retargeting คือ

เปลี่ยนยอดไลก์เป็นยอดขาย ด้วยกลยุทธ์ Retargeting

Table of Contents

สำหรับหลายคนที่เคยขายของออนไลน์ อาจเคยเจอกับประสบการณ์ ยอดไลก์เยอะแต่ไม่ได้ยอดขาย จนรู้สึกท้อ แน่นอนว่าในการค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นแบบออนไลน์หรือออฟไลน์ ลูกค้าอาจไม่ได้ตัดสินใจซื้อสินค้าหลังการมองเห็นในครั้งแรก 

ดังนั้นการใช้เทคนิค Retargeting จึงเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดสำคัญ ที่จะช่วยเปลี่ยนจากผู้ที่สนใจสินค้าให้กลายมาเป็นลูกค้าของแบรนด์ และทำให้แบรนด์สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ถ้าอยากรู้ว่า Retargeting คืออะไร? ควรใช้ตอนไหน? และมีรูปแบบอย่างไรบ้าง? เรามีคำตอบให้ในบทความนี้ พร้อมแล้วไปอ่านกันได้เลย

retargeting คืออะไร

Retargeting คืออะไร?

Retargeting คือเทคนิคในการทำการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่ง โดยการส่งโฆษณาหรือข่าวประชาสัมพันธ์ชิ้นใหม่ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ เช่น การเข้าชมเว็บไซต์ การกดไลก์ การกดแชร์ การดูวีดีโอ หรือการส่งข้อความเข้ามาพูดคุย ฯลฯ โดยเป็นการตั้งสมมุติฐานว่า การเข้ามาปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์นั้น ย่อมเป็นข้อบ่งชี้ถึงความสนใจในสินค้าหรือบริการของแบรนด์ที่มากกว่าคนทั่วไป ข้อมูลจาก Finances Online เปิดเผยว่า กลุ่มเป้าหมายที่ถูก Retarget (Retargeted Audience) มีแนวโน้มมากกว่า 3 เท่าที่จะกดดูโฆษณาชิ้นใหม่ที่ถูกส่งออกไป และมีโอกาสกว่า 70% ที่คนเหล่านั้นจะกลายมาเป็นลูกค้าของแบรนด์

แคมเปญ retargeting

Retargeting แคมเปญนี้ควรใช้เมื่อไหร่?

การใช้เทคนิค Retargeting คือกลยุทธ์ทางการตลาดที่นักการตลาดออนไลน์และเจ้าของกิจการใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยอาจเลือกใช้แคมเปญ Retargeting เมื่อต้องการ

  • เปลี่ยนผู้ติดตามให้กลายเป็นลูกค้า – ธุรกิจหรือแบรนด์ซึ่งมีผู้ติดตามออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นทางเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย อาจเลือกที่จะทำแคมเปญ Retargeting เพื่อเปลี่ยนให้ผู้เข้าชมกลายมาเป็นลูกค้าของแบรนด์ในที่สุด
  • เพิ่มโอกาสในการปิดยอดขาย – ก่อนที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการของแบรนด์นั้น อาจต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นเสียก่อน การได้รับข้อมูลหรือโฆษณาสินค้าที่สนใจอย่างต่อเนื่อง สามารถเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้เป็นอย่างดี
  • เสนอโปรโมชันพิเศษ – ลูกค้าบางกลุ่มอาจมีความสนใจในตัวสินค้า แต่ติดปัญหาในเรื่องของราคา ดังนั้น สามารถใช้ แคมเปญ Retargeting ในการส่งโปรโมชันพิเศษไปยังกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดยอดขาย
  • บริหารจัดการกับสินค้าในสต๊อค – แคมเปญ retargeting คือเครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์สามารถบริหารสต็อกสินค้าได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหากมีสินค้าที่เหลือค้างในสต๊อคที่ต้องการระบาย อาจใช้วิธีการ ปรับราคาพิเศษ จัดสินค้าเป็นแพ็กเกจ หรือเปลี่ยนเป็นของแถม เพื่อนำเสนอให้กับผู้ที่สนใจ เป็นต้น

ทำไมเราต้องทำ retargeting

ทำไมเราต้องทำ Retargeting?

การทำการตลาดแบบ Retargeting มีเทคนิคหลากหลายรูปแบบ แต่ล้วนมีเป้าหมายที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน โดยจุดประสงค์ในการรันแคมเปญ Retargeting ก็คือ

สร้าง Brand Awareness

โดยส่วนใหญ่แล้ว การที่เราจะตีสนิทใครสักคน เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและมักจะเป็นการพบเจอกันมากกว่าหนึ่งครั้ง ในด้านการตลาดนั้น การทำแคมเปญ Retargeting ก็เปรียบเสมือนการขอโอกาสในการพบเจอกับกลุ่มผู้คน ซึ่งมีความสนใจในตัวสินค้าหรือบริการของแบรนด์อีกครั้ง เพื่อสร้างความคุ้นเคย ความเชื่อมั่น หรือตอกย้ำการรับรู้ตัวตนของแบรนด์ ทำให้กลุ่มคนที่อาจจะมีปฎิสัมพันธ์กับแบรนด์ในระดับผิวเผิน รับรู้ถึงการมีอยู่ของแบรนด์ได้ดีขึ้นนั่นเอง

เพิ่ม Conversion

แน่นอนว่าหลังจากที่ลูกค้าเกิดความไว้วางใจ ชื่นชอบ และคุ้นเคยกับธุรกิจหรือแบรนด์แล้ว ย่อมมีโอกาสในการใช้สินค้าหรือบริการของแบรนด์มากขึ้น ดังนั้นเทคนิคการ Retargeting คือสิ่งที่จะสามารถเปลี่ยนผู้สนใจให้กลายมาเป็นลูกค้าของแบรนด์ และช่วยกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายบรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ได้เป็นอย่างดี

นำส่งโฆษณาตาม Customer Journey

นักการตลาดหลายคนเลือกใช้การทำแคมเปญ Retargeting เพื่อขับเคลื่อนผู้คนไปยังปลายทางของเส้นทางผู้บริโภค (Customer Journey) เช่น กลุ่มเป้าหมายหลายคนอาจจบเส้นทางของผู้บริโภคเพียงแค่เข้ามาที่เว็บไซต์ของแบรนด์ แต่แบรนด์อาจทำแคมเปญ Retargeting โดยการอนุญาตให้กลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้ามาที่เว็บไซต์ ใช้บริการของแบรนด์ได้ฟรีในระยะเวลาที่จำกัด ทำให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวเกิดความสนใจในตัวแบรนด์อีกครั้ง และเพิ่มโอกาสในการกลายมาเป็นลูกค้าที่ยอมจ่ายเงินในอนาคต หลังมีโอกาสได้ลองใช้บริการของแบรนด์ เป็นต้น

ได้ Customer Lifetime Value (CLTV) เพิ่มขึ้น

ค่า CLTV คือจำนวนเงินที่ลูกค้าแต่ละคนใช้จ่ายให้กับแบรนด์ตลอดเวลาที่ยังคงเป็นลูกค้าของแบรนด์อยู่ การใช้แคมเปญ Retargeting คือวิธีที่จะช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้เรื่อย ๆ และช่วยยืดอายุของสถานะลูกค้าออกไปให้ยาวนานขึ้นนั่นเอง

เพิ่มอัตราการชำระเงินในตะกร้าสินค้ามากขึ้น

ในบางครั้งลูกค้าอาจกดสินค้าค้างไว้ในตะกร้าสินค้า แต่ยังไม่ได้ทำการชำระเงิน เพราะลืมหรือยังไม่พร้อมที่จะชำระเงินในวันนั้น แคมเปญ Retargeting คือ กุญแจดอกสำคัญที่จะช่วยเตือนให้ลูกค้ากลับมาสนใจในตัวสินค้าและทำการซื้อให้เสร็จสมบูรณ์

แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่

การทำแคมเปญ Retargeting คือโอกาสในการนำเสนอสินค้าแก่กลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบแบรนด์อยู่แล้ว ลูกค้าเก่าของแบรนด์ย่อมมีความคุ้นเคยกับสินค้าและบริการ รวมถึงมีความไว้วางใจแบรนด์ในระดับหนึ่ง ดังนั้นการนำเสนอสินค้าใหม่กับลูกค้ากลุ่มเดิม จึงมีโอกาสในการประสบความสำเร็จ มากกว่าการขายสินค้าให้กับลูกค้ากลุ่มใหม่

retargeting และ remarketing

Retargeting vs Remarketing

Retargeting และ Remarketing เป็นคำสองคำที่ถูกใช้แทนกันบ่อย ๆ และความหมายของทั้งคู่ยังคงเป็นที่ถกเถียงของนักการตลาดออนไลน์อยู่เสมอ จริง ๆ แล้วเทคนิคทั้งสองรูปแบบนี้มีความคล้ายคลึงกันมาก แต่ข้อแตกต่างหลักของทั้งสอง อยู่ที่ลักษณะของข้อมูลต้นทางที่ถูกนำมาใช้สร้างแคมเปญการตลาด กล่าวคือ

Retargeting คือการทำการตลาดกับกลุ่มคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับโซเชียลมีเดีย การค้นหาบนเสิร์ชเอนจินหรือการเข้าเยี่ยมเว็บไซต์ ยกตัวอย่างเช่น การส่งโฆษณาสินค้าราคาพิเศษ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของแบรนด์ เป็นต้น

แต่ Remarketing คือการทำการตลาดกับลูกค้าซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลเดิม เช่น กลุ่มคนที่เคยสมัคร Newsletter บนเว็บไซต์ของแบรนด์ หรือ ลูกค้าเก่าที่เคยซื้อสินค้ามาแล้ว และมักใช้อีเมลเป็นช่องทางหลักในการทำแคมเปญโฆษณา ยกตัวอย่างเช่น การส่งอีเมลอัพเดทให้ลูกค้าที่เป็นสมาชิกทราบว่า จะได้ส่วนลดพิเศษในช่วงเดือนเกิด เป็นต้น

กล่าวง่าย ๆ ก็คือ Retargeting คือการทำการตลาดกับกลุ่มที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ แม้จะอยู่ในระดับผิวเผินก็ตาม ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่อยู่ในฐานข้อมูล แต่การทำ Remarketing คือการทำการตลาดกับกลุ่มลูกค้า ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลเดิมนั่นเอง

ประเภทของการทำ retargeting

5 ประเภทของการทำ Retargeting

การทำ Retargeting นั้นถูกแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ โดยแต่ละแบบมีข้อดี ข้อเสีย และเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป รูปแบบของการทำ Retargeting ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน คือ

Pixel-Based Retargeting

Pixel-Based Retargeting คือ หนึ่งในรูปแบบของการทำการ Retargeting ที่สามารถพบเจอได้บ่อยที่สุด โดยเป็นการส่งชิ้นโฆษณาไปยังกลุ่มคนที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมหรือมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์ที่ถูกฝัง Pixel เอาไว้ ข้อดีของ Pixel คือความสามารถในการเก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวของผู้เข้าชมเว็บไซต์ในทุกขั้นตอน โดย Pixel นั้นเปรียบเสมือนเครื่องหมายที่บ่งบอกกับเจ้าของเว็บไซต์ว่า ใครบ้างที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ เข้าไปที่หน้าไหนบ้าง มีการกดสั่งสินค้าหรือไม่ ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่เจ้าของเว็บไซต์สามารถนำไปใช้ทำการตลาดที่เหมาะสมต่อไปได้

List-Based Retargeting

List-based Retargeting (หรือบางคนอาจเรียกว่า Remarketing) คือ การส่งชิ้นโฆษณาไปยังกลุ่มคนที่อยู่ในฐานข้อมูลเดิม ไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ หรือลิสต์อีเมลก็ตาม โดยแพลตฟอร์มเช่น Meta หรือ Twitter อนุญาตให้สามารถทำการอัพโหลดลิสต์ข้อมูล เพื่อตั้งเป็น Audience ในการใช้ยิงโฆษณา ข้อเสียคือต้องมีการอัพเดทฐานข้อมูลอยู่บ่อย ๆ และต้องได้รับข้อมูลการติดต่อที่ถูกต้อง จึงจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น หากลูกค้าสะกดอีเมลผิด หรือใช้อีเมลปลอม อาจทำให้ลิสต์นั้นกลายเป็นลิสต์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลที่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง เป็นต้น

ข้อดีอีกอย่างของการมีข้อมูลลูกค้าคือ สามารถนำฐานข้อมูลที่มีมาสร้าง Lookalike Audience ได้ การสร้าง Lookalike Audience คือ การให้แพลตฟอร์มที่จะทำการยิงโฆษณา ทำการประมวลหาลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีพฤติกรรมหรือความสนใจ ใกล้เคียงกับกลุ่มที่ตั้งค่าเอาไว้ หากฐานข้อมูลมีความแม่นยำและมีจำนวนที่มากพอ จะยิ่งทำให้แพลตฟอร์มสามารถสร้าง Lookalike Audience ที่มีคุณภาพมากขึ้น ถือเป็นเครื่องมือการตลาดออนไลน์อีกตัวที่ไม่ควรมองข้าม  

Cross-Channel Retargeting Ads

การเข้ามาของโซเชียลมีเดีย มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกมของการทำการตลาดออนไลน์เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง โดย Cross-Channel Retargeting คือการทำ Retargeting Ad ที่เป็นการเชื่อมต่อประสานกันระหว่างหลากหลายแพลตฟอร์ม โดยแบรนด์สามารถส่งชิ้นโฆษณาข้ามแพลตฟอร์มและเลือกรูปแบบที่โฆษณาชิ้นนั้นจะไปปรากฏบนช่องทางต่างๆ เช่น กลุ่มเป้าหมายอาจเข้ามาที่เว็บไซต์เป็นอันดับแรก และถูกแปะ Pixel หลังจากนั้น คนกลุ่มนี้ก็จะเห็นโฆษณาของแบรนด์ บน Meta หรือ Instagram ด้วยเช่นกัน เป็นต้น

Email Retargeting Ads

เป็นกลยุทธ์การทำ Retargeting ที่เจาะไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ได้ทำการเปิดอ่านอีเมล์ที่ถูกส่งออกไป โดยสามารถนำอัตราการเปิดอ่านอีเมล์ มาเป็นสถิติในการบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของอีเมลที่ส่งออกไปได้

Dynamic Retargeting Ads

เป็นเทคนิคการทำแคมเปญ Retargeting ที่ต้องใช้ Pixel บนเว็บไซต์ เพื่อช่วยในการส่งชิ้นโฆษณาที่เหมาะสมไปยังเป้าหมายที่จำเพาะเจาะจง โดยชิ้นโฆษณาที่จะถูกส่งไปยังผู้รับนั้นจะสอดคล้องกับพฤติกรรมของพวกเขาในขณะที่อยู่บนเว็บไซต์ เช่น หากผู้เข้าชมเว็บไซต์ทำการกดเข้ามาดูสินค้า A ก็จะได้รับโฆษณาของสินค้า A ในขณะที่ผู้ที่เข้าไปชมสินค้า B ก็จะได้รับเฉพาะโฆษณาของสินค้า B เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้า เป็นต้น

เทคนิคการทำ retargeting

เทคนิคการทำ Retargeting ให้คนเห็นโฆษณาไม่เบื่อเรา

การทำ Retargeting ที่มีประสิทธิภาพนั้น ต้องมีการวางแผนที่ดี เพราะการส่งชิ้นโฆษณาไปยังกลุ่มคนที่ไม่ต้องการเห็นโฆษณา หรือแม้แต่การทำให้เห็นบ่อยจนเกินไป อาจทำให้ผู้คนเกิดความเบื่อหน่าย รำคาญ และส่งผลกระทบในด้านลบต่อแบรนด์ได้ มาดูกันดีกว่าว่ามีเทคนิคอะไรบ้างที่ช่วยให้การทำ Retargeting ของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • ติด Pixel ให้ URL แบบจำเพาะ: หัวใจของความสำเร็จในการทำ Retargeting คือความแม่นยำ การยิงโฆษณา Retargeting ไปยังกลุ่มคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ อาจเป็นกลุ่มเป้าหมายที่กว้างมากเกินไป ดังนั้นจึงควรมีการวางแผนในการจัดวาง Pixel ใน URL ที่เราต้องการ เพื่อให้สามารถส่งชิ้นโฆษณาไห้ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เช่น อาจทำการแปะ Pixel ในการคัดแยกระหว่างกลุ่มคนที่เข้ามาอ่านบทความเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและบทความที่เกี่ยวกับสุนัข โดยสามารถเล็งโฆษณาน้ำผลไม้สุขภาพไปยังกลุ่มแรก แล้วส่งโฆษณาอาหารเสริมสุนัขไปยังกลุ่มที่สอง เป็นต้น
  • ทำ A/B Testing: การทำ A/B testing ยังคงมีความสำคัญกับการยิง Retargeting Ad เช่นเดียวกับการยิงโฆษณาแบบทั่วไป เพราะทำให้สามารถรู้ได้ว่า กลุ่มเป้าหมายตอบสนองกับโฆษณาชิ้นไหนมากที่สุด ทำให้สามารถเห็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบโฆษณาให้ตรงกับความต้องการของตลาดได้มากยิ่งขึ้น
  • เล็งกลุ่มเป้าหมายแบบจำเพาะ: แพลตฟอร์มเช่น Meta อนุญาตให้นักการตลาดสามารถสร้าง Custom Audience หรือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบจำเพาะในการยิงโฆษณา การสร้าง Custom Audience คือ การสร้างกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์คาดการณ์ว่า น่าจะมีความสนใจสินค้าหรือบริการของแบรนด์ โดยสามารถคัดกรองจากตัวแปรหลายอย่าง เช่น เพศ อายุ สถานที่อยู่อาศัย สภาพสมรส ความสนใจ วุฒิการศึกษา และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายตัวอย่างของการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย เช่น กำหนดให้ส่งโฆษณาผ้าอนามัยไปยังกลุ่มผู้หญิง อายุระหว่าง 18-40 ปี ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และเข้ามาที่เว็บไซต์ของแบรนด์ผ้าอนามัยใน 90 วันที่ผ่านมา เป็นต้น หากไม่มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว โฆษณาอาจถูกส่งไปยังลูกค้าผู้ชาย ซึ่งไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ และเป็นสิ่งที่ไม่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย
  • แบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ: ลูกค้าแต่ละคนต่างอยู่ในคนละส่วนของเส้นทางผู้บริโภค กล่าวคือมีทั้งกลุ่มผู้ที่เพิ่งรู้จักกับแบรนด์ ผู้ที่คุ้นเคยกับแบรนด์ในระดับหนึ่ง และผู้ที่เป็นลูกค้าของแบรนด์อยู่แล้ว แน่นอนว่ากลุ่มต่างๆ เหล่านี้ ย่อมต้องการอยากเห็นชิ้นโฆษณาที่แตกต่างกันออกไป เพราะการส่งโฆษณาชิ้นเดิมๆ ไปหาลูกค้าเก่า อาจทำให้เกิดความรำคาญได้ ดังนั้น จึงควรมีการแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็นกลุ่มย่อย เพื่อให้สามารถกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

การทำ Retargeting คือกลยุทธ์อันทรงพลังที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถเปลี่ยนผู้สนใจ ให้กลายมาเป็นลูกค้าได้ไม่ยาก เพราะสำหรับการทำ Retargeting นั้น ทุก ๆ การปฏิสัมพันธ์สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลในการทำการตลาดได้ทั้งหมด จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักการตลาดทุกคนควรที่จะศึกษา และทำความเข้าใจ เพื่อให้สามารถทำสื่อโฆษณาที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มลูกค้าเดิม และช่วยเพิ่มการรับรู้ตัวตนของแบรนด์ต่อผู้กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ อยู่เสมอ หากนำไปปรับใช้อย่างเหมาะสมแล้ว เชื่อว่าจะช่วยให้ธุรกิจหรือแบรนด์ของคุณเติบโตขึ้นได้อย่างยั่งยืนแน่นอน

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

Retargeting คืออะไร?

Retargeting คือเทคนิคในการทำการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่ง โดยการส่งโฆษณาหรือข่าวประชาสัมพันธ์ชิ้นใหม่ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ เช่น การเข้าชมเว็บไซต์ การกดไลก์ การกดแชร์ การดูวีดีโอ หรือการส่งข้อความเข้ามาพูดคุย

Retargeting ต่างจาก Remarketing ยังไง?

Retargeting คือการทำการตลาดกับกลุ่มที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ แม้จะอยู่ในระดับผิวเผินก็ตาม ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่อยู่ในฐานข้อมูล แต่การทำ Remarketing คือการทำการตลาดกับกลุ่มลูกค้า ซึ่งอยู่ในฐานข้อมูลเดิมนั่นเอง

การทำ Retargeting มีกี่ประเภท?

การทำ Retargeting มีอยู่ด้วยกัน 5 ประเภท ดังนี้

  1. Pixel-Based Retargeting
  2. List-Based Retargeting
  3. Cross-Channel Retargeting Ads
  4. Email Retargeting Ads
  5. Dynamic Retargeting Ads
Jirayu Studio

Jirayu Studio

Web Developer

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit, sed do eiusmod tempor incididunt ut labore et dolore magna aliqua. Ut enim ad minim veniam, quis nostrud exercitation ullamco laboris nisi ut aliquip ex ea

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง