ตอนนี้ ธุรกิจไหนๆ ก็ต้องวิ่งเข้าหาโลกดิจิทัล อีกโลกใหม่ที่ชี้ชะตาและพาความสำเร็จมาสู่ธุรกิจในยุคออนไลน์ “เว็บไซต์” เองก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อลูกค้าเข้ากับสินค้าและบริการ ผ่านการค้นหาข้อมูลใน Search Engine กระบวนการทำเว็บไซต์ให้เอื้อต่อการติดอันดับใน Search Engine หรือเรียกว่า Search Engine Optimization (SEO) จึงเข้ามามีบทบาทในการทำการตลาดออนไลน์ และสิ่งที่จะทำให้กระบวนการนี้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นก็คือ การทำ Keyword Research
การทำ Keyword Research คือ หนึ่งในกระบวนการค้นหา วิเคราะห์ และคัดกรอง “คำสำคัญ”หรือ”คีย์เวิร์ด” ที่ผู้ใช้งาน หรือ Users ต้องการค้นหา โดยการหาคีย์เวิร์ดเหล่านั้น ต้องผ่านขั้นตอนการวิเคราะห์คำค้นหา วิเคราะห์คู่แข่ง รวมถึงวิเคราะห์เว็บไซต์ ก่อนนำคีย์เวิร์ดที่ได้มาทำเป็นบทความเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์
นอกจากการทำ Keyword Research จะมีความสำคัญเป็นอย่างมากแล้ว การทำ Search Query ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะ Search Query คือการนำคำมารวมกันเพื่อให้ได้เนื้อหาหรือข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ซึ่งหากใครต้องการเรียนรู้เทคนิคการค้นหาคีย์เวิร์ด เพื่อนำไปพัฒนาบทความ SEO นั้น บอกเลยว่าไม่ยากอย่างที่คิด เพราะเราได้รวมเทคนิคที่สำคัญสำหรับมือใหม่เอาไว้ให้หมดแล้ว
Keyword Research สำคัญต่อการทำ SEO ยังไง
หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วการทำ Keyword Research มีความสำคัญอย่างไรกับการทำ SEO ล่ะ? เราก็ต้องบอกเลยว่าความสำคัญของมัน คือ เป็นขั้นตอนเริ่มแรกที่ช่วยให้ได้คำหรือกลุ่มคำที่เหมาะสมและตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายและธุรกิจมากที่สุด อีกทั้งการทำ Keyword Research ที่ดียังช่วยเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ให้มากขึ้นได้ด้วย
โดยสรุปแล้ว การทำ Keyword Research มีความสำคัญดังนี้
- ช่วยให้ค้นหาคีย์เวิร์ดที่มี Search Volume สูง ๆ ได้: การที่คีย์เวิร์ดนั้น ๆ มี Search Volume สูงหมายความว่ามีคนค้นหาคำดังกล่าวในปริมาณสูง ซึ่งหากเราใช้คีย์เวิร์ดในบทความ SEO ก็จะช่วยเพิ่มผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือ Website Traffic ได้มากยิ่งขึ้น
- ช่วยให้ค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีคู่แข่งน้อยได้: ยิ่งเราเลือกคีย์เวิร์ดที่มีคู่แข่งค่อนข้างน้อย ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสที่ทำให้ติดหน้าแรกของ Google มากยิ่งขึ้น และช่วยให้การยิงแอดโฆษณามีราคาที่ถูกลงอีกด้วย
- ช่วยให้เข้าใจถึงความยาก-ง่ายในการจัดอันดับบทความ: นอกจากการเลือกคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งน้อยแล้ว การเข้าใจถึงความยาก-ง่ายในการจัดอันกับบทความหรือเรียกว่า KD (Keyword Difficulty) ก็จะช่วยให้เลือกคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพได้ เพราะแม้จะมีคู่แข่งน้อย แต่หากมีค่า KD ตัวนี้สูง ก็จะต้องใช้เวลาในการไต่อันดับมากขึ้นเช่นกัน
- ช่วยเพิ่มไอเดียในการทำคอนเทนต์ใหม่ๆ: แน่นอนว่าอีกความสำคัญของการทำ Keyword Research คือ ช่วยเป็นแนวทางในการทำและสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆ ออกมา
- ช่วยให้เข้าใจเทรนด์ในปัจจุบัน: การเข้าใจ Search Intent ของ Users จะช่วยให้เราสามารถออกแบบและสร้างสรรค์บทความให้ทันกับกระแสที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและเหมาะสมกับช่วงเวลาได้ดีมากยิ่งขึ้น
รู้จักประเภทของ Keywords ที่ทาง Minimice เลือกใช้ มีอะไรบ้าง
Keywords คือ คำค้นหาที่ Users ต้องการค้นหาเพื่อให้ Google แสดงผลการค้นหาที่ถูกต้องและตรงตามความต้องการในหน้าผลการค้นหา ซึ่งสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท และสามารถนำใช้ประโยชน์ในการสร้างสรรค์บทความของเราได้ มาดูประเภทของ Keywords กันเลย
Generic Keywords
Generic Keywords คือ คำค้นหาทั่วไป ซึ่งเป็นคำค้นที่ค่อนข้างกว้าง ไม่ได้เฉพาะเจาะจงถึงลักษณะ หรือเน้นเฉพาะแบรนด์ใดเป็นพิเศษ อาทิ หม้อหุงข้าว ฟ้าทะลายโจร อาหารแมว สีทาบ้าน หรือโทนเนอร์ เป็นต้น
เมื่อ Users พิมพ์คำค้นหาเหล่านี้ลงไป จะพบเพียงข้อมูลทั่วไปของคำค้นหาเหล่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม Generic Keywords ก็มีความสำคัญไม่แพ้คีย์เวิร์ดประเภทอื่นๆ เพราะ Generic Keywords มีปริมาณ Search Volume ที่สูงมาก นั่นทำให้ความยากของการทำคีย์เวิร์ดประเภทนี้คือจำนวนของคู่แข่งที่ค่อนข้างสูง จะทำให้บทความ SEO ติดอันดับสูงๆ บน Search Engine ค่อนข้างลำบากและใช้เวลานาน
On Core Keywords
On Core Keywords หรือ Niche Keywords เป็นคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและสินค้า โดยบอกถึงลักษณะ หมวดหมู่ หรือแบรนด์สินค้าอย่างชัดเจน มักเริ่มต้นด้วย Generic Keywords และบอกลักษณะต่อท้ายเพื่อขยายความให้เฉพาะเจาะจงลงไป อาทิ น้ำหอม Dior, แชมพู สำหรับคนผมร่วง, จองคอนเสิร์ต Blackpink, ครีมซอง สำหรับคนเป็นสิว เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์คือการแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการให้แก่ Users
การใส่ลักษณะเพิ่มเติมลงไปในคำค้นหาจะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับหน้าแรกบน Google มากยิ่งขึ้น และเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ช่วยกระตุ้นยอดขาย และสร้างเนื้อหาให้ตอบสนอต่อความต้องการของผู้ใช้งาน หรือเรียกว่าตอบ Users Intent มากยิ่งขึ้น
Long-tail Keywords
Long-tail Keyword คือ คำค้นหาที่เป็นวลี กลุ่มคำ รวมถึงประโยคที่เฉพาะเจาะจงถึงสินค้าและบริการ โดยระบุชัดถึง สินค้า รุ่น ยี่ห้อ สีอะไร โดยสามารถยกตัวอย่าง เช่น วิธีการลดน้ำหนักภายใน 1 เดือน, ร้านขายเฟอร์นิเจอร์วินเทจย่านบางรัก, สีทาบ้าน TOA แบบกันน้ำ, กระเป๋า Chanel มือสอง ราคาแสนต้นๆ, จอง Nike Airmax ร้าน Carnival
จะเห็นได้ว่าการทำ Long-tail Keywords นั้นระบุลักษณะที่ค่อนข้างชัดเจน อย่างไรก็ตาม คีย์เวิร์ดประเภทนี้มี Search Volume ที่ต่ำกว่ารูปแบบอื่นๆ แปลว่า มีจำนวนการค้นหาที่ค่อนข้างต่ำนั่นเอง แต่ข้อดีของคีย์เวิร์ดประเภทนี้ คือ มีราคา CPC (ต้นทุนต่อคลิก) รวมถึงค่า KD (SEO Keyword Difficulty) ไม่สูงมากนัก มีคู่แข่งค่อนข้างน้อย มีโอกาสติดอันดับ Raking สูงๆ ง่าย รวมถึงมีโอกาสเกิด Conversion สูง เนื่องจากคีย์เวิร์ดมีความเจาะจง ทำให้ผู้ใช้งานที่เข้ามามีความต้องการที่เฉพาะอยู่แล้ว
Long-tail Keywords เป็นพระเอกของงาน จริงหรือไม่?
อย่างที่บอกไปว่าคีย์เวิร์ดแต่ละประเภทมีความสำคัญไม่แพ้กัน แต่ปัจจุบัน Long tail Keywords ได้รับความนิยมในหมู่คนทำ SEO เป็นอย่างมาก มาหาคำตอบกันว่าเพราะอะไร ?
ทำไมต้องโฟกัสที่ Long-tail Keywords
Long-tail Keywords มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากช่วยเพิ่มโอกาสให้บทความ SEO ติดอันดับอยู่บนหน้าแรกของ Google ได้ง่ายกว่าและใช้เวลาน้อยกว่า Generic Keywords อีกทั้งยังได้ Users ที่มีความต้องการใช้งานสินค้าและบริการนั้นอย่างแท้จริง ส่งผลให้จำนวนผู้เยี่ยมชมภายในเว็บไซต์และ Conversion rate สูงขึ้นอีกด้วย
การหา Long-tail Keywords
สำหรับการหา Long-tail Keywords นั้น ไม่ยากอย่างที่คิด โดยหากต้องการเขียนบทความ SEO ให้ตรงกับ Intent ของผู้ค้นหา เพื่อให้ลูกค้าได้รับข้อมูลสินค้าและบริการของบริษัท สามารถเริ่มต้นจากการเลือก Long-tail Keywords ที่ตรงกับลักษณะของสินค้าและบริการแบบเฉพาะเจาะจง โดยอาจจะเพิ่ม Long-tail Keywords ที่เป็นลักษณะเด่นของผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่เรานำเสนอขาย รวมถึงใช้เครื่องมือในการค้นหา และสังเกต Users ผ่านวิธีต่าง ๆ ดังนี้
- ค้นหาจากการแนะนำของ Google
- ค้นหาจากเว็บไซต์ของคู่แข่ง
- สังเกตพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค
- ใช้เครื่องมือในการค้นหา (Keyword Research Tools) อาทิ Google Trend, Google Keyword Planner หรือ Ubersuggest เป็นต้น
Keyword ที่ดีเป็นยังไง
เมื่อรู้ถึงวิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดแล้ว สิ่งที่จำเป็นอย่างต่อมาคือ การค้นหาคีย์เวิร์ดที่ดีและเหมาะสมสำหรับนำไปใช้ในการเขียนบทความ SEO โดยสามารถเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีจากหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
- มีคนเสิร์ช: คีย์เวิร์ดที่ดีต้องมีคนค้นหา เพราะไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะสร้างบทความชิ้นนึงออกมาแล้วไม่มีคนอ่าน แม้ว่าคำดังกล่าวจะเป็นคำที่พิมพ์ผิดก็ตามแต่ถ้าหากว่ามีคนเสิร์ชด้วยคำนี้อยู่ ก็สามารถเป็นคีย์เวิร์ดที่ดีได้
- เกี่ยวข้องกับสินค้า บริการ และจุดประสงค์ของเว็บไซต์: การทำคีย์เวิร์ดที่ดีต้องมองเห็นว่าคีย์เวิร์ดดังกล่าวก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสินค้า บริการ หรือจุดประสงค์ของเว็บไซต์ของเราได้อย่างไรบ้าง? เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนเห็นและเข้าถึงเว็บไซต์ รวมถึงซื้อสินค้า และบริการของคุณมากขึ้น
- Search Volume ปริมาณสูง: เพราะ Search Volume ยิ่งมาก ยิ่งเพิ่มโอกาสให้คนเข้าเว็บไซต์เราได้สูงมากยิ่งขึ้น
- High Commercial Intent: คือคีย์เวิร์ดที่เป็นที่ต้องการของผู้ใช้อยู่แล้ว อาทิ การจองที่พักหรือร้านอาหาร
เครื่องมือในการทำ Keyword Research
เครื่องมือในการทำ Keyword Research หรือ Keyword Research Tools คือ เครื่องมือที่บอกว่า Users กำลังใช้คำใดค้นหาข้อมูลบน Search Engine รวมทั้งวิเคราะห์การค้นหา การแข่งขัน และดูคุณภาพของคีย์เวิร์ดที่ Users ใช้ไปด้วยในตัว ซึ่งทาง Minimice ได้เลือกใช้เครื่องมือในการค้นหาคีย์เวิร์ด 4 เครื่องมือหลักด้วยกัน โดยมีวิธีใช้และรายละเอียด ดังนี้
Google Keyword Planner
Google Keyword Planner เครื่องมือในการค้นหาคีย์เวิร์ดฟรีจาก Google ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ในการทำคอนเทนต์เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากออกแบบโดยตัว Google เอง และช่วยให้เราค้นพบคำค้นหาที่สำคัญได้อย่างง่ายดาย
หากใครที่ต้องการใช้งาน Google Keywords Planner อันดับแรกจะต้องมี Google Account เพื่อเข้าไปยังลิงก์ของ Keywords Planner จากนั้นเลือกวิธีการใช้งานจากตัวเลือก 2 แบบ ได้แก่
- Discover New Keyword ซึ่งเป็นการหาคีย์เวิร์ดที่ Users สนใจในช่วงเวลานั้น ๆ สามารถใส่ได้สูงสุดถึง 10 คำเลยทีเดียว โดยเมื่อคุณกด Get Result ข้อมูลที่ช่วยในการวัดผลจะปรากฏออกมา ได้แก่ Average monthly search (จำนวนการค้นหาโดยเฉลี่ยต่อเดือน), Competition (การแข่งขัน) และTop of page bid (ราคาประมูลเฉลี่ยของตำแหน่งบนสุด)
- Search Volume and Forecast คือการค้นหา Search Volume ของคีย์เวิร์ดนั้นๆ ว่าในแต่ละเดือนมีคนค้นหามากน้อยเท่าไหร่ สำหรับฟีเจอร์นี้จะไม่มี Keyword ที่แนะนำปรากฏขึ้น แต่จะเป็นการแสดงข้อมูลของจำนวน Click และ Impression เพื่อให้คุณสามารถคาดการณ์ถึงจำนวนผู้เข้าชมคอนเทนต์หรือแคมเปญในอีก 30 วันข้างหน้าได้
Ubersuggest
Ubersuggest เป็นเครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่นิยมใช้เพื่อเป็นแนวทางในการผลิตคอนเทนต์ รวมถึงนำมาวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด
ข้อดีของเจ้าเครื่องมือตัวนี้คือมีทั้งแบบทดลองให้ใช้ฟรีก่อน และแบบเสียเงินเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่มากขึ้น โดยเราสามารถค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีคนค้นหาเยอะๆ ได้ อีกทั้งยังสามารถนำมาใช้วิเคราะห์ Traffic ของผู้เยี่ยมชมในเว็บไซต์ ศึกษาคีย์เวิร์ดจากเว็บไซต์ของคู่แข่ง และตรวจสอบ Backlink ได้อีกด้วย
สำหรับการใช้งานของ Ubersuggest จะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด, การวิเคราะห์โดเมน และการตรวจสอบ Backlink ซึ่งเครื่องมือตัวนี้จะเหมาะกับคนที่กำลังหาไอเดียในการทำคอนเทนต์ และยังสามารถนำไอเดียจากคู่แข่งมาต่อยอดได้อีกด้วย
Semrush
Semrush เป็นเครื่องมือสำหรับนักการตลาดและผู้ที่ต้องการเข้าสู่โลกดิจิทัลออนไลน์ แบบ All In One เพราะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ทั้งแบบ SEO, PPC, Social Media, Competitive Research, Content Marketing, และ Advertising โดยสามารถนำเสนอข้อมูลเชิงลึกในการวัดผลและวัดประสิทธิภาพทางการตลาด
จุดเด่นของ Semrush คือสามารถช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก พร้อมทั้งช่วยหาคีย์เวิร์ดใหม่ ๆ ซึ่งเหมาะกับทั้งนักธุรกิจ, Digital Marketing Agency, SEO/ SEM Specialist และ Content Marketer
KWFinder
KWFinder อีกเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถค้นหาคีย์เวิร์ดที่น่าสนใจ พร้อมช่วยวิเคราะห์ความยาก-ง่าย (Keyword Difficulty) ของคีย์เวิร์ดเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันกับเว็บไซต์คู่แข่ง อีกทั้งยังมีข้อดีคือสามารถรองรับภาษาไทยได้อีกด้วย
จุดเด่นของเจ้า KWFinder คือมีฟีเจอร์ Local Keyword Research ฟีเจอร์ที่สามารถช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่น่าสนใจในประเทศหรือพื้นที่ที่เราเลือก รวมถึงสามารถวิเคราะห์คีย์เวิร์ดของเว็บไซต์คู่แข่ง นอกจากนี้ ยังวิเคราะห์ Keyword difficulty เพื่อวัดความสามารถในการแข่งขัน และสามารถบันทึก Keyword ที่ดีเก็บไว้ใน List ได้อีกด้วย
โดยเครื่องมือตัวนี้เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ทำงานสาย SEO และ Agency ที่ทำ SEO ให้ลูกค้า เพราะสามารถทำ Report เสนอ และวิเคราะห์จุดอ่อน-จุดแข็งในภายหลังได้
เริ่มต้นทำ Keyword Research แบบ Minimice
Minimice ทำ Keyword Research แบบไหนให้ตรงกับคำค้นหาของ Users รวมถึงเพิ่มโอกาสในการติดอันดับต้น ๆ บนหน้า Google ได้? มาติดตามกัน
Keyword Research แบบ Minimice | step1 วิเคราะห์คู่แข่ง
การวิเคราะห์คู่แข่งนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการไต่อันดับขึ้นไปให้เหนือกว่าเว็บไซต์คู่แข่งขัน โดยเฉพาะการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่คู่แข่งใช้ ทำให้เข้าใจถึงภาพรวมในธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เราดำเนินการอยู่ รวมถึงสามารถนำคีย์เวิร์ดของคู่แข่งมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับเว็บไซต์ของตนเองได้ โดยสามารถใช้เครื่องมือในการค้นหาคีย์เวิร์ดหรือ Keyword Research Tools ที่ได้กล่าวไปในข้างต้นมาช่วยได้ เพราะเมื่อเราสามารถหาคีย์เวิร์ดของคู่แข่งมาปรับใช้ ความสำเร็จและความก้าวหน้าของเว็บไซต์ของเราจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
Keyword Research แบบ Minimice | step2 การจัดกลุ่ม Keywords
เมื่อสามารถหาและวิเคราะห์คีย์เวิร์ดของคู่แข่งเรียบร้อยแล้ว ก็นำคีย์เวิร์ดที่ได้มาจัดกลุ่ม โดยการจัดกลุ่มก็คือการคัดเลือกคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องกันมาไว้ในกลุ่มเดียวกันนั่นเอง ขั้นตอนนี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการนำเสนอคอนเทนต์หรือบทความได้ดีมากยิ่งขึ้น
การทำ SEO ในปัจจุบันนั้น อัลกอริทึมไม่ได้วิเคราะห์คุณภาพจากคีย์เวิร์ดหลักเพียงคำเดียวอีกต่อไป แต่มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณภาพและความน่าเชื่อถือของบทความ SEO ของเรา และทำให้บทความอยู่ในลำดับที่ดีมากยิ่งขึ้น
Keyword Research แบบ Minimice | step3 การคัดเลือกคีย์เวิร์ดมาใช้
สำหรับการคัดเลือกคีย์เวิร์ดมาใช้ ต้องคัดเลือกคีย์เวิร์ดที่มีศักยภาพมากพอในการดึงดูด Users ให้เข้ามายังเว็บไซต์ได้ โดยต้องเป็นคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณ Search Volume มากเพียงพอ และมีเนื้อหาสอดคล้องกับความต้องการของ Users รวมถึงก่อให้เกิดผลดีทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับอยู่บนหน้าแรกของ Google
Step ในการทำ Keyword Research สำหรับเว็บไซต์สร้างใหม่
การทำ Keyword Research สำหรับเว็บไซต์สร้างใหม่นั้นต้องเริ่มจากการวิเคราะห์ถึงสินค้า บริการรวมถึงวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ ซึ่งจะทำให้เราสามารถค้นหาคีย์เวิร์ดคร่าวๆ มาเขียนเป็นบทความ SEO ซึ่งได้ง่ายขึ้น
ขั้นตอนที่ 1 คิดในมุมมองของผู้บริโภค
เริ่มจากคิดว่าคีย์เวิร์ดใดบ้างที่ Users หรือผู้บริโภคน่าจะค้นหา จากนั้นจึงใช้คีย์เวิร์ดเหล่านั้นนำทาง Users เพื่อเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ
ขั้นตอนที่ 2 หาคีย์เวิร์ดที่ตรงกับคุณสมบัติของสินค้าและบริการ
นอกจากจะตรงกับความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ยังต้องเกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการที่คุณต้องการนำเสนอแก่ Users ด้วย เพื่อให้ Users เข้าใจว่าเว็บไซต์หรือแบรนด์ของเราทำอะไรนั่นเอง
ขั้นตอนที่ 3 ค้นหาคีย์เวิร์ดของคู่แข่ง
การมองหาไอเดียเพิ่มเติมจากเว็บไซต์คู่แข่งได้ก็ถือว่าเป็นอีกขั้นตอนที่จะได้คีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพมาอยู่ในมือ โดยสามารุใช้ Keyword Research Tools ค้นหาคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งใช้ออกมาได้
ขั้นตอนที่ 4 โฟกัสคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ำ
ยิ่งคีย์เวิร์ดมีการแข่งขันต่ำเท่าไหร่ บทความของเราก็จะยิ่งมีโอกาสที่จะติดอันดับต้นๆ ของ Google มากเท่านั้น ส่งผลให้คนคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ได้มากขึ้นด้วย
เว็บไซต์ที่สร้างมาสักระยะแล้ว หา Keywords ยังไงดี
สำหรับคนที่ทำเว็บไซต์มาสักระยะแล้ว ต้องการหาคีย์เวิร์ดดีๆ มีประสิทธิภาพมานำเสนอเนื้อหาลงยังเว็บไซต์ เราก็มีวิธีการดี ๆ มาฝาก
ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาข้อมูลการจัดอันดับเว็บไซต์
สิ่งที่คนทำ SEO ต้องมีเลยคือ Keyword Research Tools เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์ ทั้งแสดงอันดับของคีย์เวิร์ดบนหน้า Google, Monthly search volume, CPC , จำนวน Organic traffic และข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ในการดูภาพรวมของเว็บไซต์ และกำหนดกลยุทธ์นำเสนอบทความที่เหมาะสม
ขั้นตอนที่ 2 วิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เป็นประโยชน์
มองหาว่าคีย์เวิร์ดแบบใดที่ตรงกับความต้องการของ Users และสามารถนำไปสร้างคอนเทนต์ที่เกิดประโยชน์และสร้าง Traffic สู่เว็บไซต์ได้อย่างแท้จริง
ตัวอย่างการใช้ Marketing Funnel ในการทำ Keyword Research
การนำ Keyword Research มาใช้ให้เหมาะสมกับ Marketing Funnel ในแต่ละสเตจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญไม่น้อยสำหรับคนทำ SEO มาดูกันว่าควรทำอย่างไรบ้าง
Awareness
คือการทำให้ Users รู้จัก โดยจะเริ่มต้นด้วยการนำเสนอคำตอบให้กับคำถามที่คนถามบ่อย หรือนำเสนอวิธีแก้ไขให้กับประเด็นปัญหาต่างๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของ Users โดย Keyword มักประกอบด้วยชุดคำถาม หรือคำชี้แนะวิธีการ อาทิ
- ล้างหน้ายังไงให้สะอาด ลดสิว ลดมัน
- ฟันห่างแก้ได้! แนะนำ 3 วิธีแก้ปัญหาฟันห่าง
- รวมที่เที่ยวน่าสนใจในกรุงเทพ
Consideration
คือการทำให้ Users สนใจหรืออยากติดตามและทำความรู้จักเว็บไซต์ของเรา อาจเลือกใช้ Keyword ที่ประกอบด้วยแบรนด์โดยตรง หรือเป็นคำที่ช่วยให้ Users เห็นข้อดี หรือต้องประเมินทางเลือกและนำไปเปรียบเทียบก่อนการตัดสินใจ อาทิ
- โทนเนอร์พี่จุนดีไหม เหมาะกับผิวหน้าแบบไหน
- ฟันห่าง อยากจัดฟัน ควรจัดฟันที่ไหนดี?
- รีวิว อควาเรียมในกรุงเทพ travel true id
Conversion
คือการทำให้ Users ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของเรา Keyword มักประกอบไปด้วยคำที่เป็น Action หรือสื่อถึง Action อาทิ
- สั่งซื้อโทนเนอร์ Anua 50 ml ของแท้ ส่งฟรี ซื้อที่ไหน
- จองคิว หรือ ปรึกษาทันตแพทย์ออนไลน์ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง
- สมัครสมาชิกรายปี Sea Life Ocean World
สรุปเกี่ยวกับการทำ Keyword Research ในแบบฉบับ Minimice
การทำ Keyword Research นั้นเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญลำดับแรก ๆ ของ Roadmap การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ หากมีกลยุทธ์การเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีในการนำไปทำบทความที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้คน (Search Intent) และเกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน (Helpful content) แล้ว ก็จะทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดี ซึ่งส่งผลต่อการจัดลำดับต่อไป
กล่าวง่ายๆ ว่าการทำ Keyword Research คือ การวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าว่าใช้คำค้นหรือวลีแบบไหนในการค้นหา เข้าใจประเภทของคีย์เวิร์ดเพื่อง่ายต่อการจัดกลุ่มและนำไปใช้ให้เหมาะสมในแต่ละส่วนของเว็บไซต์หรือแต่ละส่วนของการทำบทความ รวมถึงรู้จักประยุกต์ใช้เครื่องมือในการทำ Keyword Research ให้เหมาะสมเพื่อนำมาวิเคราะห์ วางแผน และหาคีย์เวิร์ดที่สามารถแข่งขันและทำอันดับได้จริง
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
เว็บไซต์ใหม่หา Keywords มาทำ Blog content อย่างไร?
ตอบ วิเคราะห์เว็บไซต์ที่เป็นคู่แข่งของเรา และหา Missing Organic Keywords ที่เว็บไซต์เรายังไม่มี เพื่อนำมาทำคอนเทนต์เพิ่มเติมในเว็บไซต์
Search Intent สำคัญต่อการทำ Keyword Research มากแค่ไหน
ตอบ สำคัญมากเพราะ Search Intent คือจุดประสงค์แท้จริงของผู้ใช้งานจากการค้นหา หากเราเลือกคำและทำคอนเทนต์ได้ตาม Intent ของผู้ใช้แล้ว นอกจะจะทำอันดับได้ดีแล้วอาจจะได้ Conversion อื่นกลับมาอีกด้วย
Google trends มองข้ามได้หรือไม่?
ตอบ Google trends มักถูกมองข้ามในการทำ Keyword Research เสมอ แต่อย่าลืมว่า หากคุณต้องการวางแผนการปล่อยคอนเทนต์เพื่อสนับสนุนสินค้าที่เป็น Seasonal product การใช้ google trends ในการวางแผนจะช่วยได้มากเลยล่ะ