Key Takeaway
- LSI Keywords หรือ Latent Semantic Indexing Keyword คือคำที่มีความสัมพันธ์กับ Keyword หลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่บทความ SEO จำเป็นต้องให้ความสำคัญพอๆ กับ Keyword หลัก
- LSI Keywords จะทำหน้าที่ช่วยขยายความหมายของ Keyword หลักที่เป็นหัวใจของบทความ SEO ดังกล่าว ให้ผู้อ่านบทความเข้าใจมากขึ้น และยังมีส่วนช่วยให้บทความ SEO ของคุณนั้นสามารถติดอันดับการค้นหาได้สูง ดึงดูดให้มีคนเข้ามาอ่านบทความมากขึ้นได้ด้วย
- ยกตัวอย่างของ LSI Keywords สำหรับ Keyword หลักอย่าง “เที่ยวญี่ปุ่น” ก็จะได้แก่ “ร้านอาหารในญี่ปุ่น” “ของฝากจากญี่ปุ่น” “โรงแรมในญี่ปุ่น” เป็นต้น หรือ หาก Keyword หลักคือ “ลดความอ้วน” LSI Keywords ที่เกี่ยวข้องก็อาจจะเป็น “ออกกำลังกาย” “อาหารเสริม” “วิธีการคุมอาหาร” “อาหารคลีน” เป็นต้น
- การหยิบเอา LSI Keywords มาใช้ให้ได้ผลจะต้องใช้ควบคู่กับ Main Keyword ด้วยการกระจายและแทรก Keywords ให้ทั่วในบทความ ตั้งแต่ชื่อบทความ (Title Tag) คำอธิบายในบทความ ชื่อหัวข้อในบทความ (Heading) เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพให้ Main Keyword ของบทความให้ถูกค้นพบได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
การเลือกใช้ LSI Keywords ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำ SEO มากขึ้น เพราะการแทรกคำที่เกี่ยวข้องเชิงความหมายอย่าง LSI Keywords นอกจากจะเพิ่มคุณภาพให้กับเนื้อหาบทความ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจบทความได้ดีแล้ว ยังมีผลทำให้บทความ SEO ดังกล่าวนั้นติดอันดับบนหน้าผลการค้นหาได้ดียิ่งขึ้น มารู้จักว่า LSI คืออะไร และทำไมจึงควรต้องนำ LSI Keywords มาใช้ และจะต้องใช้ LSI Keywords อย่างไรให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด

LSI Keywords กุญแจสู่การครองอันดับบน Google
LSI Keywords หรือ Latent Semantic Indexing Keywords คือ คำที่เกี่ยวข้องกับ Keyword หลักในบทความ โดยจะไม่ใช่คำที่มีความหมายเหมือนกันกับ Keywords หลัก เช่น “ดอกไม้ กับ บุปผา” หรือ “ผู้หญิง กับ สตรี” ซึ่ง LSI คือคำที่จะสามารถขยายความหมายของ Keyword หลักให้กว้างขึ้น เช่น
- หาก Keyword หลักคือ ดอกไม้ LSI Keywords จะได้แก่ “กลิ่นหอม” “การจัดดอกไม้” “ความหมายของดอกไม้”
- หาก Keyword หลักคือ “ผู้หญิง” LSI Keywords จะได้แก่ “ความงาม” “แฟชั่น” “การแต่งหน้า” “การดูแลตัวเอง” เป็นต้น
LSI Keywords ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญสำหรับการทำ SEO นั้นมีที่มาจากการที่อัลกอริทึมของ Search Engine ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Google หรือ Bing นั้น มีพัฒนาการที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยจะไม่ได้ทำการจับคู่คำค้นหาของผู้ที่ใช้งานอินเทอร์เน็ตเข้ากับบทความ SEO ที่มี Keywords หลักจำนวนมากอีกต่อไป แต่จะทำการจับคู่จากบริบทของบทความ SEO นั้นๆ แทน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งาน Search Engine สามารถค้นเจอเนื้อหาบทความหรือคอนเทนต์ที่ตรงตามความต้องการมากขึ้น

LSI Keywords สำคัญต่อการทำ SEO อย่างไร
การสร้าง Content ในปัจจุบันนั้นมีเป้าหมายหลักคือส่งต่อถึงผู้อ่านหรือผู้ที่สนใจให้ได้มากที่สุด ดังนั้นจึงมีการทำ SEO ควบคู่กันไป แต่ SEO จะเกิดประสิทธิภาพสูงจะต้องอาศัยความสำคัญของ LSI Keywords ซึ่งจะช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของ Content ที่คุณต้องการได้ดีขึ้น ส่งผลให้มี Engagement เพิ่มขึ้นกับ Content ดังกล่าวอีกด้วย
1. ช่วยให้ Google เข้าถึงเนื้อหาของ Content มากขึ้น
Google ได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนวิธีการจัดอันดับผลลัพธ์ของการค้นหา ด้วยการอิงจากบริบทความเกี่ยวข้องของเนื้อหาโดยรวม มากกว่าการใช้ความถี่หรือปริมาณของ Keyword หลักที่ใช้ใน Content ดังนั้นการใช้ LSI Keywords เป็นองค์ประกอบของเนื้อหาร่วมกับ Keyword หลัก จะช่วยให้ระบบอัลกอริทึมของ Google เข้าใจความหมายและจุดประสงค์ของเนื้อหาที่อยู่ใน Content ของคุณได้ดีขึ้น จึงเพิ่มโอกาสในการผลักดันให้เนื้อหาที่คุณสามารถติดอันดับบนๆ หรืออยู่หน้าแรกของการค้นหาได้ดีกว่าเดิม
ตัวอย่างเช่น หากหน้าเว็บพูดถึง “โรคเบาหวาน” การเพิ่ม LSI Keywords เช่น “ระดับน้ำตาลในเลือด”, “อินซูลิน”, “ภาวะแทรกซ้อน” หรือ “อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน” จะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาและประเมินว่าเป็นเนื้อหาที่มีคุณภาพ ส่งผลให้โอกาสที่หน้าเว็บจะติดอันดับสูงในผลการค้นหาเพิ่มขึ้น และยังช่วยดึงดูดผู้ค้นหาที่ต้องการข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างเจาะจงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ลดการสแปม Keyword หลัก
หลายคนมักจะเข้าใจผิดในการทำ SEO ว่าจะต้องใช้ความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด (Keyword Density) เป็นจำนวนมากในเนื้อหา ถึงจะช่วยให้ติดอันดับการค้นหาของ Search Engine ต่างๆ ได้ง่าย แต่ความจริงแล้วความหนาแน่นของคีย์เวิร์ดก็มีการจำกัดปริมาณด้วยเช่นกัน โดยจะถูกวัดเป็น % ต่อจำนวนคำทั้งหมดในเนื้อหา
ซึ่งไม่ควรเกิน 1 – 2.5% เพราะไม่อย่างนั้น Content ในเว็บไซต์ของคุณจะถูก Search Engine เช่น Google มองว่าเป็นสแปม หรือเป็นเว็บไซต์ที่ทำผิดกฎ ทำให้ถูกลงโทษ โดยการลดการมองเห็นของเว็บไซต์หรือเนื้อหาของคุณลง หรืออาจจะถูกลบออกจากการค้นหาไปเลยก็ได้ ดังนั้นการใช้ LSI Keywords แทนการใช้ Keyword หลักซ้ำๆ นอกจากจะช่วยลดกการสแปมลงแล้ว ยังช่วยพัฒนาคุณภาพของเนื้อหาให้ดีขึ้นได้อีกด้วย

3. ส่งเสริมประสิทธิภาพให้กับคีย์เวิร์ดอื่นๆ ใน Content
การทำ SEO จะมี Keyword หลัก 3 ประเภท เป็นองค์ประกอบ ได้แก่ Mass Keyword, Niche Keyword และ Long-tail Keyword ทั้งนี้การใช้ Keyword หลักทั้ง 3 ประเภทก็ไม่ได้เพียงพออีกต่อไป เนื่องจากจำเป็นต้องมี LSI Keywords ที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับ Keyword หลักมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Niche Keyword และ Long-tail Keyword ส่งผลให้ Search Engine เข้าใจบริบทของเนื้อหาได้ดีขึ้น
ตัวอย่างเช่น
- คือ “โรคเบาหวาน”
- Niche Keyword จะได้แก่ “อาการโรคเบาหวาน” “การรักษาเบาหวาน” และ “ยาเบาหวาน”
- Long-tail Keyword จะได้แก่ “อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน” “สัญญาณเตือนโรคเบาหวาน” “วิธีการควบคุมน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน”
- ส่วน LSI Keyword ที่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพของบทความให้ดีขึ้นคือ “น้ำตาลในเลือด” “อินซูลิน” “ภาวะดื้อต่ออินซูลิน” เป็นต้น
4. เพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ปรากฏขึ้นบน People Also Ask ได้
People Also Ask เป็น Feature ที่ทาง Google ได้คิดค้นขึ้นมา เพื่อรวบรวมคำถามที่ Google ประเมินแล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับ Keywords ที่คนสนใจค้นหา และถ้าหาก Content ในเว็บไซต์ของคุณนั้นสามารถให้คำตอบที่ตรงกับสิ่งที่เป็นคำถามใน People Also Ask ก็จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณยิ่งติดอันดับแรกๆ ของการค้นหาได้ดีขึ้น
ดังนั้นจึงการนำ LSI Keywords มาใช้งาน ก็จะช่วยทำให้ Content ของคุณนั้นมีความเฉพาะเจาะจงและเหมาะสมที่จะเป็นคำตอบอ้างอิงสำหรับคำถามจาก People Also Ask ที่ทาง Google ออกแบบไว้ได้ดีด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณได้ด้วย
ตัวอย่างเช่น การค้นหา Keyword “โรคเบาหวาน” สิ่งที่ปรากฏใน People Also Ask ก็คือ “จะรู้ได้ไงว่าเราเป็นเบาหวาน” และสิ่งที่สามารถเป็นคำตอบของคำถามนี้ได้ จะต้องเป็น LSI Keywords ที่ช่วยขยายความโรคเบาหวาน ได้แก่ “น้ำตาลในเลือด” หรือ “อินซูลิน” เป็นต้น

5. ช่วยในการทำอันดับบน Related Keywords ได้
Search Engine อย่าง Google มักจะมี Related Keywords หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้องปรากฏอยู่ด้านล่างของหน้าค้นหา ซึ่ง Related Keywords นั้นมีจุดประสงค์ในการช่วยให้ User ผู้ใช้งานนั้นสามารถหา Content ที่ตรงตามความต้องการได้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งไอเดียขอ Related Keywords ก็คือสิ่งเดียวกับ LSI Keywords นั่นเอง ดังนั้นหากคุณใช้ LSI Keywords กระจายอยู่ทั่วไปในเนื้อหาของคุณได้อย่างเป็นธรรมชาติและสัมพันธ์กับ Keyword หลัก ก็จะยิ่งช่วยให้เว็บไซต์ของคุณนั้นมีโอกาสติดอันดับในหน้าการค้นหาผ่าน Related Keyword มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น การค้นหา Keyword “ลดความอ้วน” LSI Keywords ที่เกี่ยวข้องคือ “วิธีลดความอ้วน” “สูตรลดน้ำหนัก” “IF” ซึ่งคำเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Related Keyword ที่ Google จะแนะนำให้กับผู้ใช้งานที่กำลังทำการค้นหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
6. ช่วยทำให้เข้าใจ Search Intent ของผู้ใช้งานได้มากขึ้น
Search Intent หรือความต้องการค้นหาของผู้ใช้งานนั้นจะมีความจำเพาะเจาะจงแม้ว่าจะมาจาก Keyword เดียวกันก็ตามเช่น หากค้นหาว่า Apple อาจจะมีทั้ง Apple ที่เป็นแบรนด์สินค้าไอที หรืออาจจะเป็น Apple ที่เป็นผลไม้ก็ได้ แม้กระทั่งการค้นหาด้วยคำว่า Espresso ก็อาจจะขึ้นมาทั้ง Espresso Machine หรือ Espresso Lyrics ก็ได้ด้วยเช่นกัน
สิ่งที่จะช่วยให้ Content ของคุณนั้นตรงตาม Search Intent ของผู้ใช้งานได้มากที่สุดก็คือ LSI Keywords ที่จะมาช่วยทั้งขยายและเน้นบริบทของ Content ของคุณให้มีความเกี่ยวข้อง ส่งผลให้เมื่อ Google เข้าใจ Search Intent ของผู้ใช้งานแล้วก็จะผลักดันให้ Content ของคุณนั้นเป็นอันดับแรกๆ ที่จะนำเสนอให้ผู้ใช้งานได้คลิกเข้าไปเมื่อทำการค้นหาผ่าน Search Engine แล้ว

แชร์ 7 วิธีการค้นหา LSI Keywords ที่นิยมในปัจจุบัน
การค้นหา LSI Keywords นั้นก็มีวิธีการมากมายในปัจจุบันผ่านเครื่องมือต่างๆ ที่อาจจะมาในรูปแบบของเว็บไซต์หรือโปรแกรม โดยมีทั้งแบบฟรีและแบบเสียเงิน โดยวิธีการค้นหา LSI Keyword ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันมีดังนี้
1. Google Autocomplete (Google features)
Google Autocomplete เป็นเครื่องมือที่ทาง Google คิดค้นเพื่อช่วยเติมคำอัตโนมัติตามหลังคำค้นหาที่ผู้ใช้งานพิมพ์ลงในช่องค้นหา ซึ่งคำอัตโนมัติเหล่านี้จะทำหน้าที่เพื่อช่วยคัดเลือกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับความต้องการค้นหาหรือ Search Intent ของผู้ใช้งานให้ได้มากที่สุด ดังนั้นคำอัตโนมัติที่มาจาก Google Autocomplete สามารถใช้เป็น LSI Keywords ก็ได้ด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น เมื่อค้นหาด้วยคำว่า Apple Google Autocomplete ก็จะเติมคำอัตโนมัติอย่าง Apple ID, Apple Watch หรือ Apple TV ให้
2. Google Related Searches (Google features)
Google Related Searches จะมีความคล้ายคลึงกับ Google Autocomplete เพียงแต่จะแสดงผลลัพธ์อยู่ด้านล่างของหน้าการค้นหา โดยจะเป็นคำค้นหาที่มีความเกี่ยวข้อง ซึ่ง Google จะประมวลผลมาจากพฤติกรรมการใช้งาน Search Engine ของผู้ใช้งานเพื่อให้ได้ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาหลักให้ได้มากที่สุด
ดังนั้น Google Related Search ที่ปรากฏก็สามารถนำมาใช้อ้างอิงเป็น LSI Keywords เพื่อช่วยให้เนื้อหาที่คุณสร้างขึ้นมา สามารถส่งถึงผู้ใช้งานที่ต้องการค้นหาได้ง่ายขึ้น

3. Google Snippet Descriptions (Google features)
Google Snippet Descriptions เป็นการไฮไลต์คำที่มีความเกี่ยวข้องกับ Keyword หลักที่ผู้ใช้งานใช้ค้นหา โดยคุณสามารถสังเกตได้จากคำที่ถูกกำหนดให้เป็นตัวหนาในรายละเอียดเว็บไซต์ต่างๆ ที่ปรากฏบนหน้าการค้นหา
ซึ่งคำที่ถูกไฮไลต์ให้เป็นตัวหนาเหล่านี้สามารถนำมาใช้เป็นไอเดียในการสร้างคำ LSI Keywords ได้ และจะมีผลทำให้ Google นั้นประเมินว่าเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณมีความเกี่ยวข้องกับ Keyword หลัก จึงพยายามดันให้เข้ามาอยู่อันดับบนๆ หรือหน้าแรกของการค้นหา เพื่อให้ผู้ใช้งานได้เข้าไปอ่านได้ง่ายขึ้น
4. Google Image Tags (Google features)
Google Image Tags นั้นเป็น Feature ที่มาจากการค้นหารูปภาพของ Google ซึ่งหากคุณคลิกเข้าไปในส่วนของ Google Image จะเห็นว่ามีการแนะนำคำหรือ Keywords เอาไว้ด้านล่างของการค้นหาด้วยเช่นกัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานนั้นสามารถหารูปภาพที่ตรงตามความต้องการให้ได้มากที่สุด ซึ่ง Google Image Tags เหล่านี้ก็นำมาใช้เป็นแหล่งอ้างอิงสำหรับ LSI Keywords เพื่อทำให้เนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณนั้นสามารถเจาะกลุ่มผู้ที่สนใจได้อย่างแม่นยำ
5. Google Keyword Planner (Google features)
Google Keyword Planner เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ในการทำ Keyword Research จาก Google ซึ่งทาง Google นั้นเปิดให้ใช้งานได้ฟรี ผ่าน Google Ads Account ซึ่ง Google Keyword Planner จะช่วยให้คุณนั้นได้ไอเดียใหม่ๆ เกี่ยวกับ Keyword ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ และมีประสิทธิภาพในการดึงดูดผู้ใช้งานให้เข้ามา จนเกิด Traffic ให้กับเว็บไซต์มากขึ้น
ความพิเศษของ Google Keyword Planner นั้นอยู่ที่การช่วยให้คุณรู้ทั้งปริมาณการค้นหาของ Keyword ต่างๆ ในระยะเวลา 1 เดือน และแสดงเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับ Keyword ดังกล่าวได้ย้อนหลังถึง 24 เดือน ดังนั้นจึงถือเป็นโปรแกรมสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถคิดค้นคำที่ใช้เป็น LSI Keywords ใน Content ของคุณได้เป็นอย่างดี
6. LSIGraph
LSIGraph เป็นโปรแกรม Keyword Research ด้วยเช่นกัน แต่สามารถใช้ฟรีได้แค่วันละ 8 ครั้ง ถ้าเกินกว่านั้นจะต้องมีค่าใช้จ่ายโดยเป็นสมาชิกให้กับโปรแกรม ซึ่ง LSIGraph จะมีเครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์จุดเด่นและจุดด้อยของ Keywords ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปริมาณการค้นหา (Volume) หรือแนวโน้มของ Keyword (Trend) ได้
ซึ่ง LSIGraph จะไม่ได้มีประโยชน์แค่การช่วยให้คุณกำหนด LSI Keywords ได้แม่นยำเท่านั้น แต่ยังช่วยประเมินประสิทธิภาพของเนื้อหาที่คุณต้องการนำเสนอเพื่อช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงเนื้อหาให้ผ่านการประเมินจากอัลกอริทึมของ Google ให้ได้มากที่สุด
7. Keyword Keg
Keyword Keg เป็นโปรแกรม Keyword Research ที่มีเครื่องมือย่อยๆ อีก 5 ประเภทคือ Find Keywords Tool, Import Keywords Tool, Related Keywords Tool, People Also Ask For Keywords Tool และ Merge Words Tool ซึ่งแต่ละเครื่องมือนั้นจะมีความสัมพันธ์กับระบบการทำงานของ Search Engine อย่าง Google ดังนั้น โปรแกรมนี้จะสามารถช่วยให้คุณทั้งกำหนด Keyword หลัก ไปจนถึง LSI Keywords ซึ่งเป็นตัวเสริมได้อย่างดี
ใช้ LSI Keywords อย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด
การใช้ LSI Keywords ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดนั้น ควรจะกระจาย LSI Keywords ให้ทั่วทั้ง Content ที่คุณต้องการนำเสนอ เพียงแต่จะต้องมีวิธีการแทรก LSI Keywords ให้มีความเป็นธรรมชาติกลมกลืนไปกับเนื้อหาหรือบทความ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจเนื้อหาอย่างไหลลื่นแล้ว ยังทำให้ Google ประเมินว่าเนื้อหาของคุณนั้นมีคุณภาพมากพอที่จะปรากฏเป็นลำดับต้นๆ ของการค้นหา
- Title Tags (หัวเรื่อง) การใช้ LSI Keywords นั้นสามารถใช้ได้ตั้งแต่ Title Tags ร่วมกับ Keyword หลัก แต่จะต้องนำ Keyword หลักไว้ในตำแหน่งหน้าสุดเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้โดนตัดคำออกไปในขณะถูกทำการค้นหา ทั้งนี้ความยาวโดยรวมของทั้ง Keyword หลักและ LSI Keywords ควรจะอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป
- Meta Description (คำอธิบาย) ในส่วนนี้จะเป็นอีกส่วนที่ปรากฏบนหน้าการค้นหาของ Google ซึ่งจะทำให้อัลกอริทึมของ Google รับรู้ว่าเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณนั้นเกี่ยวกับอะไร ดังนั้นการกระจาย LSI Keywords ให้ทั่วในส่วนของคำอธิบายก็จะทำให้ Google เข้าใจเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณได้อย่างละเอียดมากขึ้น
- Heading (หัวข้อ) เป็นหัวข้อย่อยของเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งการนำ LSI Keywords มาใช้ในส่วนของหัวข้อย่อยๆ จะช่วยให้คุณจัดแบ่งและลำดับเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณได้อย่างเป็นแบบแผนมากขึ้น
- Content (เนื้อหา) การใช้ LSI Keywords ในเนื้อหานั้นไม่ได้มีประโยชน์แค่ในเรื่องของการลดการสแปม Keyword ลงเท่านั้น แต่ยังช่วยให้บทความหรือเนื้อหาของเว็บไซต์นั้นสามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ผู้ใช้งานอ่านได้อย่างไหลลื่น อีกทั้งยังเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาในเว็บไซต์ได้อีกด้วย
- Anchor Text (ลิงก์ตัวอักษร) เป็นการทำลิงก์ภายในบทความเพื่อนำผู้ใช้งานเข้าสู่หน้าบทความอื่นในเว็บไซต์ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งคุณสามารถแทรกลิงก์ของบทความที่เกี่ยวข้องอย่างง่ายดายผ่านการใช้ LSI Keywords ด้วยเช่นกัน อธิบายว่าใช้อย่างไร พร้อมความสำคัญ
- Alt Text, File Name, Title หรือ (ข้อความอธิบายรูปภาพ, ชื่อไฟล์ภาพ, ชื่อภาพ) คือ คำอธิบายรูปภาพที่สามารถเพิ่มไว้ในรูปภาพ ถ้าหากคุณใช้ Keyword หลักเป็นตัวอธิบายก็จะทำให้เกิดการมองว่าบทความของคุณนั้นมีการสแปมเกิดขึ้น ดังนั้นหากใช้ LSI Keywords มาช่วย ก็จะลดปัญหาดังกล่าวลง อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงบทความของคุณผ่าน Keywords อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้
สรุป
LSI Keywords มีความสำคัญต่อการทำ SEO เพราะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจบริบทและความหมายของเนื้อหาได้ลึกซึ้งขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสให้อันดับของเว็บไซต์ดีขึ้น การใช้ LSI คือ สิ่งที่มีความจำเป็นต่อการทำ SEO ในปัจจุบันด้วยเช่นกัน เพราะช่วยสร้างความเกี่ยวข้องของเนื้อหา ลดการสแปมคีย์เวิร์ด และเพิ่มคุณภาพโดยรวมของเว็บไซต์ในสายตา Google
ทั้งนี้การใช้ LSI Keywords จะต้องอาศัยความเข้าใจด้วยเช่นกัน ถึงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำ SEO โดยควรเลือก LSI Keywords จากคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติและกระจายให้สอดคล้องกับบริบท ไม่ยัดเยียดจนดูไม่เป็นธรรมชาติ ใช้คำเหล่านี้เพื่อเสริมความชัดเจนของเนื้อหา ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจและจัดอันดับเว็บไซต์ได้ดีขึ้น พร้อมดึงดูดผู้ค้นหาที่มีความต้องการตรงกับข้อมูล
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
ควรมี LSI Keywords กี่คำในบทความ
LSIGraph แนะนำการใช้ LSI Keywords เอาไว้ว่าให้ใช้ในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 เมื่อเทียบกับคีย์เวิร์ดหลัก และควรจัดวาง LSI Keywords ให้อยู่ในย่อหน้าเดียวกับคีย์เวิร์ดหลัก
ทั้งนี้จำนวน LSI Keywords ที่ใช้จะไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพและความเหมาะสมในการเลือกใช้ เนื่องจาก LSI Keywords ไม่สามารถใช้แทน Keyword หลักได้ แต่จะมีหน้าที่แค่ช่วยเสริมบริบทของบทความเท่านั้น จึงควรจะเลือกที่มีความเกี่ยวข้อง และสามารถเข้ากันได้กับเนื้อหาเป็นหลัก
มี LSI Keywords ในบทความเยอะ จะโดนสแปมไหม
การมี LSI Keywords จำนวนมากในบทความจะไม่ถือว่าเป็นสแปม หากใช้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับบริบทของเนื้อหา
ดังนั้นจึงต้องหลีกเลี่ยงการใส่ LSI Keywords โดยไม่เป็นธรรมชาติหรือใส่แบบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลัก เพราะจะทำให้ Google ประเมินว่าบทความของคุณนั้นไม่มีคุณภาพและส่งผลเสียต่อ SEO ได้ ใช้ LSI Keywords เพื่อสนับสนุนการสื่อสารเนื้อหาโดยไม่ทำให้ดูเป็นการพยายามใส่คีย์เวิร์ดก็เพียงพอแล้ว
ทำไม Google ถึงไม่ใช้ LSI Keywords
ทั้งนี้ Google ไม่ได้ใช้เทคโนโลยี Latent Semantic Indexing (LSI) เนื่องจากมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัย และเหมาะกับการค้นหาข้อมูลในชุดเอกสารที่มีขนาดเล็ก ไม่เหมาะสำหรับการค้นหาทั้งเว็บไซต์ที่มีขนาดใหญ่กว่ามาก ดังนั้นแนวคิดเกี่ยวกับ LSI Keywords จึงไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงในเชิงเทคนิค
แต่ Google ก็ยังให้ความสำคัญกับ Semantics ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ความหมายของ Keywords ต่างๆ ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ความหมายหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้เข้าใจ Search Intent ของผู้ใช้งานให้ได้มากที่สุด
LSI Keywords เหมือนกับ Long-tail Keywords หรือไม่
LSI Keywords และ Long-tail Keywords นั้นไม่เหมือนกัน โดย LSI คือคำหรือวลีที่มีความหมายเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกับ Keyword หลักในเชิงความหมาย ทำหน้าที่ช่วยเสริมบริบทและเพิ่มความชัดเจนให้กับเนื้อหา
Long-tail Keywords คือ Keyword หลักที่มีความยาวและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
โดยมักใช้เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะหรือตอบสนองความต้องการค้นหาที่เฉพาะเจาะจง LSI Keywords จึงช่วยเพิ่มความลึกของเนื้อหา ในขณะที่ Long-tail Keywords ช่วยเจาะจงผู้ใช้งานกลุ่มเป้าหมาย