Search Volume คืออะไร? สำคัญต่อการทำ SEO มากแค่ไหน?

Search Volume คืออะไร? สำคัญต่อการทำ SEO มากแค่ไหน?

Table of Contents

Key Takeaway

  • Search Volume คือจำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานค้นหาคำหรือคำถามใน Search Engine เช่น Google ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งช่วยในการวิเคราะห์ความนิยมของคีย์เวิร์ดและวางกลยุทธ์ SEO
  • ปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณ Search Volume ได้แก่ ฤดูกาล กระแสหรือเทรนด์ การทำการตลาดหรือแคมเปญ พฤติกรรมของผู้ใช้งาน และปัจจัยทางตลาด เช่น การเปิดตัวสินค้าใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจ
  • ตัวอย่างเครื่องมือวิเคราะห์ Search Volume ได้แก่ Google Keyword Planner, Google Trends, Ubersuggest, Ahrefs, SEMrush และ Moz Keyword Explorer ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลการค้นหาของคีย์เวิร์ดต่างๆ และวิเคราะห์เพื่อปรับกลยุทธ์ SEO ได้
  • Search Volume สำคัญเพราะช่วยให้เราทราบถึงความนิยมและความต้องการของคำค้นหาต่างๆ ซึ่งช่วยในการเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมในการทำ SEO เพื่อเพิ่ม Traffic และดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับสูงในผลการค้นหา

ถ้าอยากให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกบน Google การเลือกใช้ “คีย์เวิร์ด” อย่างมีประสิทธิภาพคือสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ และหนึ่งในตัวช่วยสำคัญที่หลายคนอาจยังไม่รู้จักหรือยังใช้ไม่เต็มที่ก็คือ Search Volume หรือ “ปริมาณการค้นหา” ของคีย์เวิร์ดนั้นๆ

บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักว่า Search Volume คืออะไร ทำไมถึงเป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำ SEO และเราจะนำมาใช้ประโยชน์อย่างไรในการวางกลยุทธ์คอนเทนต์ให้โดนใจทั้ง Google และกลุ่มเป้าหมาย

Search Volume คืออะไร? กุญแจสำคัญที่นักการตลาดออนไลน์มองข้ามไม่ได้

Search Volume คืออะไร? กุญแจสำคัญที่นักการตลาดออนไลน์มองข้ามไม่ได้

Search Volume คือจำนวนครั้งที่ผู้ใช้งาน Google ทั่วโลกค้นหาคำ คำถาม หรือข้อความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งช่วยให้นักการตลาดหรือเจ้าของเว็บไซต์รู้ได้ว่า คีย์เวิร์ดนั้นมีความนิยมมากน้อยแค่ไหน การเช็ก keyword SEO เป็นขั้นตอนสำคัญในการเลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้สามารถพัฒนาเนื้อหาหรือปรับปรุงเว็บไซต์ให้สามารถติดอันดับในการค้นหาได้ง่ายขึ้น

หลักการทำงานของ Search Volume คือการนับจำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานพิมพ์คีย์เวิร์ดลงใน Google หรือ Search Engine โดยระบบจะรวบรวมและแสดงผลเป็นตัวเลข เพื่อใช้วิเคราะห์ในการทำ SEO วางแผนเนื้อหา ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มยอด Traffic และช่วยดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับหน้าแรกอย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณ Search Volume มีอะไรบ้าง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณ Search Volume มีอะไรบ้าง

Search Volume อาจเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล เช่น “ของขวัญคริสต์มาส” หรือ “ชุดฮาโลวีน” ที่จะพุ่งสูงก่อนเทศกาล นอกจากนี้กระแสข่าวหรือเหตุการณ์ที่กำลังเป็นที่สนใจ เช่น “ฟุตบอลโลก” ก็สามารถทำให้คีย์เวิร์ดถูกค้นหามากขึ้นได้

แคมเปญการตลาดหรือการเปิดตัวสินค้าใหม่ มักทำให้คนสนใจและค้นหาข้อมูลเกี่ยวข้องมากขึ้น เช่นเดียวกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เปลี่ยนไป อย่างช่วงที่คนเริ่มทำงานจากบ้าน ก็ทำให้มีการค้นหาคำอย่าง “โต๊ะทำงานที่บ้าน” หรือ “งานออนไลน์” มากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยทางตลาด เช่น การเปิดตัวสินค้าของคู่แข่ง หรือภาวะเศรษฐกิจ ก็สามารถส่งผลต่อจำนวนการค้นหาได้เช่นกัน

เครื่องมือวิเคราะห์ Search Volume เลือกแบบไหนดี ทั้งแบบฟรีและมีค่าใช้จ่าย?

เครื่องมือวิเคราะห์ Search Volume เลือกแบบไหนดี ทั้งแบบฟรีและมีค่าใช้จ่าย?

เมื่อคุณเริ่มต้นทำ SEO หรือการตลาดออนไลน์ การเลือกเครื่องมือวิเคราะห์ Search Volume เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเครื่องมือจะช่วยให้คุณรู้ได้ว่าคีย์เวิร์ดไหนกำลังเป็นที่นิยม และเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างไร ปัจจุบันมีเครื่องมือหลากหลายให้เลือกใช้ ทั้งแบบฟรีที่ใช้ได้ง่าย และแบบที่มีค่าใช้จ่ายที่ให้ข้อมูลละเอียดและแม่นยำกว่า ได้แก่

1. Google Keyword Planner

Google Keyword Planner คือเครื่องมือที่เชื่อมต่อกับบัญชี Google Ads ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบ Search Volume ของคีย์เวิร์ดหลักในคอนเทนต์ พร้อมอัปเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ และแสดงคีย์เวิร์ดที่กำลังได้รับความนิยม ซึ่งเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ

  • ข้อดี ช่วยให้ดูค่าเฉลี่ย Search Volume หรือปริมาณการค้นหาต่อเดือนได้อย่างแม่นยำ สามารถวิเคราะห์การค้นหาประจำเดือน และยังสามารถ Forecast คาดการณ์การค้นหาในเดือนถัดไป รวมถึงค้นหา Keyword หลายคำพร้อมกันได้
  • ข้อเสีย ต้องมีบัญชี Google Ads และอาจต้องยิงโฆษณาก่อนถึงจะเห็นข้อมูล Search Volume ได้อย่างชัดเจน หากไม่ยิงโฆษณา จะเห็นข้อมูลเป็นแค่ Range หรือภาพกว้างๆ ซึ่งอาจไม่แม่นยำเท่าไร

2. Google Trends

Google Trends เป็นเครื่องมือที่ช่วยติดตาม Search Volume สำหรับเว็บไซต์หรือคอนเทนต์ที่ต้องการเกาะกระแสใหม่ๆ ไม่ให้ตกเทรนด์ โดยสามารถดูข้อมูลการค้นหากระแสต่างๆ ได้ครอบคลุม และยังเลือกพื้นที่หรือกลุ่มเป้าหมายหลักได้อย่างละเอียด

  • ข้อดี ช่วยให้เราติดตามกระแสและความนิยมของคีย์เวิร์ดในช่วงเวลาต่างๆ นอกจากนี้ยังสามารถกรองข้อมูลตามพื้นที่หรือกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียด อีกทั้งยังใช้งานได้ฟรีและให้ข้อมูลเรียลไทม์ที่อัปเดตตลอดเวลา
  • ข้อเสีย ข้อมูลอาจไม่ละเอียดเท่ากับเครื่องมือที่มีค่าใช้จ่าย และไม่สามารถแสดง Search Volume เป็นตัวเลขที่ชัดเจน แต่อยู่ในรูปแบบเปอร์เซ็นต์หรือเทียบกับการค้นหาที่อื่น นอกจากนี้ยังไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวกับการค้นหาจากแหล่งอื่น เช่น Social Media หรือ YouTube

3. Keywords Surfer

Keywordtool.io เป็นเครื่องมือที่ช่วยค้นหา Keyword รอง หรือคำค้นหาที่ใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดหลักในหัวข้อเนื้อหาของเว็บไซต์ ช่วยให้สามารถต่อยอดคอนเทนต์ให้หลากหลายและดึงดูด Traffic ที่สูงขึ้น

  • ข้อดี โปรแกรมฟรีที่ช่วยคิดหัวข้อจากคีย์เวิร์ดรองและคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง โดยผสมกับคีย์เวิร์ดหลักและแสดงผลให้เห็นเพื่อใช้ต่อยอดคอนเทนต์ได้อย่างสร้างสรรค์
  • ข้อเสีย เวอร์ชันฟรีมีฟีเจอร์จำกัดและไม่แสดงข้อมูล Search Volume ที่ชัดเจน และการเข้าถึงข้อมูลที่ลึกหรือรายละเอียดเพิ่มเติมจะต้องเสียค่าบริการในการใช้งานเวอร์ชันพรีเมียม

4. Ubersuggest (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)

Ubersuggest เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับผู้ที่ทำ SEO โดยเฉพาะ เพราะช่วยในการหา Keyword ที่เหมาะสม ด้วยการดึงข้อมูล Search Volume คำค้นหาที่ใกล้เคียง และการเปรียบเทียบผลลัพธ์ SEO กับเว็บไซต์คู่แข่ง มีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นเริ่มต้นที่ประมาณ $29 ต่อเดือน หรือประมาณ 1,050 บาทต่อเดือน

  • ข้อดี ช่วยเช็กคีย์เวิร์ด Google เพื่อปรับกลยุทธ์การทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถประเมินคุณภาพเนื้อหาและจำนวนการเข้าถึงเว็บไซต์ หรือยอด Traffic ได้อย่างแม่นยำ
  • ข้อเสีย เวอร์ชันฟรีมีฟีเจอร์จำกัด เช่น การดูข้อมูล Search Volume และการเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ต้องใช้เวอร์ชันพรีเมียมเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดและฟีเจอร์เพิ่มเติม

5. Ahrefs (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)

เครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำ SEO ครบวงจร ตั้งแต่การเลือก Search Volume ที่เหมาะสมกับการทำคอนเทนต์ การแทรก Keyword ลงในเนื้อหาบทความเว็บไซต์ ไปจนถึงการใส่คำหลักลงในรูปภาพ ​Ahrefs มีแผนการใช้งานที่หลากหลาย โดยมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ประมาณ $29 ต่อเดือน หรือประมาณ 1,050 บาทต่อเดือน

  • ข้อดี มีประสิทธิภาพในการทำ SEO โดยช่วยในการสร้าง Backlink วิเคราะห์ Traffic และแสดงผลลัพธ์เชิงลึกของเว็บไซต์ในทุกด้าน ช่วยปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในการดัน SEO และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย
  • ข้อเสีย มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และเวอร์ชันฟรีมีฟีเจอร์จำกัด ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดหรือการวิเคราะห์เชิงลึกได้เหมือนเวอร์ชันพรีเมียม

6. SEMrush (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)

SEMrush คือเครื่องมือสำหรับช่วยในการวิเคราะห์ SEO ที่ช่วยให้การทำแคมเปญลงโฆษณาบน Google สอดคล้องและเหมาะสม โดยสามารถตรวจสอบ Search Volume และประเมินคีย์เวิร์ดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการทำโฆษณา มีแผนการใช้งานเริ่มต้นที่ประมาณ $139.95 ต่อเดือน หรือประมาณ 5,100 บาทต่อเดือน

  • ข้อดี ใช้งบประมาณน้อยที่สุดแต่ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าสูง เหมาะสำหรับการทำ SEO โซเชียลมีเดีย และแคมเปญโฆษณาบนเว็บไซต์ ช่วยให้การขายสินค้าหรือบริการตรงจุดและมีประสิทธิภาพ
  • ข้อเสีย มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงสำหรับเวอร์ชันพรีเมียม และฟีเจอร์บางอย่างในเวอร์ชันฟรีมีความจำกัด ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกได้เต็มที่

7. Moz Keyword Explorer (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)

Moz Keyword Explorer เป็นเครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่เหมาะสำหรับการวางกลยุทธ์ SEO ช่วยค้นหาและประเมินคีย์เวิร์ดได้อย่างแม่นยำ โดยมีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นเริ่มต้นที่ประมาณ $99 ต่อเดือน หรือประมาณ 3,700–3,800 บาทต่อเดือน

  • ข้อดี ช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ดได้แม่นยำ พร้อมคะแนนความยาก-ง่ายในการทำ SEO ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับวางแผนกลยุทธ์ระยะยาวในเชิงลึก
  • ข้อเสีย ข้อมูลบางอย่างอัปเดตไม่รวดเร็วเท่าเครื่องมืออื่น และต้องสมัครแพ็กเกจแบบมีค่าใช้จ่ายเพื่อเข้าถึงฟีเจอร์แบบเต็มระบบ
Search Volume สมการลับ เปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้เป็นลูกค้า

Search Volume สมการลับ เปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้เป็นลูกค้า

การวิเคราะห์ Search Volume ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ เพราะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ เพิ่มโอกาสในการดันอันดับ SEO และดึง Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมีความสำคัญคือ

  • ช่วยให้เนื้อหาเว็บไซต์มีหัวข้อที่ชัดเจนและน่าสนใจสำหรับผู้อ่านและกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
  • สามารถดึง Keyword หลักมาใช้ในการสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งต่อผู้อ่านและระบบ SEO
  • ใช้วัดผลการทำการตลาดออนไลน์จากจำนวนการค้นหาของผู้ใช้งานทั่วโลกและทั่วประเทศ
  • สามารถเปรียบเทียบผลลัพธ์กับเว็บไซต์คู่แข่งจากการค้นหา Keyword หรือหัวข้อคอนเทนต์เดียวกัน เพื่อพัฒนาคอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ช่วยในการจัดเรียงลำดับการทำคอนเทนต์จากจำนวนการค้นหาของ Keyword หรือข้อความหัวข้อต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
Keyword Search Volume ที่ดีควรเป็นอย่างไร?

Keyword Search Volume ที่ดีควรเป็นอย่างไร?

การใช้ Keyword Search Volume อย่างมีประสิทธิภาพเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำ SEO และการตลาดออนไลน์ เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้น การหา Search Volume ที่ดีจึงเป็นขั้นตอนที่ต้องใส่ใจ ซึ่งเรามีเคล็ดลับที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย ดังนี้

  • จำนวนการค้นหาคำหลักหรือ Keyword ที่ดีสามารถมีได้ทั้งในระดับต่ำ เช่น 100 ครั้งต่อเดือน หรือสูงมากถึง 10 ล้านครั้งต่อเดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของ Keyword และกลุ่มเป้าหมายที่เลือกใช้
  • ประสิทธิภาพของการเลือก Keyword Search Volume ที่ดีสามารถวัดได้จากจำนวน Traffic ที่กลุ่มเป้าหมายเข้าถึง โดยการเปรียบเทียบจำนวนการค้นหาของคำหลักหรือหัวข้อที่เกี่ยวข้อง
Search Volume สูง VS. ต่ำ แตกต่างกันอย่างไร? ทำ SEO ควรเล่น Keyword แบบไหนดี

Search Volume สูง VS. ต่ำ แตกต่างกันอย่างไร? ทำ SEO ควรเล่น Keyword แบบไหนดี

การเลือก Keyword สำหรับทำ SEO ไม่จำเป็นต้องเลือกคำที่มี Search Volume สูงเสมอไป เพราะคำที่มีการค้นหาต่ำก็สามารถมีประสิทธิภาพได้ หากคำค้นหานั้นเฉพาะเจาะจงและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย การเลือก Keyword ที่มีการแข่งขันต่ำอาจช่วยดึง Traffic ที่ตรงกลุ่มได้ดีกว่า ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนการค้นหาน้อย แต่หากผลลัพธ์จากคอนเทนต์กลับมียอด Traffic สูง ก็ถือว่า SEO ประสบความสำเร็จและเว็บไซต์มีคุณภาพ โดยการเช็ก Keyword SEO อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น

Search Volume กับกลยุทธ์การทำ SEO

การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพและตรงตามหลักการของ Search Engine ต้องอาศัยข้อมูล Search Volume บน Google เพื่อวัดผลการค้นหาของกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำในแต่ละเดือน และสามารถต่อยอดคอนเทนต์ไปยังคำค้นหาที่เกี่ยวข้องได้มากขึ้น ทำให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการตอบรับทั้งจากระบบ Search Engine และผู้ใช้งานที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

แม้เว็บไซต์ใหม่ก็สามารถติดอันดับหน้าแรกได้รวดเร็ว หากทำ SEO ตามขั้นตอนที่เหมาะสม นอกจากนี้ Search Volume ยังช่วยให้แคมเปญโฆษณาต่างๆ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้สูงสุด โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมาก

สรุป

Search Volume คือจำนวนการค้นหาคำหรือคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้งาน Google หรือ Search Engine อื่นๆ ใช้ในการค้นหาข้อมูลในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำ SEO เพื่อเพิ่มโอกาสในการดึง Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ 

การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมตาม Search Volume ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด แม้บางครั้งคีย์เวิร์ดที่มีการค้นหาต่ำก็สามารถนำไปสู่การสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและเพิ่ม Traffic ได้ดีกว่าคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูง นอกจากนี้ Search Volume ยังสามารถใช้ในการวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์การทำ SEO และการโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Minimice รับทำ SEO โดยให้บริการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ปรับแต่งเนื้อหา สร้าง Backlink ตรวจสอบผลลัพธ์ SEO และทำ SEO บนโซเชียลมีเดีย เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ Google และดึงดูดผู้เข้าชมตรงกลุ่มเป้าหมาย

FAQ – คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Search Volume

มาถึงช่วงถาม-ตอบเกี่ยวกับ Search Volume กันแล้ว เพื่อให้เข้าใจการใช้งานและประโยชน์ของการวิเคราะห์ Search Volume อย่างถูกต้อง

Low Search Volume คืออะไร สำคัญอย่างไร?

Low Search Volume คือคำค้นหาที่มีจำนวนการค้นหาต่อเดือนค่อนข้างต่ำ ซึ่งอาจหมายถึงคำที่เฉพาะเจาะจงหรือมีการแข่งขันต่ำ การเลือกใช้ Low Search Volume สามารถช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพโดยการดึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงได้มากขึ้น แม้ว่าจะมีการค้นหาน้อย แต่สามารถสร้างยอด Traffic ได้ดีจากผู้ที่สนใจจริงๆ

ทำไม Search Volume ถึงต่ำ?

Search Volume อาจต่ำเนื่องจากคำค้นหานั้นๆ มีความเฉพาะเจาะจงมาก หรือเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายเล็กๆ ซึ่งมีการแข่งขันน้อย คำที่ใช้ใน Niche หรือคำใหม่ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นมักจะมีการค้นหาน้อยในช่วงแรก นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการที่คำดังกล่าวไม่เป็นที่นิยมในวงกว้างหรือไม่อยู่ในกระแสความสนใจของผู้คนในเวลานั้น

วิธีหา Keyword เพื่อเพิ่ม Traffic ทำได้อย่างไร?

การหา Keyword เพื่อเพิ่ม Traffic ควรเริ่มจากการใช้เครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เช่น Google Keyword Planner, Ubersuggest หรือ Ahrefs เพื่อค้นหาคำที่มี Search Volume สูงและเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาของคุณ จากนั้นเลือกคำที่มีความเฉพาะเจาะจงและแข่งขันน้อย เพื่อดึงกลุ่มเป้าหมายที่ตรงที่สุด นอกจากนี้ยังควรใช้ Long-Tail Keywords ซึ่งมีการแข่งขันต่ำและสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้ใช้งานที่มีความสนใจจริงๆ

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง