content Explorer ใน Ahrefs คือคำตอบ เพราะ Content Explorer คือผู้ช่วยค้นหาไอเดียคอนเทนต์จากฐานข้อมูลของ Ahrefs กว่า 14 พันล้านเว็บเพจเลยทีเดียว
ผู้ใช้งานแค่ใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการค้นหา ระบบจะแสดงคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องซึ่งได้รับความนิยมและมีการแชร์มากที่สุดให้เห็นในทันที ทำให้เข้าใจเทรนด์ปัจจุบัน เห็นว่า “คนกำลังพูดถึงอะไร” และสามารถต่อยอดเพื่อสร้างคอนเทนต์คุณภาพที่โดนใจกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม


เจาะลึกราคา Ahrefs แพ็คเกจไหนคุ้มสุดสำหรับชาว SEO
Ahrefs เป็นเครื่องมือ SEO ที่มีทั้งแบบฟรีและมีค่าใช้จ่าย ซึ่งแน่นอนว่าในเวอร์ชันเสียเงินสามารถเข้าถึงฟังก์ชันที่หลากหลายและครอบคลุมกว่า ทำให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแพ็กเกจแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
Webmaster Tools ใช้ฟรี
Webmaster Tools ของ Ahrefs เป็นทางเลือกเริ่มต้นที่ใครก็ใช้ได้ฟรี เพื่อให้เจ้าของเว็บไซต์ดูสุขภาพ SEO พื้นฐาน และติดตามพลังของเว็บไซต์เบื้องต้น โดยฟีเจอร์หลักที่ผู้ใช้ฟรีจะเข้าถึงได้ ได้แก่
- ตรวจสอบ Site Audit สแกนปัญหา SEO ภายในเว็บไซต์
- ใช้ Site Explorer ดูข้อมูล Backlinks และภาพรวมโดเมน
- ดู Website Analytics / Traffic เบื้องต้น
- เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ผ่านการยืนยันสิทธิ์ (Verified)
- จำกัดฟังก์ชันบางอย่าง เช่น ไม่สามารถใช้งาน Rank Tracker หรือ Keywords Explorer ได้เต็มรูปแบบ
Starter $29 (939฿) ต่อเดือน
แพ็กเกจเบสิกราคาเบา เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่อยากทดลองใช้ Ahrefs แบบไม่ต้องจ่ายแพง
- ได้ 100 Credits ต่อเดือน สำหรับเครื่องมือที่ใช้รายงานและดึงข้อมูล ไม่รวม Site Audit หรือ Rank Tracker
- เข้าถึง SEO Dashboard, Site Explorer, Keywords Explorer, Site Audit, Rank Tracker, SEO Toolbar และ Web Analytics
- ประวัติ Data ได้ 1 เดือน
- จำกัดจำนวนบรรทัดที่แสดงในรายงาน (Max rows per report) ประมาณ 250 บรรทัด
- Rank Tracker ติดตามได้ 50 คีย์เวิร์ด
- สำหรับโปรเจกต์ที่ยังไม่ Verified จะจำกัดจำนวนหน้าและ Crawl Credits เล็กน้อยกว่าโพรเจกต์ Verified
Lite $129 (4,178฿) ต่อเดือน
ก้าวสู่ระดับที่ใช้งานจริงจังมากขึ้น เหมาะสำหรับ Freelancer ธุรกิจเล็กๆ โพรเจกต์งานอดิเรก หรือเจ้าของเว็บไซต์ที่อยากวิเคราะห์ลึกขึ้น
- ใช้เครื่องมือหลักทั้งหมด ทั้ง Site Explorer, Keywords Explorer, Site Audit, Rank Tracker, Competitive Analysis เป็นต้น
- เครดิตต่อผู้ใช้ 500 Credits ต่อเดือน
- ประวัติ Data 6 เดือน
- Rank Tracker ติดตามได้ 750 คีย์เวิร์ด (อัปเดตทุกสัปดาห์)
- Crawl Credits สำหรับ Site Audit 100,000 ต่อ Page Credits
- จำกัดแถวข้อมูลที่แสดงในรายงาน ประมาณ 2,500 แถว
- สามารถมี Unverified Projects ได้ประมาณ 5 โพรเจกต์
- สามารถเพิ่มผู้ใช้งานเพิ่มเติมได้สูงสุด 2 คน
Standard $249 (8,065฿) ต่อเดือน
ตัวเลือกราคากลางๆ สำหรับ SEO มืออาชีพ ที่ปรึกษาการตลาด หรือธุรกิจเล็กที่ต้องการฟีเจอร์ครบครัน
- ครอบคลุมทุกฟังก์ชันของ Lite พร้อมเพิ่มความสามารถพิเศษ เช่น Content Explorer, Batch Analysis หรือ Portfolios
- เครดิตผู้ใช้ไม่จำกัดสำหรับผู้ใช้ที่ใช้งานจริง ไม่ใช่ Starter หรือ Lite
- ประวัติ Data 2 ปี
- Rank Tracker ติดตามได้ 2,000 คีย์เวิร์ด
- Crawl Credits 500,000 ต่อ Page Credits
- แถวข้อมูลสูงสุดในรายงาน ประมาณ 30,000 แถว
- มี Unverified Projects ได้มากขึ้น ประมาณ 20 โปรเจกต์
- รองรับ Portfolio ฟีเจอร์จัดกลุ่ม รายงานขั้นสูง เครื่องมือวิเคราะห์เชิงลึกต่างๆ
Advanced $449 (14,543฿) ต่อเดือน
สำหรับทีม SEO หรือ Agency ที่ต้องการข้อมูลเต็มรูปแบบและขนาดใหญ่
- ฟีเจอร์ทั้งหมดของ Standard พร้อมเพิ่ม Looker Studio Integration, Web Explorer, Agency Listing, HTTP auth audit และ Forecasting (เร็วๆ นี้)
- ประวัติ Data 5 ปี
- เครดิตผู้ใช้ไม่จำกัด
- Rank Tracker ติดตามได้ 5,000 คีย์เวิร์ด
- Crawl Credits 1.5 ล้าน ต่อ Page Credits
- แถวข้อมูลสูงสุดในรายงาน ประมาณ 75,000 แถว
- เพิ่มจำนวน Unverified Projects ได้ประมาณ 50 โปรเจกต์
Enterprise $1,499 (48,554฿) ต่อปี
สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ หรือ Agency ที่ต้องการปรับแต่งและรองรับทีมหลายคน
- รวมฟีเจอร์ทั้งหมดจาก Advanced และเพิ่ม API access, SSO, Access management, Audit log, Pay by invoice หรือ Unlimited history
- ประวัติ Data ไม่จำกัด
- Rank Tracker ติดตามได้ 10,000 คีย์เวิร์ด
- Unverified Projects ประมาณ 100 โปรเจกต์
- เครดิตผู้ใช้ไม่จำกัด
- รองรับการปรับแต่งสูง เช่น กำหนดสิทธิ์ผู้ใช้ (Access Management), Logging, Single sign-on (SSO) เป็นต้น

ประโยชน์ของ Ahrefs กับการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล
การจะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ สิ่งสำคัญคือต้องใส่ใจทำ SEO อย่างจริงจัง และการมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น อย่าง Ahrefs ก็จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในการทำ SEO ได้
มีฟังก์ชันการใช้งานครอบคลุม ใช้งานง่าย
หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้ Ahrefs ได้รับความนิยมทั่วโลก คือความครบเครื่องและใช้งานง่ายในเครื่องมือเดียว อย่างที่บอกไปแล้วว่า Ahrefs คือเครื่องมือแบบ all-in-one ที่รวบรวมฟังก์ชันสำคัญอย่าง Site Explorer, Site Audit, Keyword Explorer, Rank Tracker และ Content Explorer ไว้ครบครัน จัดการทุกขั้นตอนของการทำ SEO ได้สะดวก เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และมืออาชีพที่ต้องการประหยัดเวลา ทำงานได้ไว และเห็นภาพรวมทั้งหมดของเว็บไซต์ได้ในที่เดียว
ให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ SEO อย่างละเอียด
นอกจากฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายแล้ว Ahrefs ยังให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ SEO ได้อย่างละเอียด เพราะเครื่องมือนี้มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่มากๆ เรียกได้ว่าเป็นจุดแข็งเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นการดูคีย์เวิร์ดที่ทำอันดับได้ดี แหล่งที่มาของลิงก์ หรือหน้าเว็บที่ได้รับการเข้าชมสูงสุด ทุกอย่างถูกรวบรวมไว้ครบครัน ทำให้คุณสามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ทั้งของตัวเองและคู่แข่งได้แม่นยำ ซึ่งถือเป็นประโยชน์ในการวางกลยุทธ์ SEO ให้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ปรับปรุงและอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่เสมอ
หนึ่งในข้อดีที่ทำให้ Ahrefs โดดเด่นคือมีการปรับปรุงและอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ข้อนี้สำคัญมาก เพราะการทำ SEO เราต้องพัฒนาและอัปเดตข้อมูลให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เพราะหากไม่ทำ จะตามคู่แข่งไม่ทัน และแน่นอนว่าผลลัพธ์การทำ SEO ของธุรกิจก็เสียเปรียบไปด้วย Ahrefs จึงมั่นใจได้ว่าเครื่องมือที่ใช้อยู่จะช่วยให้วิเคราะห์คู่แข่ง คีย์เวิร์ด และเทรนด์ล่าสุดได้แม่นยำและทันใจ ช่วยให้ธุรกิจเติบโตในโลกดิจิทัลได้อย่างมั่นคง
มีบริการดูแลลูกค้า หรือผู้ใช้งานเป็นอย่างดี
Ahrefs ไม่ได้ดีแค่ชื่อ เพราะเขามีบริการดูแลลูกค้า หรือผู้ใช้งานอย่างดี ทีมงานของ Ahrefs พร้อมคอยตอบคำถามและแก้ปัญหาให้ผู้ใช้งานอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้เครื่องมือ วิเคราะห์ข้อมูล หรือเทคนิค SEO
สำหรับผู้เริ่มต้น ทีมยังช่วยสอนและแนะนำผู้ใช้หน้าใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการใช้งาน Ahrefs ให้สามารถใช้เครื่องมือได้เต็มประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ประกอบการหรือชาว SEO สามารถทำงานได้อย่างมั่นใจและลดความผิดพลาดจากการใช้งาน

เข้าใจข้อจำกัดของเครื่องมือ Ahrefs เพื่อใช้งานอย่างคุ้มค่า
แม้ Ahrefs จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในการทำ SEO ได้ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง มาดูกันว่ามีข้อจำกัดอะไรบ้าง และส่งผลอย่างไรต่อการทำธุรกิจ
ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
แม้ Ahrefs จะเป็นเครื่องมือ SEO ที่ทรงพลัง แต่ค่าใช้จ่ายต่อเดือนของ Ahrefs ค่อนข้างสูง หากต้องการใช้งานได้ครบทุกฟังก์ชันก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายหนักอยู่เหมือนกัน ซึ่งอาจเป็นปัญหาสำหรับผู้เริ่มต้นทำ SEO หรือธุรกิจขนาดเล็กที่มีงบประมาณจำกัด การเลือกแผนให้เหมาะสมกับความต้องการ และใช้ฟีเจอร์ที่จำเป็นจริงๆ จะช่วยให้การลงทุนคุ้มค่ามากขึ้น
ฟีเจอร์และข้อมูลซับซ้อน ไม่เหมาะกับผู้เริ่มต้น
ความที่ Ahrefs ครอบคลุมทุกการใช้งาน ฟีเจอร์ต่างๆ ก็จะเยอะมาก ทำให้คนที่ยังไม่คุ้นเคยกับการใช้งานอาจสับสน และไม่สามารถนำไปใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ข้อมูลจำนวนมหาศาลและตัวเลือกที่หลากหลายอาจทำให้ผู้เริ่มต้นไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นใช้งานอย่างไร การเข้าใจข้อจำกัดนี้จะช่วยให้วางแผนเรียนรู้และเริ่มใช้งานทีละขั้นตอน ทำให้สามารถใช้ Ahrefs ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
ข้อมูลอาจจำกัดในบางประเทศ
แม้ Ahrefs จะสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูลจากหลายประเทศ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่บ้างในบางพื้นที่ ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้เต็มที่เหมือนประเทศอื่นๆ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากในบางประเทศ SEO เพิ่งเริ่มได้รับความนิยม ทำให้ฐานข้อมูลยังไม่ครบถ้วน ดังนั้นควรวางแผนการใช้งาน Ahrefs ให้คุ้มค่า และเลือกประเทศหรือตลาดที่เหมาะสมสำหรับการวิเคราะห์และทำกลยุทธ์ดิจิทัล

เปรียบเทียบ Ahrefs กับเครื่องมือ SEO อื่น
Ahrefs เป็นเครื่องมือ SEO ยอดนิยม ที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบนหน้า Google แต่เครื่องมือ SEO ก็ไม่ได้มีแค่ Ahrefs แต่ยังมีเครื่องมืออื่นๆ อีกมากมาย ที่มีคุณสมบัติเด่นแตกต่างออกไป ให้ได้เลือกใช้งานตามความต้องการ
SEMRush
ถ้าพูดถึงเครื่องมือ SEO แบบ all-in-one อีกตัวที่มีความน่าสนใจพอๆ กับ Ahrefs คือ SEMRush จุดเด่นของ SEMRush อยู่ที่ฟีเจอร์ครบครัน สามารถวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ตรวจสอบ Backlinks ตรวจสอบคู่แข่ง ทำ SEO Audit และติดตามอันดับคำค้นได้แบบครบเครื่อง แต่ขอแอบกระซิบบอกก่อนว่าราคาก็แรงไม่แพ้ Ahrefs เหมือนกัน จึงเหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการเครื่องมือครบทุกด้าน พร้อมลงทุนเพื่อฟีเจอร์เชิงลึกและรายงานที่หลากหลาย ต่างจาก Ahrefs ที่ง่ายต่อการใช้งานและความแม่นยำของข้อมูล Backlinks และการวิเคราะห์คู่แข่ง
Google Search Console
Google Search Console เป็นเครื่องมือ SEO ที่สามารถใช้งานได้แบบฟรีๆ สามารถช่วยตรวจสุขภาพเว็บไซต์ รายงานข้อผิดพลาดต่างๆ และรายงานการจัดอันดับ จุดเด่นของ GSC คือข้อมูลตรงจาก Google ทำให้เห็นภาพรวมของเว็บไซต์ในผลการค้นหาจริง แต่เมื่อเทียบกับ Ahrefs แล้ว GSC ไม่มีฟีเจอร์วิเคราะห์คู่แข่ง ตรวจสอบ Backlinks ของเว็บไซต์อื่น หรือสำรวจคีย์เวิร์ดเชิงลึก Ahrefs ทำให้เหมาะกับการทำ SEO แบบครบวงจรและวิเคราะห์ตลาด ส่วน GSC เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ช่วยดูแลและปรับปรุงเว็บไซต์ของตัวเอง
Moz
Moz เป็นเครื่องมือ SEO ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ มีฟีเจอร์สำคัญ เช่น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ตรวจสอบลิงก์ย้อนกลับ และติดตามอันดับคำค้น แต่ยังถือว่าน้อยกว่า Ahrefs ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งานของแต่ละคนและธุรกิจ ถ้าต้องการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การวิเคราะห์คู่แข่งอย่างลึกและฟีเจอร์ครบครัน Ahrefs จะตอบโจทย์มากกว่า แต่ถ้าใช้งานเบื้องต้นหรือเน้นความเรียบง่าย Moz ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
Answer the Public
Answer the Public เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกว่าลูกค้าต้องการอะไร ต่างจาก Ahrefs ตรงที่เน้นการสำรวจความสนใจและคำถามของผู้ใช้งาน มากกว่าการวิเคราะห์ Backlinks หรืออันดับคำค้นโดยตรง เครื่องมือนี้ช่วยค้นหา Niche และคีย์เวิร์ดที่จะเพิ่มยอดการเข้าชมเว็บไซต์ รวมทั้งช่วยสร้างไอเดียในการผลิตคอนเทนต์ให้ตรงใจผู้บริโภคได้มากขึ้น ทำให้คอนเทนต์ครีเอเตอร์และนักการตลาดสามารถวางแผนหัวข้อและรูปแบบคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ
Ubersuggest
Ubersuggest เป็นเครื่องมือค้นหาคีย์เวิร์ดสำหรับการทำ SEO ที่ให้ใช้งานได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์ของเราและคู่แข่ง เพื่อวางกลยุทธ์ในการสร้างคอนเทนต์ที่จะช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ จุดเด่นของ Ubersuggest คือใช้งานง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการข้อมูลพื้นฐานและไอเดียคอนเทนต์เบื้องต้น ขณะที่ Ahrefs จะเจาะลึกกว่า ทั้งเรื่องฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การติดตาม Backlinks รายละเอียด Keyword และฟีเจอร์ Content Explorer
SERPstat
SERPstat คือเครื่องมือ SEO all-in-one อีกตัว ที่มีฟีเจอร์หลักๆ ได้แก่ Rank Tracking, Backlink Analysis, Keyword Research, Site Audit และ Competitor Research จุดเด่นของ SERPstat เมื่อเทียบกับ Ahrefs คือ อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายสำหรับผู้เริ่มต้นและราคาที่เข้าถึงได้มากกว่า
อีกทั้งยังมีฟีเจอร์สำหรับวิเคราะห์ PPC และโฆษณาออนไลน์ ทำให้เหมาะกับผู้ที่อยากได้ข้อมูล SEO และโฆษณาในที่เดียว แต่ในเรื่องของขนาดฐานข้อมูล Backlink และความละเอียดของการวิเคราะห์เว็บไซต์ Ahrefs ยังถือว่ามีความแข็งแกร่งและลึกกว่า

Ahrefs Update! ฟีเจอร์อัปเดตใหม่ล่าสุดที่ควรรู้
Ahrefs ไม่หยุดพัฒนา ล่าสุดได้ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อให้การทำ SEO ง่ายและแม่นยำขึ้น ใช้งานร่วมกับ AI Overview ได้ดี ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก วางกลยุทธ์คอนเทนต์ และตรวจสอบเว็บไซต์ได้ครบวงจร
AI Keywords Insights
AI Keywords Insights คือฟีเจอร์ที่ช่วยให้นักการตลาดเข้าใจว่าคีย์เวิร์ดไหนที่เว็บไซต์ของตัวเองหรือคู่แข่งมีโอกาสถูก AI Answer Engines เช่น Google AI Overview, ChatGPT, Perplexity นำไปอ้างอิงถึง (Reference) ซึ่งหมายถึงการวัด AI Visibility ของแบรนด์
ติดตาม AI Visibility ของแบรนด์
- คำอธิบายการใช้งาน ใช้เพื่อตรวจสอบว่าคีย์เวิร์ดใดบ้างที่กระตุ้นให้ AI สร้างคำตอบและมีการอ้างอิงถึงเว็บไซต์ของคุณ
- ตัวอย่าง (Concept) คุณเป็นแบรนด์ขายอาหารเสริมสุขภาพ พบว่าคีย์เวิร์ด ‘วิธีลดน้ำหนักที่ยั่งยืน’ มีการอ้างอิงถึงบทความของคุณใน AI Overview 10 ครั้งต่อเดือน ซึ่งเป็น Metric ใหม่ที่สำคัญนอกเหนือจาก Organic Traffic
วิเคราะห์ช่องว่าง AI (AI Content Gap)
- คำอธิบายการใช้งาน ค้นหาคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งถูก AI อ้างอิงถึง แต่เว็บไซต์ของคุณยังไม่ถูกอ้างอิง ช่วยหาช่องทางในการสร้างหรือปรับปรุงเนื้อหา
- ตัวอย่าง (Concept) คู่แข่งของคุณถูกอ้างอิงใน AI Overview บ่อย สำหรับคีย์เวิร์ด ‘ประโยชน์ของคอลลาเจน’ แต่เว็บไซต์ของคุณยังไม่ถูกอ้างอิง จึงควรปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้าง เช่น เพิ่มบทสรุปหรือใช้ Schema เพื่อให้ AI ดึงข้อมูลไปใช้ได้ง่ายขึ้น
การระบุ Search Intent ด้วย AI
- คำอธิบายการใช้งาน ใช้ AI วิเคราะห์ Search Intent ของคีย์เวิร์ดจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำกว่าการวิเคราะห์แบบเดิมๆ
- ตัวอย่าง (Concept) ใน Keywords Explorer คุณใส่ลิสต์คีย์เวิร์ด 1,000 คำ AI จะช่วยจำแนก Intent ของแต่ละคำว่าเป็น Informational, Transactional หรือ Commercial ให้โดยอัตโนมัติ ทำให้จัดกลุ่มเนื้อหาเพื่อสร้าง Content Cluster ได้เร็วขึ้น
SERP AI Snapshot Preview
SERP AI Snapshot Preview เป็นฟีเจอร์ที่รวมอยู่ในส่วนของการวิเคราะห์ SERP (Search Engine Results Page) หรือ Rank Tracker โดยเฉพาะ เป็นการแสดงตัวอย่างว่าผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ดนั้นๆ จะมีหน้าตาอย่างไรเมื่อมี AI Overview ปรากฏขึ้นมา รวมถึงการระบุว่าหน้าเว็บไซต์ไหนบ้างที่ถูก AI เลือกใช้เป็นแหล่งอ้างอิง
ประเมินความเสี่ยงหรือโอกาสจาก AI Overview
- คำอธิบายการใช้งาน ใช้ตรวจสอบก่อนสร้างหรือปรับปรุงเนื้อหา ว่าคีย์เวิร์ดเป้าหมายมี AI Overview ปรากฏไหม และประเมินโอกาสที่เนื้อหาจะถูกดึงไปใช้หรือถูกแย่งอันดับ (Cannibalize) มากน้อยแค่ไหน
- ตัวอย่าง (Concept) คีย์เวิร์ด ‘สูตรกาแฟดริปสำหรับมือใหม่’ มี AI Overview ที่สรุปขั้นตอนสั้นๆ ไว้แล้ว คุณเห็นว่าเว็บไซต์อันดับ 1-3 ถูกอ้างอิง จึงต้องแน่ใจว่าบทความของมี Bullet Points หรือตารางที่ชัดเจนเพื่อให้ AI ดึงไปใช้ได้ง่ายเช่นกัน
วิเคราะห์แหล่งที่มาของ AI Reference
- คำอธิบายการใช้งาน ตรวจสอบว่าคู่แข่งที่มีอันดับรองลงมาแต่ถูก AI อ้างอิง มีความต่างด้านโครงสร้างเนื้อหาอย่างไร เพื่อนำมาปรับใช้
- ตัวอย่าง (Concept) คุณอยู่อันดับ 5 แต่ไม่ถูกอ้างอิงใน AI Overview ขณะที่เว็บไซต์อันดับ 7 กลับถูกอ้างอิง ใช้ SERP Snapshot ดูแล้วพบว่าเว็บไซต์อันดับ 7 มีการตอบคำถามในย่อหน้าแรกด้วยประโยคที่กระชับและตรงประเด็น (Direct Answer) มากกว่า
ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของ SERP
- คำอธิบายการใช้งาน ติดตามการปรากฏตัวของ AI Overview ในคีย์เวิร์ดสำคัญของคุณอย่างต่อเนื่อง
- ตัวอย่าง (Concept) ใน Rank Tracker คุณสามารถติดตามคีย์เวิร์ดหลักและตั้งค่า Alert เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของ SERP Feature รวมถึงการปรากฏหรือหายไปของ AI Overview ช่วยให้พร้อมรับมือกับความผันผวนในการค้นหาได้ทันที
Content Gap AI Mode
ฟีเจอร์ Content Gap แบบดั้งเดิมจะใช้เปรียบเทียบคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งติดอันดับแต่เว็บไซต์คุณยังไม่ติดอันดับ หรือติดอันดับต่ำ ส่วน Content Gap AI Mode เป็นเวอร์ชันอัปเกรดที่ใช้ AI วิเคราะห์และจัดกลุ่มคีย์เวิร์ดที่ขาดหายไปให้อยู่ในรูปแบบ Topical Clusters หรือ Content Topics ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ค้นพบหัวข้อที่ขาดหายไปอย่างรวดเร็ว
- คำอธิบายการใช้งาน แทนที่จะได้รายการคีย์เวิร์ดเป็นพันๆ คำ AI จะจัดกลุ่มคำเหล่านั้นให้อยู่ในหัวข้อหลัก (Parent Topic) ที่ควรสร้างเนื้อหา
- ตัวอย่าง (Concept) คุณใช้ Content Gap และได้คีย์เวิร์ด 200 คำที่ขาดหายไป แต่ AI Mode จัดกลุ่มให้ว่า 80% ของคำเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับ 3 หัวข้อหลักคือ ‘การใช้ Google Tag Manager ขั้นสูง’ ‘การติดตาม Conversion ใน Google Ads’ และ ‘การวิเคราะห์ Funnel’ ซึ่งเป็นหัวข้อที่ควรทำ Content Cluster ทันที
ระบุโอกาสของ Long-Tail Keywords ที่ขับเคลื่อนโดย AI
- คำอธิบายการใช้งาน ค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาต่ำแต่มีความเฉพาะเจาะจงสูง (Long-Tail) ซึ่ง AI มักนำไปใช้ตอบคำถามที่เจาะจง
- ตัวอย่าง (Concept) คุณพบว่าคู่แข่งติดอันดับสำหรับคำถามเฉพาะเจาะจง เช่น ‘ขั้นตอนการติดตั้ง SSL Certificate บน Cloudflare’ คุณสามารถใช้ AI Mode เพื่อหาคำถามลักษณะเดียวกันเพิ่มเติมอีก 100 คำเพื่อสร้าง FAQ Page หรือ Content Hub ที่ครอบคลุม
วางแผนการอัปเดต Content เก่า
- คำอธิบายการใช้งาน เปรียบเทียบเนื้อหาเดิมกับ Top-Ranking Pages และ AI References เพื่อหาคำหรือประเด็นที่ต้องเพิ่มเข้าไป
- ตัวอย่าง (Concept) คุณมีบทความเรื่อง ‘SEO พื้นฐาน’ แต่ AI Mode ชี้ให้เห็นว่าคู่แข่งถูกอ้างอิงจากคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับ ‘EEAT’ และ ‘Generative AI’ ซึ่งบทความเก่ายังไม่ได้พูดถึง จึงรู้ทันทีว่าต้องอัปเดตส่วนไหน
Site Audit 3.0
Site Audit 3.0 เป็นการอัปเกรดครั้งใหญ่ของเครื่องมือตรวจสอบสุขภาพทางเทคนิค (Technical SEO) ของ Ahrefs โดยเพิ่มความสามารถในการตรวจสอบที่ลึกขึ้นและเน้นที่สัญญาณสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งาน (Core Web Vitals) และความพร้อมของเว็บไซต์ต่อการทำดัชนีโดย Search Engines ที่ซับซ้อนขึ้น
การตรวจสอบ Core Web Vitals (CWV) เชิงลึก
- คำอธิบายการใช้งาน ตรวจสอบปัญหาด้านความเร็วและประสบการณ์ของผู้ใช้ เช่น LCP, FID, CLS โดยตรงใน Ahrefs ไม่ต้องพึ่งเครื่องมืออื่นมาก พร้อมให้คำแนะนำในการแก้ไขที่เฉพาะ
- ตัวอย่าง (Concept) Site Audit 3.0 พบว่าหน้า Landing Page หลักโหลดช้าหรือมีค่า LCP (Largest Contentful Paint) ‘Poor’ เนื่องจากรูปภาพ Hero ขนาดใหญ่ และไม่ได้ตั้งค่า Lazy Load และให้คำแนะนำที่ชัดเจนในการแก้ไข
การวิเคราะห์ Internal Link Flow
- คำอธิบายการใช้งาน มีรายงานใหม่ที่ช่วยให้เห็นภาพรวมของโครงสร้างลิงก์ภายใน (Internal Link Structure) เพื่อเพิ่มค่า Page Authority ให้กับหน้าสำคัญ (Pillar Pages)
- ตัวอย่าง (Concept) คุณพบว่าหน้า ‘บริการหลัก’ มี Internal Link Count ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับหน้ารองอื่นๆ Site Audit จะแนะนำหน้าที่มีลิงก์ไหลเข้ามาเยอะเพื่อนำไปเชื่อมโยงกับหน้าบริการหลักให้มากขึ้น
การตรวจจับปัญหา Schema Markup และ AI Readiness
- คำอธิบายการใช้งาน เพิ่มการตรวจสอบความถูกต้องของ Structured Data และสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับความพร้อมในการถูกดึงข้อมูลโดย AI (AI Reference)
- ตัวอย่าง (Concept) Site Audit รายงานข้อผิดพลาดใน FAQ Schema บนหน้าผลิตภัณฑ์ หรือแจ้งเตือนว่าหน้าสำคัญขาดการใช้งาน HowTo Schema ซึ่งเป็นสิ่งที่ AI นิยมดึงไปใช้ ทำให้พลาดโอกาสในการเพิ่ม AI Visibility

Ahrefs Metrics กับการวิเคราะห์เว็บไซต์ 10 ตัวชี้วัดสำคัญที่ขาดไม่ได้
Ahrefs Metrics คือชุดตัวชี้วัดที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Ahrefs ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้วิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ (Website Performance) และการทำ SEO โดยเฉพาะ ตัวชี้วัดเหล่านี้เกิดจากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลจากฐานข้อมูลของ Ahrefs ทั้งในส่วนของ Backlinks คีย์เวิร์ด และข้อมูลการจัดอันดับ (Ranking Data) ทำให้ผู้ใช้งานสามารถประเมินความแข็งแกร่งของโดเมน ความน่าเชื่อถือของหน้าเว็บไซต์ และโอกาสในการแข่งขันในตลาด SEO ได้รวดเร็วและเป็นระบบ
การอธิบายคำเฉพาะในรูปแบบที่ชัดเจนและเป็นระเบียบจะช่วยให้บทความมีโอกาสสูงที่จะถูก AI Overview ของ Google ดึงไปใช้ในการตอบคำถามเกี่ยวกับคำนิยามหรือ Metrics ทาง SEO เนื่องจาก AI มักให้ความสำคัญกับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นคำจำกัดความ (Definitions) โดยตรง
- Domain Rating (DR) ตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของ Backlink Profile ของเว็บไซต์โดยรวม (ทั้งโดเมน) ซึ่งวัดจากปริมาณและคุณภาพของ Referring Domains (จำนวนโดเมนที่ไม่ซ้ำกันที่ลิงก์มายังเว็บไซต์นั้นๆ) โดยมีสเกลตั้งแต่ 0 ถึง 100 ยิ่งค่า DR สูงเท่าไร ก็ยิ่งบอกว่าเว็บไซต์นั้นมี Authority สูงและมีแนวโน้มที่จะติดอันดับดีขึ้นเท่านั้น เป็นตัวชี้วัดที่ประเมินความน่าเชื่อถือของคู่แข่ง
- URL Rating (UR) ตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของ Backlink Profile ของหน้าเว็บไซต์เฉพาะ (Specific URL) มีสเกลตั้งแต่ 0 ถึง 100 โดยคำนวณจากลิงก์ที่ชี้มายัง URL นั้น รวมถึงพลังของ Internal Links ที่มาจากหน้าอื่น ในโดเมนเดียวกันด้วย ค่า UR สูงบอกว่าหน้านั้นมีศักยภาพจัดอันดับที่ดีสำหรับคีย์เวิร์ดเป้าหมาย และเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีในการเลือกหน้าสำหรับทำ Internal Linking
- Ahrefs Rank (AR) การจัดอันดับเว็บไซต์ทั้งหมดในฐานข้อมูลของ Ahrefs ตามความแข็งแกร่งของ Domain Rating (DR) เว็บไซต์ที่มี DR สูงที่สุดจะมีค่า AR ใกล้เคียง 1 ยิ่งค่า AR น้อยเท่าไร หมายถึงเว็บไซต์นั้นยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น เป็นตัวชี้วัดที่ใช้เปรียบเทียบความแข็งแกร่งกับเว็บไซต์อื่นๆ ทั่วโลกได้รวดเร็ว
- Backlinks ลิงก์ที่ชี้จากหน้าเว็บไซต์หนึ่งไปยังหน้าเว็บไซต์ของคุณ เปรียบเสมือน ‘คะแนนโหวต’ ที่บอกว่าเว็บไซต์อื่นเชื่อถือเนื้อหาของคุณ ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มี Authority สูงจะส่งผลดีต่อ SEO มาก การวิเคราะห์ Backlinks ช่วยให้เข้าใจกลยุทธ์การสร้างลิงก์ของคู่แข่งและค้นหาโอกาสในการสร้างลิงก์สำหรับเว็บไซต์ของคุณ
- Referring Domains จำนวนโดเมนที่ไม่ซ้ำกันที่ลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ ไม่นับจำนวนลิงก์ทั้งหมดจากแต่ละโดเมน เช่น ลิงก์ 10 ลิงก์จากโดเมนเดียวจะนับเป็น 1 RD เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สุดตัวหนึ่งสำหรับ DR และ SEO โดยรวม เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับความหลากหลายของแหล่งที่มามากกว่าปริมาณลิงก์ที่มาจากโดเมนซ้ำๆ
- Organic Keywords จำนวนคีย์เวิร์ดที่หน้าเว็บไซต์ของคุณติดอันดับอยู่ในผลการค้นหาแบบธรรมชาติของ Google เป็นตัวชี้วัดถึงขอบเขตความครอบคลุมของเนื้อหาเว็บไซต์ การติดตามจำนวน Organic Keywords และตำแหน่งการจัดอันดับช่วยให้เห็นภาพรวมว่าเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือในหัวข้อไหน และยังเป็นกุญแจสำคัญในการค้นหาคีย์เวิร์ดใหม่ๆ ที่มีโอกาสติดอันดับ
- Organic Traffic ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์โดยประมาณที่มาจากผลการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic Search) สำหรับคีย์เวิร์ดทั้งหมดที่เว็บไซต์นั้นๆ ติดอันดับ Ahrefs จะประมาณค่านี้โดยพิจารณาจากปริมาณการค้นหาของแต่ละคีย์เวิร์ดและตำแหน่งการจัดอันดับ การมี Organic Traffic สูงทำให้เห็นว่าเว็บไซต์ประสบความสำเร็จในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยไม่ต้องพึ่งพาโฆษณา
- Traffic Value มูลค่าโดยประมาณของ Organic Traffic ที่เว็บไซต์นั้นได้รับ หากต้องซื้อปริมาณ Traffic เท่ากันผ่านโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) ใน Google Ads เป็นการคำนวณที่ช่วยให้ประเมินมูลค่าทางการเงินของความพยายามด้าน SEO และเปรียบเทียบ ROI (Return on Investment) ของ SEO กับการทำ PPC ได้ชัดเจน
- Keyword Difficulty (KD) ตัวชี้วัดของ Ahrefs ที่ประเมินว่าการติดอันดับใน Top 10 ของ Google สำหรับคีย์เวิร์ดนั้นจะเป็นเรื่องยากแค่ไหน พิจารณาจากคุณภาพของ Backlinks ที่หน้าเว็บไซต์ที่ติดอันดับ Top 10 มีอยู่ มีสเกลตั้งแต่ 0 ถึง 100 KD ช่วยนักการตลาดจัดลำดับความสำคัญของคีย์เวิร์ดที่จะทำการตลาด (Targeting) โดยเลือกคีย์เวิร์ดที่มี KD ต่ำเพื่อโอกาสในการติดอันดับที่รวดเร็วกว่า
- Parent Topic คุณสมบัติของ Ahrefs ที่ใช้ AI และการจัดกลุ่มเพื่อระบุหัวข้อหลัก (Broad Topic) ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มคีย์เวิร์ดที่มีความหมายใกล้เคียงกันหลายคำ แม้ว่าคำเหล่านั้นจะมีการพิมพ์ที่แตกต่างกันก็ตาม ช่วยให้สามารถจัดกลุ่มคีย์เวิร์ดที่ควรอยู่ภายใต้หน้าเดียว (Single Page) เพื่อสร้างเนื้อหาที่ครอบคลุมและป้องกันปัญหา Keyword Cannibalization ได้
อยากแซงคู่แข่งต้องรู้! เคล็ดลับการใช้งาน Ahrefs
การมีเครื่องมือ SEO ที่ทรงพลังอย่าง Ahrefs นั้นเป็นเพียงครึ่งทางของการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ อีกครึ่งหนึ่งคือการรู้วิธีดึงเอาศักยภาพสูงสุดออกมาใช้ เพื่อค้นหากลยุทธ์ที่คู่แข่งอาจมองข้าม เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยเปลี่ยนข้อมูลดิบให้เป็นกลยุทธ์ที่นำไปสู่การแซงคู่แข่งในผลการค้นหาได้จริง
- วิเคราะห์ Content Gap ด้วยคีย์เวิร์ดกลุ่ม Top 3 ในเครื่องมือ Content Gap อย่าเปรียบเทียบแค่เว็บไซต์ของคุณกับคู่แข่ง แต่ให้ใส่เฉพาะคู่แข่งอันดับ 1-3 และตั้งค่าตัวกรอง (Filter) เพื่อหาคีย์เวิร์ดที่ทั้งสามเว็บไซต์ติดอันดับ แต่เว็บไซต์คุณยังไม่ติดอันดับ
- ใช้ ‘Best by Links’ Report ใน Site Explorer แทนที่จะดูแค่หน้าที่มี Organic Traffic สูงสุด ให้ดูที่รายงาน Best by Links เพื่อค้นหาหน้าเว็บไซต์ของคู่แข่งที่มี Backlinks คุณภาพสูง เข้ามามากที่สุด จากนั้นให้สร้างเนื้อหาในหัวข้อเดียวกันแต่ให้มีความครอบคลุมหรือดีกว่า เพื่อดึงดูดลิงก์นั้นมาหา
- ค้นหา ‘Easy Wins’ ด้วยการกรองตำแหน่ง ใช้ Keywords Explorer หรือ Organic Keywords ของคู่แข่ง และตั้งค่า Position Filter สำหรับคีย์เวิร์ดที่อยู่ในช่วง #11-#20 เพื่อหาคีย์เวิร์ดใกล้หน้าแรกมากที่สุด แล้วปรับ On-page SEO หรือเพิ่ม Internal Link เล็กน้อย อาจทำให้กระโดดขึ้นหน้าแรกได้รวดเร็ว
- ตรวจสอบ Lost Backlinks ของคู่แข่ง ใช้ Site Explorer และดูรายงาน Lost Backlinks ของคู่แข่ง เพื่อดูว่ามีเว็บไซต์ไหนบ้างที่เคยลิงก์ไปแล้ว แต่ตอนนี้ลิงก์นั้นหายไปแล้ว ติดต่อไปยังเว็บไซต์นั้นและนำเสนอเนื้อหาที่ดีเพื่อขอให้เปลี่ยนมาลิงก์หาคุณแทน
- ประเมินโอกาสจาก Traffic Value ไม่ใช่แค่ Search Volume เมื่อทำ Keyword Research อย่ามองแค่ Search Volume แต่ให้เทียบกับ Traffic Value หากคีย์เวิร์ดนั้นมีมูลค่า Traffic Value สูง แสดงว่าสร้างรายได้ดีและเป็นกลุ่มคำที่ควรจัดลำดับความสำคัญในการทำ Content Marketing
- ใช้ Parent Topic เพื่อจัดกลุ่มเนื้อหาอย่างแม่นยำ ก่อนสร้างหน้าใหม่ ให้ใช้ฟีเจอร์ Parent Topic เพื่อตรวจสอบว่าคีย์เวิร์ดที่จะทำนั้นไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกับหน้าอื่นที่มีอยู่แล้ว ช่วยป้องกันปัญหา Keyword Cannibalization และช่วยให้สร้าง Content Cluster ที่สมบูรณ์แบบโดยไม่ต้องเปลืองแรง
- ติดตามการอัปเดต Content ของคู่แข่ง ตั้งค่า Alerts ใน Ahrefs สำหรับคู่แข่งหลัก เมื่อมีอัปเดตหน้าเว็บไซต์หรือเผยแพร่เนื้อหาใหม่ๆ จะได้รับแจ้งเตือนทันที ช่วยให้ปรับกลยุทธ์และตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของตลาดได้รวดเร็ว
สรุป
Ahrefs คือเครื่องมือ SEO ที่ได้รับความนิยมในวงการการตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะเรื่องการตรวจเช็ก Backlinks ซึ่งมีฐานข้อมูลใหญ่และ AhrefsBot ที่ช่วยรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ Ahrefs ยังมีฟีเจอร์สำหรับติดตามอันดับเว็บไซต์ วิเคราะห์คีย์เวิร์ด และวางแผนกลยุทธ์ SEO ที่ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดออนไลน์และขยายฐานลูกค้าได้รวดเร็ว อีกทั้งมีเครื่องมือ Site Explorer, Site Audit, Keyword Exploerer, Rank Tracker และ Content Explorer ที่ช่วยวิเคราะห์คู่แข่งและวางแผนคอนเทนต์อย่างมืออาชีพอีกด้วย
Minimice Group รับทำ SEO มีทีมงานมืออาชีพ ทั้งผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO, Content Writer และ Outreach Specialist ที่พร้อมวางแผนกลยุทธ์แบบเฉพาะสำหรับแต่ละธุรกิจ เน้นการสร้างผลลัพธ์และการเติบโตที่วัดผลได้จริง พร้อมบริการครบวงจรตั้งแต่ SEO ไปจนถึงการยิง Google Ads และโซเชียลมีเดีย เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวสู่ความสำเร็จในโลกออนไลน์อย่างมั่นคงและรวดเร็ว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Ahrefs (FAQ)
Ahrefs Digital Marketing หมายถึงอะไร?
Ahrefs Digital Marketing หมายถึงการใช้ Ahrefs ซึ่งเป็นเครื่องมือ SEO ครบวงจร ช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์ ติดตามอันดับ และวางกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO และการมองเห็นของเว็บไซต์ในโลกดิจิทัล
Google Analytics ช่วยอะไร?
Google Analytics ช่วยเก็บข้อมูลและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้เข้าชมเว็บไซต์ เช่น จำนวนคนเข้า ช่วงเวลาที่เข้า และการกระทำบนเว็บไซต์ ทำให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถปรับปรุงและวางแผนการตลาดให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
Ahrefs อ่านว่าอะไร?
Ahrefs อ่านออกเสียงว่า “เอช-เรฟส์” เป็นชื่อเครื่องมือ SEO ที่รู้จักกันดี ใช้ตรวจสอบ Backlinks วิเคราะห์คีย์เวิร์ด และติดตามอันดับเว็บไซต์



