สำหรับนักการตลาดออนไลน์หลาย ๆ คน ที่ทำงานทางด้าน SEO คงได้ยินคำว่า LSI Keywords ผ่านเข้ามาในช่วง 2-3 ปีนี้กันมาบ้าง ซึ่ง LSI Keywords เป็นอีกหนึ่งในประเภทของ Keyword ที่ช่วยให้บทความ หรือคอนเทนต์ของคุณสามารถทำอันดับได้ดีขึ้นบน Google ดังนั้นบทความนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับ LSI Keywords ให้มากขึ้นไปอีกว่าคืออะไร? มีความสำคัญต่อคอนเทนต์อย่างไรบ้าง? รวมไปถึงวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง และวิธีการค้นหา LSI Keywords เพื่อที่จะนำมาใช้งาน ถ้าพร้อมแล้วมาดูกันเลย!!!
LSI Keywords คืออะไร?
LSI Keywords ย่อมาจาก Latent Semantic Indexing Keywords ซึ่งก็คือ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับ Keyword หลัก แต่ไม่ใช่คำพ้องความหมายที่มีความหมายแบบเดียวกัน ตัวอย่างเช่น คำว่า “พ่อ” กับ “บิดา” หรือ คำว่า “ควาย” กับ “กระบือ” เป็นต้น ซึ่ง LSI Keywords หรือ Latent Semantic Indexing Keywords จะเป็นคำที่จะนำมาใช้ประกอบในการอธิบายบริบท และสิ่งที่คอนเทนต์ต้องการสื่อจริง ๆ เพื่อทำให้คนอ่าน และบอทของ Google สามารถเข้าใจคอนเทนต์นั้นได้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าหาก Keyword หลักของบทความ หรือคอนเทนต์นั้นคือคำว่า “ธนาคาร” LSI Keywords ของคำนี้จะเป็น เงินฝาก, บัญชีเงินฝาก, เงินกู้ หรือ ดอกเบี้ย เป็นต้น
ความสำคัญและประโยชน์ของ LSI Keywords
หากเราย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ประมาณ 2-3 ปี เราจะพบว่า เมื่อก่อน Google นั้นจะค้นหาหัวเรื่อง หรือใจความสำคัญของคอนเทนต์จากการอ้างอิงคีย์เวิร์ดหลักที่พบอยู่ในคอนเทนต์นั้น ๆ เป็นหลัก เช่น หาก Google พบว่าบทความที่เราเขียนมีการใช้คำว่า “การตลาดออนไลน์” ซ้ำไปซ้ำมา Google ก็จะตีความไปเลยว่าบทความที่เราเขียนนี้เกี่ยวข้องกับการตลาดออนไลน์ ทำให้เมื่อก่อนนักทำ SEO หลายคนถึงให้ความสำคัญกับความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด (Keyword Density) เป็นหลัก
แต่ในปัจจุบัน Google ได้มีการพัฒนาบอทของตัวเองให้มีความฉลาดมากขึ้น ทำให้บอทของ Google สามารถทำความเข้าใจบริบทภาพรวมของคอนเทนต์ได้ดีขึ้น ส่งผลให้ Latent Semantic Indexing Keywords เข้ามามีบทบาท และความสำคัญมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากเราเขียนคอนเทนต์ที่ให้คีย์เวิร์ดหลักว่า “ค่า VA” ซึ่งคำว่าค่า VA นั้นสามารถหมายถึง “Voltamp” ที่หมายถึงค่ากำลังไฟฟ้าปรากฏ หรืออาจจะหมายถึง “Visual Acuity” ที่หมายถึงค่าสายตาในการวัดสายตา
ดังนั้นถ้าหากเราต้องการเขียนคอนเทนต์ที่หมายถึงค่ากำลังไฟฟ้า เราจึงควรเลือก LSI Keywords ที่มาประกอบกับคอนเทนต์ได้แก่ “เครื่องใช้ไฟฟ้า”, “โวลต์แอมป์” หรือ “กำลังไฟฟ้าปรากฏ” มาประกอบกับบทความเพื่อให้ Google สามารถเข้าใจได้ว่าเรากำลังเขียนถึงค่า VA ที่หมายถึง “Voltamp” เป็นต้น ในทางกลับกัน หากเราต้องการจะสื่อถึงค่า VA ที่หมายถึง “Visual Acuity” เราก็ควรเลือก LSI Keywords ที่มาประกอบกับคอนเทนต์ได้แก่ “วัดสายตา”, “สายตาสั้น” หรือ “ค่าสายตา” เป็นต้น
ทำไม LSI Keywords จึงสำคัญกับ SEO?
จากหัวข้อที่แล้วทุกคนคงเห็นประโยชน์ และตัวอย่างการใช้งานของ LSI Keywords ไปกันแล้ว คราวนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าทำไม LSI Keywords ถึงสำคัญต่อการทำ SEO
ช่วยให้ Google เข้าในเนื้อหาของ Content มากขึ้น
แน่นอนว่า LSI Keywords เป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ Google สามารถเข้าใจบริบทและภาพรวมของคอนเทนต์นั้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น และสามารถนำส่งเนื้อหานั้นได้ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา เพราะคุณคงไม่อยากให้บทความ “Apple (ผลไม้)” ไปแสดงผลอยู่ในผลลัพธ์การค้นหา “Apple (บริษัท IT)” อย่างแน่นอน
ลดการสแปม Keyword หลัก
หมดยุคแล้วกับการทำ SEO แบบสแปมคีย์เวิร์ดรัว ๆ เพราะในปัจจุบันบอทของ Google มีความฉลาดมากขึ้น หากคุณยังรัวการสแปมคีย์เวิร์ด นอกจากจะไม่ทำให้ติดอันดับแล้ว อาจทำให้หน้าเว็บของคุณเสี่ยงต่อการถูกลงโทษอีกด้วย ซึ่ง LSI Keywords จะเข้ามาช่วยให้คุณสามารถเพิ่มคำที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลักได้อย่างปลอดภัย แถมถ้าหากคุณสามารถทำการกระจาย LSI Keywords ได้ทั่วทั้งเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติ และสมเหตุสมผลก็จะยิ่งส่งผลดีต่ออันดับของคุณอีกด้วย
ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพให้กับคีย์เวิร์ดอื่น ๆ ใน Content
ตามปกติแล้วเรามักจะใช้คีย์เวิร์ดอยู่ทั้งหมด 3 ประเภทในการเขียนคอนเทนต์ ได้แก่ Mass Keyword, Niche Keyword และ Long-tail Keyword ซึ่งคีย์เวิร์ดเหล่านี้ก็เอาไว้ใช้เรียก Traffic ให้กับเว็บไซต์ หรือทำให้หน้าเว็บไซต์ติดอันดับ แต่นอกเหนือจากการใช้คีย์เวิร์ดเหล่านี้แล้ว เรายังสามารถใช้ LSI Keywords ในการส่งเสริมคีย์เวิร์ดที่เป็น Niche keyword และ Long-tail keyword ได้อีกด้วย แน่นอนว่าจะส่งผลทำให้คำเหล่านี้ติดอันดับบนผลลัพธ์การค้นหาได้ดีขึ้นอีกด้วย
เพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ปรากฏขึ้นบน People Also Ask ได้
People Also Ask เป็น Featured Snippets ของ Google ที่จะปรากฏขึ้นมาเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์การค้นหา หรือเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลัก และถ้าเว็บไซต์ของเราสามารถให้คำตอบที่ตรงกับคำถามที่ Google กำลังมองหา ร่วมกับการใช้ LSI Keywords อย่างถูกต้องและเหมาะสม ก็จะทำให้หน้าเว็บไซต์ของเราติดอันดับด้วยฟีเจอร์นี้ได้อีกด้วย
ช่วยในการทำอันดับบน Related Keywords ได้
Related Keywords เป็นกลุ่มคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลัก ซึ่งจะปรากฏอยู่ในส่วนของการค้นหาที่เกี่ยวข้อง ด้านล่างของหน้าผลลัพธ์การค้นหา นั่นหมายความว่าหากหน้าเว็บของคุณมีการใช้ LSI Keywords ที่มีความเกี่ยวข้องกับ Keyword หลัก ก็จะส่งผลให้หน้าเว็บไซต์ของคุณสามารถติดอันดับเพิ่มเติมได้ในส่วนของผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
ช่วยทำให้เข้าใจ Search Intent ของผู้ใช้งานได้มากขึ้น
แน่นอนว่า LSI Keywords มีส่วนช่วยในการนำเสนอผลลัพธ์การค้นหาให้ตรงกับจุดประสงค์ของผู้ใช้มากขึ้น จากการรับรู้ถึงบริบทและใจความของการค้นหาคำคีย์เวิร์ดของผู้ใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณค้นหาคำว่า “แบงค์” ก็จะพบว่า Google พยายามนำเสนอความเป็นไปได้ในการค้นหาของคุณ ไม่ว่าจะเป็น “แบงค์” ที่หมายถึงชื่อดารา บุคคล หรือ “แบงค์” ที่หมายถึงธนบัตร และเมื่อคุณคลิกไปยังคำค้นหาในแต่ละแบบ ก็จะได้ผลลัพธ์การค้นหาที่แตกต่างกันอีกด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่า Google สามารถเข้าใจถึงบริบทของคอนเทนต์ต่าง ๆ ผ่าน LSI Keywords และแสดงผลลัพธ์การค้นหาได้ตรงกับ Search Intent ของผู้ใช้งานได้อย่างตรงจุดประสงค์ถึงแม้ว่าจะมีคำค้นหาที่ใกล้เคียงกันก็ตาม ทำให้ในฐานะนักการตลาดออนไลน์อย่างพวกเราจึงควรทำการศึกษาและค้นคว้าว่า ผู้ใช้งานกำลังต้องการอะไร เพื่อสามารถส่งมอบสิ่งที่ผู้ใช้งานพึ่งพอใจมากที่สุดได้นั่นเอง
วิธีค้นหา LSI Keywords
หลังจากเราเห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ของ LSI Keywords กันแล้ว หลายคนคงอยากรู้กันแล้วว่าเราจะสามารถหา LSI Keywords เพื่อมาประกอบคอนเทนต์ของเราได้จากเครื่องมืออะไรบ้าง หัวข้อนี้เราได้รวบรวมเครื่องมือที่จะช่วยคุณในการหา LSI Keywords มาให้ดูกัน
Google Autocomplete
Google Autocomplete หรือ Google Auto Suggest คือ คำที่ต่อท้าย หรือ คำที่นำหน้า จากการพิมพ์คีย์เวิร์ดลงในช่องการค้นหา โดยสังเกตได้จากด้านล่างของช่องการค้นหา ซึ่งคำเหล่านี้ก็คือ LSI Keywords ที่เราสามารถเลือกมาใช้งานกับคอนเทนต์ของเราได้เลย อย่างเช่น หากเราค้นหาคำว่า Apple ด้านหลังก็จะมีการแนะนำคำที่เกี่ยวข้องกับคำว่า Apple ขึ้นมา เช่น Apple Watch, Apple Thailand, Apple Music เป็นต้น
Google Related Searches
Google Related Searches หรือ การค้นหาที่เกี่ยวข้อง จะเป็นวิธีการหา LSI Keywords ที่คล้าย ๆ กับการหาแบบ Google Autocomplete โดยจะแสดงผลของคำค้นหาแนะนำไว้ด้านล่างของหน้าผลลัพธ์การค้นหา
Google Image Tags
หากเราทำการค้นหารูปภาพบน Google และสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า ด้านบนก่อนส่วนแสดงผลลัพธ์การค้นหาจะมีการแนะนำคำค้นหาเอาไว้ด้วย ซึ่งคำเหล่านี้ก็คือ LSI Keywords ที่เราสามารถหยิบนำมาใช้ประกอบเนื้อหาได้ด้วยเช่นกัน
Google Keyword Planner
Google Keyword Planner คือ เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดที่คนทำงานด้าน Google Ads คงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ในทางกลับกันชาว SEO อย่างเราก็สามารถใช้เครื่องมือนี้ในการหา LSI Keywords ได้อีกด้วย โดยเราสามารถนำ Keyword ในส่วน Idea มาปรับใช้ให้เป็น LSI Keywords สำหรับประกอบเนื้อหาได้เช่นกัน
LSIGraph
LSIGraph เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการค้นหา LSI Keywords แบบเสียเงิน แต่เราสามารถใช้งานแบบฟรี ไม่เสียเงินได้วันละ 8 ครั้ง โดยภายใน LSIGraph จะมีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ และเลือก LSI Keywords ที่เหมาะสมที่สุด เช่น Volume, Trend เป็นต้น
วิธีการใช้ LSI Keywords อย่างมีประสิทธิภาพ
การจะนำ LSI Keywords ไปปรับใช้กับเนื้อหาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ควรมีกระจาย LSI Keywords ให้ทั่วทุกส่วนของเนื้อหาอย่างเหมาะสม และเป็นธรรมชาติ เพื่อให้บอท และผู้ใช้งานเกิดความเข้าในบริบทของเนื้อหาอย่างสูงสุด ไม่ทำให้มองดูว่าเป็นการสแปม โดยเราสามารถนำ LSI Keywords ไปอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของคอนเทนต์ได้ดังนี้
ใช้ใน Title Tags (หัวเรื่อง)
เราสามารถใช้ LSI Keywords ร่วมกับ Keyword หลัก ในการสร้างหัวเรื่อง โดยแนะนำให้นำ Keyword หลัก ไว้คำแรก ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าหัวเรื่องของเราครอบคลุมเนื้อหาภายใน มีความกระชับ และแสดงผลอย่างพอดีบน SERP ไม่โดนตัดออกเวลาแสดงผลทั้งบน Mobile และ Desktop (ไม่ควรเกิน 580px)
ใช้ใน Meta Description (คำอธิบาย)
เราสามารถใช้ LSI Keywords ร่วมกับ Keyword หลัก ในการสร้างหัวเรื่อง โดยแนะนำให้นำ Keyword หลัก ไว้คำแรก ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าหัวเรื่องของเราครอบคลุมเนื้อหาภายใน มีความกระชับ และแสดงผลอย่างพอดีบน SERP ไม่โดนตัดออกเวลาแสดงผลทั้งบน Mobile และ Desktop (ไม่ควรเกิน 580px)
ใช้ใน Heading (หัวข้อ)
การใช้ LSI Keywords ในหัวข้อ Heading นั้นควรที่จะเรียงหัวข้อตามลำดับความสำคัญจากมากไปหาน้อย จาก H1 ไป H2 ไป H3 ตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ดหลักคือ Apple ที่หมายถึงผลไม้ ไม่ได้หมายถึงบริษัท IT ก็อาจจะต้องใส่ LSI Keywords ในหัวข้อเข้าไปด้วย เช่น
H1 : Apple ผลไม้ที่มีประโยชน์
H2 : วิตามินที่อยู่ใน Apple
H2 : หาซื้อ Apple สด ๆ จากสวนผลไม้ และคุณภาพดี ๆ ได้ที่ไหน
ใช้ใน Content (เนื้อหา)
LSI Keywords นอกจากจะมีประโยชน์ในการทำ SEO แล้ว ยังช่วยให้เนื้อหาดูสมบูรณ์ และดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เพราะอย่าลืมว่าเราเขียนคอนเทนต์ให้คนอ่าน ไม่ใช่ให้บอทของ Google อ่าน คงไม่มีใครอยากอ่านบทความที่มีการใช้คีย์เวิร์ดเดิมซ้ำไปซ้ำมา เพราะมันทำให้บทความนั้นดูน่าเบื่อ การที่เราใช้ LSI Keywords เข้ามาช่วยในส่วนของเนื้อหานั้น จะทำให้บทความของเราดูน่าสนใจ และเป็นธรรมชาติ รวมถึงช่วยลดการสแปมคีย์เวิร์ดหลักได้อีกด้วย
ใช้ใน Anchor Text (ลิงก์ตัวอักษร)
Anchor Text เป็นการทำลิงก์ตัวอักษรที่สามารถให้ผู้ใช้งานกดคลิกเพื่อไปหน้าถัดไป หรือหน้าอื่น ๆ ได้ ซึ่งถ้าคุณมีบทความที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาปัจจุบันก็สามารถทำ Anchor Text ด้วย LSI Keywords เพื่อเป็นการเชื่อมโยงเนื้อหาบนเว็บไซต์เข้าหากัน
ใช้ใน Alt Text, File Name, Title (ข้อความอธิบายรูปภาพ, ชื่อไฟล์ภาพ, ชื่อภาพ)
หากบทความของเรามีรูปภาพประกอบ เราสามารถใช้ LSI Keywords ในการตั้งชื่อไฟล์รูปภาพ (File Name) ข้อความอธิบายรูปภาพ (Alt Text) รวมไปถึงชื่อภาพ (Title) ได้ด้วย นอกจากจะทำให้บอทของ Google เข้าใจบริบทของคอนเทนต์เพิ่มแล้ว ยังมีโอกาสทำให้รูปภาพของเราติดคำ Keyword อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องบน Google Image ได้อีกด้วย
ควรมี LSI Keywords กี่คำใน Content?
ในเรื่องของจำนวนในการใช้ LSI Keywords ในคอนเทนต์นั้นไม่ได้สำคัญเท่ากับคุณภาพของการนำมาใช้ เนื่องจาก LSI Keywords นั้นไม่ใช่ Keyword หลักที่ต้องกังวลการสแปม LSI Keywords มีหน้าที่แค่เสริมบริบทให้กับคำ Keyword หลัก ซึ่งช่วยให้ Google เข้าใจบริบทของเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ ได้ดีขึ้น ดังนั้น จึงควรเน้นการใช้ LSI Keywords ที่เป็นธรรมชาติ ไม่ยัดเยียด และต้องเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับ Keyword หลักเท่านั้น แต่ถ้าหากกังวลเกี่ยวกับจำนวนของการใช้ LSI Keywords ทาง LSIGraph ได้มีการแนะนำวิธีการใช้ LSI Keywords ไว้ว่าให้รักษาอัตราส่วน 2 : 1 กับ Keyword หลัก และควรวางเอาไว้ในย่อหน้าเดียวกันกับ Keyword หลัก เพื่อช่วยสนับสนุน ส่งเสริม และสร้างบริบทที่ทำให้บอทของ Google สามารถเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้น
สรุป
รูปแบบการทำ SEO ได้เปลี่ยนจากการเน้นจำนวนคีย์เวิร์ด ไปสู่การนำ Latent Semantic Indexing Keywords หรือ LSI Keywords มาประกอบกับเนื้อหาของคอนเทนต์ในปัจจุบัน เพื่อให้ผู้ใช้งานและบอทของ Google สามารถเข้าใจบริบทของคอนเทนต์ และยังทำให้เนื้อหามีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ทำให้ในฐานะนักทำ SEO อย่างเรา จึงควรทำความเข้าใจเรื่องของ LSI Keywords ให้ดีที่สุด และนำมาปรับใช้กับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของคุณ และเมื่อเราสามารถนำ LSI Keywords มาปรับใช้กับเนื้อหาได้อย่างเหมาะสม จะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด บอทของ Google เข้าใจบริบทเนื้อหาของเราได้ดีขึ้น ส่งผลต่ออันดับของเว็บไซต์ที่ดีขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงเนื้อหาของเรา จากผู้ค้นหาที่มี Intent ตรงกันกับสิ่งที่เราจะต้องจะสื่อสารออกไปจริง ๆ
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
LSI Keywords คืออะไร?
LSI Keywords ย่อมาจาก Latent Semantic Indexing Keywords ซึ่งก็คือ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับ Keyword หลัก แต่ไม่ใช่คำพ้องความหมายที่มีความหมายแบบเดียวกัน ตัวอย่างเช่น “ธนาคาร” LSI Keywords ของคำนี้จะเป็น เงินฝาก, บัญชีเงินฝาก, เงินกู้ หรือ ดอกเบี้ย เป็นต้น
LSI Keywords มีความสำคัญต่อ SEO อย่างไร?
LSI Keywords มีประโยชน์และความสำคัญต่อ SEO ดังนี้
- ช่วยให้ Google เข้าในเนื้อหาของ Content มากขึ้น
- ลดการสแปม Keyword หลัก
- ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพให้กับคีย์เวิร์ดอื่นๆ ใน Content
- เพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ปรากฏขึ้นบน People Also Ask ได้
- ช่วยในการทำอันดับบน Related Keywords ได้
- ช่วยทำให้เข้าใจ Search Intent ของผู้ใช้งานได้มากขึ้น
เราสามารถค้นหา LSI Keywords ได้จากเครื่องมืออะไรบ้าง?
เราสามารถค้นหา LSI Keywords ได้จาก
- Google Autocomplete
- Google Related Searches
- Google Image Tags
- Google Keyword Planner
- LSIGraph