E-Commerce (อีคอมเมิร์ซ) คืออะไร ช่วยต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างไร

E-Commerce (อีคอมเมิร์ซ) คืออะไร ช่วยต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างไร

Table of Contents

Key Takeaway

  • E-Commerce คือการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านอินเทอร์เน็ต โดยทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น การสั่งซื้อ จ่ายเงิน หรือดาวน์โหลดสินค้าดิจิทัล
  • ประเภทของ E-Commerce มี 4 ประเภทหลักๆ คือ B2C (Business to Consumer) B2B (Business to Business) C2C (Consumer to Consumer) และ C2B (Consumer to Business)
  • คุณสมบัติที่ควรมีของเว็บไซต์ E-Commerce เช่น อินเทอร์เฟซที่เข้าใจง่าย ใช้งานได้ทั้งบนมือถือและคอมพิวเตอร์ รายละเอียดสินค้าและภาพถ่ายที่ชัดเจน ระบบค้นหาสินค้าที่แม่นยำและรวดเร็ว และรองรับการจ่ายเงินออนไลน์ที่สะดวก 


ในปัจจุบันหลายๆ คนหันมาเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวกันมากขึ้น ทั้งแบบมีหน้าร้าน หรือแบบออนไลน์ ซึ่งหนึ่งในธุรกิจที่มาแรงในยุคนี้คงหนีไม่พ้นการทำธุรกิจแบบ E-commerce หรือธุรกิจซื้อขายผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่ธุรกิจประเภทนี้กลายมาเป็นที่สนใจมากขึ้น เพราะสามารถเริ่มทำได้ง่ายผ่านโลกออนไลน์ ไม่ต้องเสียงบประมาณไปกับหน้าร้านก็สามารถเปิดธุรกิจได้

บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับธุรกิจ E-commerce ให้มากยิ่งขึ้นว่าคืออะไรกันแน่ มีกี่ประเภท และมีอะไรบ้าง พร้อมทั้งเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของธุรกิจประเภทนี้ และไปหาคำตอบกันว่าการทำเว็บไซต์ E-commerce ที่ดีควรเป็นอย่างไร 

E-Commerce คืออะไร?

E-commerce หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือการซื้อขายสินค้า หรือบริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบอินเทอร์เน็ต โดยการทำอีคอมเมิร์ซไม่ใช่แค่การค้าขายระหว่างกิจการกับลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการทำธุรกิจค้าขายระหว่างกิจการกับกิจการ และลูกค้ากับกิจการอีกด้วย หรือจะกล่าวง่ายๆ ได้ว่าอีคอมเมิร์ซ คือการซื้อขายออนไลน์ที่พบเห็นได้ในปัจจุบันนั่นเอง

การทำงานของ E-Commerce มีอะไรบ้าง

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ คือการใช้ช่องทางออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชันซื้อขาย เว็บไซต์ หรือช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เป็นตัวกลางในการซื้อขายสินค้า และบริการ การใช้ช่องทางออนไลน์เหล่านี้จะทำให้ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการ พร้อมทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อการซื้อขายเสร็จสิ้น ลูกค้าก็จะได้ SMS ยืนยันการซื้อขาย พร้อมทั้งใบเสร็จที่พิมพ์ออกมาได้

ประเภทของ E-Commerce มีอะไรบ้าง

ประเภทของ E-Commerce มีอะไรบ้าง

เมื่อได้รู้จักความหมาย และการทำงานของอีคอมเมิร์ซกันไปแล้ว มาดูประเภทของธุรกิจ E-commerce ว่ามีอะไรบ้าง แต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร โดย E-commerce มี 4 ประเภท คือ B2B, B2C, C2C และ C2B ดังนี้

Business-to-Business (B2B)

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซประเภท Business-to-Business (B2B) คือการทำธุรกิจออนไลน์แบบธุรกิจต่อธุรกิจ โดยผู้ขายสินค้า หรือบริการจะเป็นธุรกิจหนึ่ง และผู้ซื้อสินค้า หรือบริการก็จะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีความต้องการสินค้าหรือบริการนั้นๆ โดยการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซประเภทนี้จะมีการซื้อขายกันในปริมาณที่มาก พร้อมทั้งข้อกำหนด  และระยะเวลาในการจัดส่งสินค้าที่นานขึ้น

ยกตัวอย่างการทำธุรกิจ E-commerce ประเภท Business-to-Business (B2B) เช่น การที่บริษัท A เป็นธุรกิจเครื่องประดับ ได้สั่งสร้อยคอจากบริษัท B ในจำนวนที่มากๆ เพื่อนำไปออกแบบสร้อยขายสำหรับธุรกิจของตัวเอง

Business-to-Consumer (B2C)

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซประเภท Business-to-Consumer (B2C) คือการที่ลูกค้าซึ่งเป็นคนปกติ สั่งสินค้าจากธุรกิจออนไลน์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เหมือนกับการที่เราสั่งสินค้าออนไลน์ปกตินั่นเอง โดยการซื้อขายจะมีปริมาณน้อย ใช้เวลาในการจัดส่งไม่นาน และไม่ได้มีข้อกำหนด หรือกฎเกณฑ์ที่มากมายนัก

ยกตัวอย่างการทำธุรกิจ E-commerce ประเภท Business-to-Consumer (B2C) เช่นการที่นาย A สั่งซื้อเคสโทรศัพท์มือถือจำนวน 1 ชิ้นจากบริษัท B เพื่อนำไปใช้งานเอง

Consumer-to-Consumer (C2C)

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซประเภท Consumer-to-Consumer (C2C) คือการซื้อขายผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์จากลูกค้าสู่ลูกค้า โดยที่ผู้ขายไม่ใช่บริษัท หรือกิจการใดๆ ส่วนมากจะเป็นการซื้อขายของมือสองที่ใช้แล้ว และการประมูลสินค้าผ่านทางแอปพลิเคชันซื้อขายออนไลน์ หรือผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ

ยกตัวอย่างการทำธุรกิจ E-commerce ประเภท Consumer-to-Consumer (C2C) เช่น การที่นาย A ขายเสื้อผ้ามือสองที่ได้จากร้าน B ให้กับนาย C

Consumer-to-Business (C2B)

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซประเภท Consumer-to-Consumer (C2C) คือการซื้อขายผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์จากลูกค้าสู่ธุรกิจ ทำได้โดยการที่ลูกค้าเข้าไปนำเสนอสินค้า หรือบริการต่างๆ ให้กับบริษัท หรือกิจการ โดยส่วนมากการทำธุรกิจ E-commerce ประเภทนี้จะพบได้ในการทำงานแบบฟรีแลนซ์ โดยจะเสนอให้เหล่าฟรีแลนซ์มีอำนาจในการกำหนดราคา และการต่อรองอื่นๆ มากยิ่งขึ้น

ยกตัวอย่างการทำธุรกิจ E-commerce ประเภท Consumer-to-Business (C2B) เช่น การที่นาย A เข้าไปเสนอขายบริการออกแบบโลโก้ให้กับกิจการ B แล้วตกลงทำธุรกิจกัน

เว็บไซต์ E-Commerce ที่ดี ควรมีคุณสมบัติอย่างไร

เว็บไซต์ E-Commerce ที่ดี ควรมีคุณสมบัติอย่างไร

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า การทำธุรกิจแบบ E-commerce หมายถึง การทำธุรกิจผ่านทางโลกออนไลน์ ดังนั้น สิ่งที่ขาดไปไม่ได้ และต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษเลยคือ การทำเว็บไซต์ให้ออกมาดี และน่าสนใจ ตอบโจทย์ลูกค้าได้ แต่เว็บไซต์ E-Commerce ที่ดี ควรมีคุณสมบัติอย่างไร ไปหาคำตอบกันได้เลย!

ออกแบบมาสำหรับประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้

การออกแบบเว็บไซต์สำหรับการทำ E-commerce ที่ดีไม่ใช่แค่การออกแบบให้สวยงาม และดูหรูหราเท่านั้น แต่ต้องออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ไม่สับสน คำนึงถึงการใช้งานของลูกค้าอยู่เสมอ และควรมีการเลือกใช้สีสันที่สบายตา สื่อถึงตัวแบรนด์ได้ นอกจากนี้ ควรมีการใช้รูปภาพประกอบเพื่อประกอบการตัดสินใจของลูกค้าด้วย

ปรับให้เหมาะกับการดูในมือถือ

จากการสำรวจพบว่า ลูกค้าของธุรกิจประเภท E-commerce จะตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายมากขึ้นถึง 67% หากเว็บไซต์เหล่านั้นมีการออกแบบที่สวยงาม และใช้งานบนมือถือได้ ดังนั้น ควรออกแบบเว็บไซต์สำหรับ E-commerce ให้ใช้งานในมือถือได้ด้วย

มีความเหมาะสมกับเอกลักษณ์ของแบรนด์

จำไว้เสมอว่าเว็บไซต์สำหรับ E-commerce ไม่ใช่แค่ตัวกลางสำหรับซื้อขายเท่านั้น แต่คือตัวช่วยที่ดีสำหรับการแสดงออกถึงความเป็นแบรนด์ของเราด้วย ดังนั้น จึงควรใส่รายละเอียดที่เกี่ยวกับแบรนด์ลงไปในเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นสีของแบรนด์ โลโก้ สโลแกนของแบรนด์ รูปผลิตภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งการออกแบบตัวอักษรสำหรับใช้บนเว็บไซต์ เพราะองค์ประกอบเหล่านี้จะทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำสำหรับลูกค้า เรียกให้ลูกค้ากลับมาใช้งานอีกครั้งได้

อัปเดตข่าวสารอยู่เสมอ

ควรทำเว็บไซต์สำหรับการทำ E-commerce ให้เหมือนกับแหล่งข่าวสาร ตามติดทุกเทรนด์ ทุกสถานการณ์ และนำเอาเทรนด์เหล่านั้นมาทำเป็นคอนเทนต์ลงบนหน้าเว็บไซต์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเท่าทันข่าวสาร มีการอัปเดตเสมอ ไม่ใช่เว็บไซต์ที่เก่าจนเหมือนไม่มีการใช้งานแล้ว

ข้อมูลสินค้ามีรายละเอียดครบถ้วน

รายละเอียดสินค้าคือสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการทำเว็บไซต์ธุรกิจแบบ E-commerce เพราะสิ่งนี้จะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้ ดังนั้น รายละเอียดสินค้าต้องมีครบครัน ทั้งภาพสินค้าที่คมชัด เห็นรายละเอียดสินค้าทั้งหมด อาจจะมีภาพถ่าย หรือวิดีโอทดลองการใช้งานสินค้าอย่างละเอียดชัดเจน พร้อมทั้งเนื้อหาอธิบายส่วนประกอบของสินค้า จุดเด่นของสินค้า และข้อมูลสำคัญอื่นๆ ด้วย

มีระบบค้นหาที่แม่นยำ

เว็บไซต์สำหรับธุรกิจ E-commerce ที่ดี คือเว็บไซต์ที่มีช่องสำหรับการค้นหา โดยเฉพาะธุรกิจที่มีสินค้าที่หลากหลาย ช่องค้นหาจะเป็นตัวช่วยให้ลูกค้าหาสินค้าได้ง่ายมากขึ้น เพิ่มประสบการณ์ใช้งานที่ดีมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หากเพิ่มตัวกรองสำหรับการค้นหาเข้าไปด้วย เช่น สีของสินค้า ขนาดของสินค้า ประเภทของสินค้า รวมไปถึงราคาของสินค้า จะยิ่งทำให้ลูกค้าหาสินค้าที่เฉพาะเจาะจง และรวดเร็วมากขึ้นอีกด้วย

ระบบการชำระเงินไม่ซับซ้อน

ควรออกแบบเว็บไซต์ให้ชำระเงินได้ง่าย ไม่ซับซ้อน อีกทั้งมีช่องทางชำระเงินที่หลากหลาย และครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการตัดผ่านบัตรเครดิต/เดบิต จ่ายผ่านพร้อมเพย์ หรือจ่ายปลายทาง เพื่อเพิ่มทางเลือกจ่ายเงินให้กับลูกค้า เพราะสำหรับลูกค้าบางคนอาจมีช่องทางการชำระเงินที่จำกัด การที่เว็บไซต์เข้าไปช่วยสนับสนุนข้อจำกัดเหล่านั้น จะยิ่งทำให้การซื้อขายเป็นไปได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

มีข้อมูลการจัดส่งสินค้าครบ

อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการจัดส่งสินค้า เพราะในยุคนี้บริษัทขนส่งเอกชนมีให้เลือกหลากหลายมากยิ่งขึ้น เว็บไซต์เองก็ควรมีช่องทางการจัดส่งที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า และหากมีบริการส่งฟรีจะยิ่งทำให้ลูกค้าอยากใช้บริการมากขึ้น เพราะลูกค้าจะรู้สึกคุ้มค่า และรู้สึกว่าไม่ต้องเสียเงินเพิ่มนั่นเอง

มีความน่าเชื่อถือ

การออกแบบเว็บไซต์ แม้ว่าจะดูดี หรือดูสวยงามมากแค่ไหน จะไม่มีประโยชน์เลยหากเว็บไซต์ดูขาดความน่าเชื่อถือ ดังนั้น ควรเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์โดยการใส่รายละเอียดเหล่านี้ลงไปด้วย

  • รูปภาพมีคุณภาพแบบมืออาชีพ เพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยรูปภาพที่ตั้งใจถ่ายอย่างดี เห็นรายละเอียดของสินค้าครบ เคล็ดลับคือการใช้พื้นหลังสีคลีนๆ อย่างสีขาว เพื่อให้ลูกค้าเห็นตัวสินค้าได้อย่างชัดเจน
  • มีความปลอดภัยต่อการใช้งาน การสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ลูกค้าหลายคนอาจจะกังวลเกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ ของตนเอง ดังนั้น จึงควรมีโน้ตเล็กๆ ที่กล่าวถึงความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าไว้ด้วย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกปลอดภัย และอุ่นใจมากขึ้น
  • ข้อมูลติดต่อครบถ้วน ควรมีข้อมูลติดต่อบริษัทที่ชัดเจน ทั้งที่อยู่ อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ พร้อมช่องทางติดต่ออื่นๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในกรณีที่ลูกค้ามีปัญหา
  • มีลิงก์ไปยังนโยบายร้านค้า ช่วยทำให้ลูกค้าทราบการดำเนินการ ข้อกำหนด และนโยบายต่างๆ ของทางร้านค้าได้อย่างครบครัน ช่วยแสดงออกถึงความโปร่งใสของร้านค้าได้
  • มีการรับรอง ควรมีข้อมูลแสดงการรับรองสินค้าตามข้อกำหนดอุตสาหกรรม เพื่อพิสูจน์ถึงความปลอดภัย

มีรีวิวจากลูกค้า

ช่องรีวิวสำหรับลูกค้า เป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความจริงใจ และการเปิดรับสำหรับทุกคำติชมสำหรับลูกค้าได้ นอกจากนี้ หากมีรีวิวดีๆ จะทำให้ตัวสินค้าดูน่าเชื่อถือ และน่าซื้อมาใช้งานได้มากขึ้น เพิ่มโอกาสในการตัดสินใจซื้อของเหล่าลูกค้าใหม่ๆ ได้อีกด้วย

ข้อดี และข้อเสียของ E-Commerce มีอะไรบ้าง

ข้อดี และข้อเสียของ E-Commerce มีอะไรบ้าง

อ่านกันมาจนถึงจุดนี้ หลายคนคงจะคิดว่าการทำธุรกิจแบบ E-commerce คือการทำธุรกิจยุคใหม่ที่น่าสนใจมากจนอยากจะเริ่มทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นของตัวเองกันแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ตัวธุรกิจจะดูน่าสนใจมากเพียงใด แต่ก็มีข้อดี และข้อเสียที่ควรรู้ไว้ ดังนี้

ข้อดี

การทำธุรกิจ E-commerce มีข้อดีที่ทำให้หลายๆ คนหันมาสนใจธุรกิจแนวนี้ ดังนี้

ต้นทุนต่ำ

การทำธุรกิจ E-commerce ช่วยลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าที่ หรือค่าจัดเก็บสินค้า ถึงแม้จะมีค่าจัดส่งสินค้า และค่าพัฒนาเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้นมา แต่ก็นับว่ายังประหยัดกว่าการเปิดหน้าร้านอยู่มาก

การปรับแต่งเฉพาะบุคคล และการแนะนำสินค้า

การใช้งานผ่านเว็บไซต์ช่วยเพิ่มความสะดวกในการสังเกตพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้า หรือบริการของลูกค้าแต่ละคนได้ การติดตามนี้เอง จะมีส่วนช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบสินค้า บริการ หรือโปรโมชันต่างๆ ออกมาได้ตอบโจทย์สำหรับลูกค้าแต่ละคนมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าช่วยทั้งเพิ่มความประทับใจ และเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย

เข้าถึงได้ง่าย

การเลือกซื้อสินค้า หรือบริการผ่านเว็บไซต์ของธุรกิจ E-commerce คือระบบที่อำนวยความสะดวกในการมองหาสินค้าต่างๆ ได้ดีมากกว่าการออกไปเลือกซื้อสินค้าตามหน้าร้าน เพราะมีช่องค้นหาสินค้าที่จะแสดงข้อมูลสินค้าให้พร้อมซื้อได้เพียงปลายนิ้ว ทำให้ปิดการซื้อขายได้อย่างรวดเร็ว

ความรวดเร็วในการเข้าถึง

การเข้าถึงสินค้าอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งระบบชำระเงินที่ใช้งานง่ายดาย เพียงไม่กี่คลิกก็ปิดการขายเรียบร้อยแล้ว ต่างจากการเลือกซื้อตามหน้าร้านที่ต้องใช้เวลาในการเดินทาง มองหาสินค้า และต่อคิวจ่ายเงิน ความสะดวก และรวดเร็วนี้เองทำให้ลูกค้าหันมาเลือกซื้อสินค้า และบริการออนไลน์มากขึ้น

พร้อมใช้งาน

การซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์สามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุดพัก เพราะไม่จำเป็นต้องมีคนเฝ้าหน้าร้านตลอด ทำให้ลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อสินค้าได้ทุกเวลาที่ต้องการ

การเข้าถึงในระดับสากล

การซื้อขายผ่านเว็บไซต์บนโลกออนไลน์ ช่วยทลายข้อจำกัดการขายหน้าร้านแบบเดิมๆ โดยการทำให้ธุรกิจเป็นที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่มุมไหนของโลก ก็เข้ามาซื้อสินค้า และบริการนั้นๆ ได้

ข้อเสีย

เมื่อรู้ข้อดีกันไปแล้ว มาดูข้อเสีย หรือข้อจำกัดของการทำธุรกิจแบบ E-commerce ที่หากใครอยากจะทำธุรกิจแบบนี้ ควรเก็บไปพิจารณาให้ดี โดยข้อเสียของธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีดังนี้

การบริการลูกค้าที่จำกัด

การทำธุรกิจ E-commerce จะมีการบริการลูกค้าที่จำกัด เช่น มีทีมแอดมินที่คอยตอบคำถามลูกค้าแค่บางช่วงเวลาเท่านั้น ไม่สามารถตอบคำถามลูกค้าได้ตลอด และการตอบคำถามจะเป็นการตอบผ่านตัวอักษร หรือการโทรคุยกัน แต่จะไม่เห็นหน้าลูกค้า ต่างจากหน้าร้านที่หากลูกค้ามีข้อสงสัยก็จะเดินไปถามผู้ขายได้ทันที

ประสบการณ์ของสินค้ามีจำกัด

อีกหนึ่งข้อจำกัดของธุรกิจแบบ E-commerce คือการลองใช้งานสินค้าที่มีข้อจำกัด ลูกค้าไม่สามารถจับต้องสินค้าได้จริง ต่างจากหน้าร้านที่มีสินค้าทดลอง สามารถจับต้อง สัมผัส ดมกลิ่น หรือลองใช้ผลิตภัณฑ์ได้ทันที

 ใช้เวลาในการรอ

ระยะเวลาในการจัดส่งสินค้าอาจมีเวลามาก ขึ้นอยู่กับพื้นที่จัดส่ง ทำให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าจากธุรกิจแบบ E-commerce ต้องรอสินค้าเป็นเวลานาน ต่างจากหน้าร้านที่ซื้อสินค้าแล้วจะได้สินค้าทันทีเลย

 มีความเสี่ยง

แม้ว่าเว็บไซต์ของธุรกิจ E-commerce จะมีความปลอดภัย และรัดกุมมากเพียงใด แต่ก็มีโอกาสที่เว็บไซต์จะถูกแฮกจนทำให้ข้อมูลของทั้งลูกค้า และข้อมูลของธุรกิจเองรั่วไหลออกไปได้

สรุป

ธุรกิจแบบอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) คือธุรกิจที่ใช้ช่องทางออนไลน์เป็นตัวกลางในการทำการซื้อขาย โดยธุรกิจ E-commerce แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ B2B, B2C, C2C และ C2B โดยแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับผู้ซื้อ และผู้ขาย อย่างไรก็ตาม หากต้องการให้สินค้า และบริการเป็นที่รู้จัก และขายดี ควรทำเว็บไซต์ให้มีความน่าใช้ และตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า

หากต้องการให้ธุรกิจ E-commerce เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ทำให้เว็บไซต์ขึ้นเป็นอันดับต้นๆ ของการค้นหาบนหน้า Google เข้ามาปรึกษากับทาง Minimice ที่นี่รับทำ E-Commerce SEO ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีการมองเห็นสำหรับลูกค้าได้มากขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากทีมหัวกะทิในการทำ SEO ที่มากประสบการณ์ เคยร่วมงานกับธุรกิจชั้นนำมากมาย

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ E-Commerce

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ E-Commerce

เมื่อได้รู้จักกับธุรกิจ E-commerce ไปแล้วว่าคืออะไร พร้อมทั้งข้อมูลที่น่าสนใจอีกมากมายเกี่ยวกับธุรกิจนี้ บทความนี้ยังได้รวบรวมเอาคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบมาไขข้อข้องใจเพิ่มเติมอีกด้วย ดังนี้

ร้านค้า E-Commerce สามารถใช้ในระบบภาษาอะไรได้บ้าง?

ร้านค้า E-commerce มีภาษามากมายให้เลือกใช้ ยิ่งรองรับภาษาได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้นเท่านั้น โดยภาษาที่พบบ่อยในร้านค้า E-commerce ได้แก่ ภาษาไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม อาราบิก ฝรั่งเศส อิตาเลียน และสวีเดน

E-Commerce กับ E-Business ต่างกันอย่างไร?

E-business ไม่ได้จำกัดแค่การซื้อขายเท่านั้น แต่เป็นการขับเคลื่อนบริษัทผ่านทางออนไลน์ทั้งหมด ต่างจาก E-commerce ครอบคลุมการทำงานแค่เพียงการซื้อขายเท่านั้น ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า E-commerce เป็นส่วนหนึ่งของการทำ E-business

เบราว์เซอร์ที่ใช้งานในระบบร้านค้า E-Commerce มีอะไรบ้าง?

ระบบที่รองรับการใช้งานระบบร้านค้าของเว็บไซต์ E-commerce มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Chrome, Internet Expplorer, Firefox, Microsoft Edge, Opera, Safari และอื่นๆ อีกมากมาย

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง