เทคนิคทำ Keyword Research เลือกคีย์เวิร์ดอย่างไรให้ SEO ได้ผล

Keyword Research คืออะไร พร้อมกลยุทธ์ทำให้เว็บติดหน้าแรก

Table of Contents

Key Takeaway

  • Keyword Research คือกระบวนการค้นหาและวิเคราะห์คำหรือวลีที่ผู้ใช้งานค้นหาบนแพลตฟอร์มอย่าง Google, Bing หรือ YouTube เพื่อนำมาจัดลำดับความสำคัญและประยุกต์ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพบทความ SEO และยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์อย่างมีกลยุทธ์
  • ประเภทของ Keyword Research เช่น Seed Keywords, Long-Tail Keywords, Niche Keywords และ Competitors’ Keywords 
  • Keyword Research Tools เช่น Moz Keyword Explorer, Semrush, Google Keyword Planner และ Ahrefs  เป็นต้น
  • การทำ Keyword Research ให้ประสบความสำเร็จเริ่มจากการเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย เลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและเนื้อหา วิเคราะห์การแข่งขันของคำ พร้อมใช้เครื่องมือที่เหมาะสม เพื่อช่วยหาไอเดียคีย์เวิร์ดที่ดี

ถ้าใครกำลังทำเว็บไซต์หรืออยากให้เว็บติดหน้าแรก Google คงสงสัยว่า Keyword Research คืออะไร และทำยังไงให้ได้ผลดี เพราะนอกจากช่วยให้แข่งกับเว็บคู่แข่งได้แล้ว ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO ได้ด้วย ในบทความนี้ Minimice Group จะพาไปรู้จัก Keyword Research ว่าคืออะไร สำคัญอย่างไรกับ SEO พร้อมแชร์เทคนิคทำเว็บให้ติดหน้าแรก ถ้าพร้อมแล้วไปดูกันเลย!

Keyword Research คืออะไร ทำไมมีผลต่อการทำ SEO?

Keyword Research คืออะไร ทำไมมีผลต่อการทำ SEO?

Keyword Research คือการหาคำหรือวลีที่ User พิมพ์ค้นหาใน Google หรือ YouTube เพื่อตามหาข้อมูล สินค้า หรือบริการ ซึ่งการรู้ว่าใครกำลังหาอะไร จะช่วยให้เราเลือกใช้ Keyword ที่เหมาะสมในเว็บไซต์ ทำให้ Google แสดงเนื้อหาของเราได้ตรงกับที่ User ต้องการ ช่วยเพิ่มยอดเข้าชมและดึง Traffic ได้มากขึ้น 

ตัวอย่างเช่น ถ้าค้นหาใน Google ว่า “ขนมหวานน่ากิน” คำว่า ขนมหวาน ก็คือ Keyword ส่วน Search Engine ที่ใช้คือ Google นั่นเอง!

8 ประเภท Keyword Research พร้อมวิธีเลือกใช้ให้เหมาะสม

8 ประเภท Keyword Research พร้อมวิธีเลือกใช้ให้เหมาะสม

Keyword Research สำคัญมากๆ เพราะช่วยให้เรารู้ว่ากลุ่มเป้าหมายกำลังมองหาอะไร และทำให้เราสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจลูกค้าได้มากขึ้น โดยหลักๆ แล้ว Keyword Research แบ่งออกเป็น 8 ประเภท ดังนี้

1. คีย์เวิร์ดตั้งต้น (Seed Keywords)

คีย์เวิร์ดตั้งต้น หรือ Seed Keywords คือคีย์เวิร์ดหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเว็บไซต์ คล้ายๆ กับเมล็ดพันธุ์ที่ช่วยต่อยอดไอเดียในการหาและขยายคีย์เวิร์ดอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างเช่น ถ้ามีร้านขายเสื้อผ้า คำว่า “เสื้อผ้า” ก็ถือเป็น Seed Keyword ที่สามารถต่อยอดไปหาคำอื่นๆ ได้ โดยสามารถหา Seed Keywords ได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนดังนี้

  1. กำหนดหัวข้อหลักของเว็บไซต์ เช่น ขายอาหารสุนัข  
  2. ระบุคำที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหารสุนัข อาหารสัตว์เลี้ยง  
  3. ใช้ Google Keyword Planner หาไอเดียคำเพิ่มเติม  
  4. เช็กยอดการค้นหา เลือกคำที่มีปริมาณการค้นหาสูง  
  5. นำคำที่เลือกมาใช้เป็น Seed Keywords หลักของเว็บไซต์

2. คีย์เวิร์ดตามจุดประสงค์การค้นหา (Keywords by Search Intent)

คีย์เวิร์ดตามจุดประสงค์การค้นหา Keywords by Search Intent คือการแบ่งคีย์เวิร์ดตามเจตนาในการค้นหา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน โดยสามารถแบ่งตามวัตถุประสงค์ในการค้นหาได้ดังนี้

  • การหาข้อมูล เช่น วิธีทําข้าวผัด หรือประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา
  • การนําทาง เช่น ทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ หรือแผนที่เชียงใหม่
  • การตรวจสอบสินค้าหรือบริการ เช่น รีวิวโรงแรมพัทยา หรือตั๋วคอนเสิร์ตราคาเท่าไร
  • การซื้อขาย เช่น ซื้อรองเท้าผ้าใบ หรือขายคอนโด สาทร

เราสามารถหา Keyword แบบนี้ได้จากวิธีเหล่านี้

  1. กำหนดจุดประสงค์หลักของกลุ่มเป้าหมาย เช่น ซื้อสินค้า หรือหาข้อมูล
  2. ใช้เครื่องมืออย่าง Ubersuggest เพื่อหา Keyword Idea ตาม Search Intent 
  3. พิจารณา Keyword Suggestions และเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับเป้าหมาย 
  4. ตรวจสอบยอดค้นหาด้วย Google Keyword Planner
  5. เลือกคีย์เวิร์ดที่ยอดค้นหาดีและตรงกับจุดประสงค์มาใช้งาน

3. คีย์เวิร์ดแบบหางยาว (Long-Tail Keywords)

คีย์เวิร์ดแบบหางยาว หรือ Long-Tail Keywords คือคำค้นหาที่มีคำต่อจากคำหลัก เช่น “วิธีทำสลัดผักรวมมิตรให้อร่อย” หรือ “ร้านขายกระเป๋าผ้าใบแบรนด์เนมราคาถูก” ซึ่งคำเหล่านี้จะมีการค้นหาน้อยกว่าคำสั้นๆ แต่การแข่งขันก็น้อย และยังช่วยดึงดูดผู้ใช้งานที่มองหาข้อมูลเฉพาะเจาะจงได้ดี

เราสามารถหาคีย์เวิร์ดหางยาวได้ด้วย Ubersuggest ตามขั้นตอนนี้

  1. เปิดเว็บ Ubersuggest แล้วเลือก “Keyword Ideas” แล้วพิมพ์คีย์เวิร์ดหลักที่ต้องการ เช่น “การตลาดออนไลน์”
  2. Ubersuggest จะแสดงคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง จากนั้นให้เลือกคีย์เวิร์ดที่น่าสนใจ
  3. คลิกที่คีย์เวิร์ดนั้นๆ เพื่อให้ Ubersuggest หา Keyword Ideas อื่นๆ เพิ่มเติม
  4. เลือก Keyword Ideas ที่ตอบโจทย์ เช่น “การตลาดออนไลน์ในเฟซบุ๊ก”
  5. ตรวจสอบยอดการค้นหาและเลือกคีย์เวิร์ดที่มีผู้ใช้งานค้นหาบ่อย

4. คีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ำ (Low-Competition Keywords)

คีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ำ Low-Competition Keywords คือคําค้นหาที่มี User ใช้ไม่เยอะ หรือมีเว็บไซต์ที่ใช้คำนั้นๆ น้อย ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “สอนทำขนมปังอบกรอบง่ายๆ” จะมีการแข่งขันต่ำกว่า “สอนทำขนมปัง” เพราะคีย์เวิร์ดนี้ดูเจาะจงมากกว่า

สามารถหาคีย์เวิร์ดแบบนี้ได้โดยใช้เครื่องมือตรวจสอบความยากง่ายของคีย์เวิร์ด เช่น Ahrefs หรือ SEMrush ซึ่งจะบอกระดับความยากของการแข่งขันให้เลือกได้

  1. พิมพ์คีย์เวิร์ดที่ต้องการวิเคราะห์ลงในช่อง Keyword Difficulty ของ SEMrush  
  2. SEMrush จะแสดงค่า Keyword Difficulty หรือความยากง่ายในการแข่งขัน ยิ่งตัวเลขต่ำ ยิ่งแปลว่าการแข่งขันไม่สูง  
  3. เลือกคีย์เวิร์ดที่มีค่าต่ำๆ ประมาณ 0 – 20 ไว้ใช้งาน

5. คีย์เวิร์ดเฉพาะกลุ่ม (Niche Keywords)

คีย์เวิร์ดเฉพาะกลุ่ม หรือ Niche Keyword คือคำค้นหาที่เจาะจงกลุ่มหรือหัวข้อย่อยๆ มากขึ้น 

ยกตัวอย่างเช่น 

  • คำว่า “รดน้ำต้นไม้ด้วยระบบอัตโนมัติ” จะเป็น Niche Keyword มากกว่าคำว่า “รดน้ำต้นไม้” เพราะดูเฉพาะเจาะจงที่เอ่ยถึง ระบบอัตโนมัติ มากกว่า

สามารถหาคีย์เวิร์ดได้โดยการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าแล้วคิดคำค้นหาที่เจาะจงสำหรับกลุ่มนั้นๆ ซึ่งจะมีการแข่งขันน้อยกว่าคำที่กว้างๆ ซึ่งขั้นตอนหาคีย์เวิร์ดทำตามได้ดังนี้

  1. กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น วัยรุ่นที่ชอบแต่งหน้า
  2. เลือกคำค้นหาที่กลุ่มนั้นอาจจะใช้ เช่น แต่งหน้าสไตล์เกาหลี สอนแต่งหน้าออกงาน
  3. ตรวจสอบยอดการค้นหาว่าผู้ใช้งานค้นหามากน้อยแค่ไหน
  4. เลือกคำที่มีการค้นหาบ่อยๆ แต่ไม่มากจนเกินไปมาใช้เป็นคีย์เวิร์ด

ถ้าใช้เครื่องมืออย่าง Ubersuggest, Keyword Tool หรือ Google Keyword Planner ก็จะช่วยให้เราได้ข้อมูลยอดการค้นหาและข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น

6. คีย์เวิร์ดเกี่ยวกับแบรนด์ (Branded and Unbranded Keywords)

คีย์เวิร์ดเกี่ยวกับแบรนด์ หรือ Brand Keyword คือคำค้นหาที่มีชื่อแบรนด์หรือบริษัทเข้ามาเกี่ยวข้อง 

ตัวอย่างเช่น 

  • คำว่า “โทรศัพท์ไอโฟน” ป็นคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับแบรนด์ (Branded) 
  • คำว่า “โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่” จะเป็นคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวกับแบรนด์ (UnBranded)

จริงๆ แล้ว ควรหาคีย์เวิร์ดทั้งที่เกี่ยวกับแบรนด์และไม่เกี่ยวกับแบรนด์มาใช้ เพื่อให้การค้นหาหลากหลายขึ้น ซึ่งขั้นตอนง่ายๆ ในการหาคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับแบรนด์ มีดังนี้

  1. กำหนดชื่อแบรนด์ที่ต้องการหาคีย์เวิร์ด เช่น แบรนด์ ABZ
  2. หาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวกับแบรนด์ ชื่อแบรนด์ ชื่อผลิตภัณฑ์ หรือโมเดล เช่น คำว่า “ถุงกระดาษ”
  3. หาคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวกับแบรนด์ อย่างหมวดหมู่สินค้า หรือประโยชน์การใช้งาน เช่น “อเนกประสงค์”
  4. รวมคีย์เวิร์ดทั้งที่เกี่ยวกับแบรนด์และไม่เกี่ยวกับแบรนด์ เช่น “ABZ ถุงกระดาษอเนกประสงค์”
  5. ตรวจสอบยอดการค้นหาในเครื่องมืออย่าง Ubersuggest หรือเครื่องมืออื่นๆ
  6. คัดเลือกคีย์เวิร์ดที่มีผู้ใช้งานค้นหาจริงๆ มาใช้งาน

7. คีย์เวิร์ดของคู่แข่ง (Competitors’ Keywords)

คีย์เวิร์ดของคู่แข่ง หรือ Competitors’ Keywords คือคำที่คู่แข่งใช้เพื่อให้เว็บไซต์ถูกค้นเจอ ตัวอย่างเช่น หากเราทำเว็บไซต์ขายกาแฟและอยากรู้ว่าเว็บไซต์อื่นๆ ใช้คำอะไรในการดึงดูดลูกค้า วิธีหา Keyword ของคู่แข่งมีขั้นตอนดังนี้

  1. กำหนดคู่แข่งหลัก เช่น เว็บไซต์ AAA
  2. ใช้เครื่องมือ SEMrush หรือ Ahrefs เพื่อตรวจสอบคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งใช้ใน Organic Search โดยดู Backlink ของเว็บไซต์คู่แข่งเพื่อหาคีย์เวิร์ดยอดนิยม
  3. นำคีย์เวิร์ดที่ได้มาวิเคราะห์และหาไอเดียคำที่เหมาะสมกับเว็บไซต์
  4. คัดเลือกคีย์เวิร์ดที่ต้องการนำไปใช้

8. คีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรอง (Primary and Secondary Keywords)

คีย์เวิร์ดหลัก คือคำค้นหาหลักที่ตรงกับเนื้อหาหลักที่สุด และผู้ใช้งานค้นหามากที่สุด 

คีย์เวิร์ดรอง คือคำที่เกี่ยวข้องและเจาะจงไปที่เนื้อหามากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้งานเจอเว็บไซต์มากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น 

  • คีย์เวิร์ดหลัก คำว่า “กาแฟ” คือ 
  • คีย์เวิร์ดรอง จะเป็นคำที่เกี่ยวข้อง เช่น “เมล็ดกาแฟ” “วิธีชงกาแฟ” หรือ “ถ้วยกาแฟ” เป็นต้น

วิธีหา Keyword หลักและ Keyword รองง่ายๆ ทำได้ดังนี้

  1. กำหนด Primary Keyword ตามธุรกิจหลัก
  2. ใช้เครื่องมือ เช่น Google Keyword Planner เพื่อหาคำที่เกี่ยวข้องมาเป็น Secondary Keywords

การใช้ทั้งคีย์เวิร์ดหลักและคีย์เวิร์ดรองจะช่วยให้ครอบคลุมคำค้นหาหลายๆ แบบ ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสถูกค้นเจอมากขึ้นไปอีก

แนะนำ Keyword Research Tool ที่คนทำ SEO ไม่ควรพลาด

แนะนำ Keyword Research Tool ที่คนทำ SEO ไม่ควรพลาด

เครื่องมือสำหรับ Keyword Research มีหลายตัวที่น่าสนใจ ซึ่งแต่ละตัวก็มีฟีเจอร์ที่แตกต่างกันไป การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับธุรกิจและเป้าหมายของเราจะช่วยให้การหาคีย์เวิร์ดเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

Moz Keyword Explorer

Moz Keyword Explorer เป็น Keyword Research tool ที่เหมาะสำหรับการใช้งานครบทุกด้าน ฟีเจอร์เด่นคือการจัดลำดับความสำคัญของคีย์เวิร์ด ใช้งานฟรี 10 คำค้นหาต่อเดือน พร้อมคำแนะนำคีย์เวิร์ด 1,000 คำ และวิเคราะห์ SERP ได้ 10 ครั้งต่อคำค้นหา

Semrush

Semrush เครื่องมือที่ครบครัน ฟีเจอร์เด่นคือช่วยหาไอเดียสำหรับสายคอนเทนต์ ทำให้ Content Writer ที่คิดไอเดียไม่ออกสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น และยังดูข้อมูล Traffic ของเว็บไซต์ตัวเองและคู่แข่งได้ด้วย เหมาะสำหรับมืออาชีพด้าน SEO ให้ข้อมูลคีย์เวิร์ดละเอียด ใช้งานฟรี สามารถรายงานการวิเคราะห์ 10 รายงานต่อวันได้ ทั้งยังติดตามคีย์เวิร์ดได้ถึง 10 คำ

Google Keyword Planner

Google Keyword Planner เครื่องมือนี้ช่วยค้นหาคีย์เวิร์ดที่ใช้ในโฆษณาและฟีเจอร์ทำนายงบประมาณ ใช้งานฟรี (แต่จะดีขึ้นถ้าใช้ร่วมกับ Google Ads) เป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับคนทำ SEM เพราะช่วยสนับสนุน Google Ads และคนทำ SEO ก็สามารถใช้ดูข้อมูล Search Volume จากแหล่งข้อมูลของ Google ได้ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่ SEO Specialist ใช้กันตั้งแต่แรกๆ เลย

Free Keyword Research Tool

Free Keyword Research Tool เป็นเครื่องมือการค้นหาคีย์เวิร์ดเบื้องต้นแบบง่ายๆ ฟีเจอร์แนะนำคือการหาแนวทางการสร้างเนื้อหา โดยสามารถใช้ได้ฟรีทั้งหมด เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำ SEO หรือผู้ที่ต้องการไอเดียในการสร้างเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหามากที่สุด

Ahrefs

Ahrefs ช่วยค้นหาและวิเคราะห์ Keyword Research ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของลูกค้า เพื่อปรับปรุงเนื้อหาและเพิ่มการมองเห็นในผลการค้นหา ตรวจสอบปัญหาทางเทคนิคของเว็บไซต์ที่อาจส่งผลต่อ SEO และให้คำแนะนำในการแก้ไข รวมถึงติดตามและวิเคราะห์กลยุทธ์ SEO ของคู่แข่ง เพื่อหาโอกาสและปรับปรุงกลยุทธ์ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสุดยอดสำหรับ SEO Specialists เพราะใช้งานได้หลากหลาย ไม่เพียงแค่ช่วยหาไอเดียคีย์เวิร์ด แต่ยังสามารถใช้ดูข้อมูล On-Page และ Off-Page ของเว็บไซต์ที่เราสนใจได้อีกด้วย

Ubersuggest 

Ubersuggest ช่วยวิเคราะห์ Keyword Research เป็นเครื่องมือที่แสดงข้อมูลปริมาณการค้นหา ความยากในการทำ SEO และไอเดีย Keyword Research ที่เกี่ยวข้อง ช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์ และตรวจสอบ Backlinks เป็นเครื่องมือที่มีทั้งส่วนที่ใช้ได้ฟรี และมีส่วนที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เหมาะสำหรับ SEO Specialist มือใหม่ที่ยังไม่สมัครสมาชิกกับเครื่องมือไหน แต่อยากลองใช้งานหรือฝึกทำ SEO เบื้องต้น

องค์ประกอบของ Keyword Research ที่ทำให้เลือกคำค้นหาได้ดี

องค์ประกอบของ Keyword Research ที่ทำให้เลือกคำค้นหาได้ดี

Keyword Research ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการ และทำให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการเลือกคำค้นหาที่ดีต้องดูจาก 3 องค์ประกอบหลัก ดังนี้

1. ความเกี่ยวข้องกัน (Relevance)

ความเกี่ยวข้อง (Relevance) ของคีย์เวิร์ดกับเนื้อหาของเว็บไซต์เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะบอกว่าคีย์เวิร์ดนั้นๆ เชื่อมโยงกับธุรกิจหรือเว็บไซต์เราได้ดีแค่ไหน ถ้าคีย์เวิร์ดไม่เกี่ยวข้องเลยก็ไม่น่าใช้ เพราะจะไม่ตอบโจทย์ User เท่าที่ควร

2. ความน่าเชื่อถือ (Authority)

ความน่าเชื่อถือ (Authority) ของเว็บไซต์ก็สำคัญไม่น้อย เพราะถ้าเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือสูง เช่น มีผู้เชี่ยวชาญเขียนเนื้อหาหรือมี Backlink ดีๆ จากเว็บอื่นๆ Google จะให้คะแนนมากกว่าเว็บทั่วไป ซึ่งจะช่วยให้ทำ SEO ได้ดีขึ้น

3. จำนวนการค้นหา (Volume)

จำนวนการค้นหา (Volume) ก็สำคัญไม่น้อย เพราะช่วยให้รู้ว่าผู้ใช้งานสนใจคำนั้นๆ มากแค่ไหน ถ้าน้อยเกินไปอาจไม่คุ้มที่จะใช้ แต่ถ้ามากเกินไปก็จะมีการแข่งขันสูง ดังนั้น ต้องหาคีย์เวิร์ดที่มี Volume พอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

Keyword Research สิ่งที่ขาดไม่ได้ หากอยากให้การทำ SEO ได้ผล

Keyword Research สิ่งที่ขาดไม่ได้ หากอยากให้การทำ SEO ได้ผล

Keyword Research ไม่เพียงช่วยให้รู้ว่าผู้ใช้กำลังค้นหาคำไหนอยู่ แต่ยังสำคัญกับการทำ SEO ด้วย เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาของเว็บไซต์และช่วยให้สามารถเลือกคำที่เหมาะสมกับการทำ SEO ได้ดีขึ้นด้วย

ทำให้เข้าใจพฤติกรรมการค้นหาของ User

Keyword Research ช่วยให้เรารู้ว่า User กำลังมองหาอะไร เพื่อเอามาปรับใช้กับเนื้อหาและการตลาดออนไลน์ให้ตรงจุด ทำให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

รู้จักกลุ่มผู้ชมเว็บไซต์ออนไลน์มากขึ้น

การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ User ค้นหาจะช่วยให้เราเข้าใจกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพื่อใช้พัฒนาเนื้อหาและกลยุทธ์การตลาดให้ตรงใจและดึงดูดผู้อ่านได้ดีที่สุด 

เพิ่มยอดขายและทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

การใช้ Keyword ในการหาข้อมูลและวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ช่วยให้เราเข้าใจความสนใจและพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายได้

รับมือกับเทรนด์การตลาดที่มาแรงได้

จากคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้งานค้นหามากขึ้นจะช่วยให้ธุรกิจรู้ทันเทรนด์ใหม่ๆ หรือความต้องการที่เปลี่ยนไปในตลาด ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา

สร้างโอกาสใหม่สำหรับธุรกิจออนไลน์

ช่วยให้เห็นช่องว่างในตลาดที่ยังไม่มีใครเข้ามา ทำให้ธุรกิจมีโอกาสสร้างสิ่งใหม่ๆ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น

สร้างการรับรู้ของแบรนด์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

การใช้ Keyword ในการค้นหาข้อมูลที่ User กำลังค้นหาจะช่วยให้แบรนด์และเนื้อหาปรากฏในผลการค้นหา ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและสร้างการจดจำได้มากขึ้น

ใช้ข้อมูลเพื่อวางแผนคอนเทนต์ในระยะยาว

ข้อมูลจากการทำ Keyword Research จะช่วยให้เราวางแผนกลยุทธ์และทิศทางในการสร้างเนื้อหาระยะยาวที่ตรงกับความต้องการของตลาดได้มากขึ้น

กลยุทธ์ทำ Keyword Research เพื่อเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจเติบโต

กลยุทธ์ทำ Keyword Research เพื่อเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจเติบโต

การทำ Keyword Research เป็นเรื่องสำคัญมากๆ สำหรับการทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพ โดยสามารถทำตามขั้นตอนง่ายๆ ได้ดังนี้

สร้างลิสต์รวบรวม Keyword สำหรับการทำ SEO

เริ่มต้นด้วยการทำลิสต์รวบรวมคำหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา โดยอาจจะเริ่มจากการสังเกตคำที่ลูกค้าค้นหาหรือขอไอเดียจากทีมที่ช่วยคิด ซึ่งลิสต์นี้ควรมีจำนวนที่พอเหมาะ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

จัดแบ่ง Keyword ตามหมวดหมู่

แบ่งกลุ่มคำค้นหาออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่น หมวดสินค้า หมวดบริการ หรือหมวดแคมเปญ เพื่อให้ง่ายต่อการวางแผนและจัดการกลยุทธ์

พิจารณาจุดประสงค์ของ User 

นอกจากคำค้นหาแล้ว ยังต้องพิจารณาด้วยว่าแต่ละคำที่ User ค้นหามีเป้าหมายอย่างไร เช่น ต้องการซื้อสินค้า หาข้อมูล หรือแค่อยากรู้จักแบรนด์

สร้างสรรค์ไอเดียจาก Related Search

Related Search คือฟีเจอร์ที่ Google แนะนำคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคำที่เรากำลังค้นหา เพื่อให้เรามีไอเดียในการสร้างเนื้อหาที่เชื่อมโยงและหลากหลายมากขึ้น ช่วยให้เนื้อหาของเราน่าสนใจและมีประโยชน์ต่อ User มากขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าค้นหาคำว่า “ตลาดหลักทรัพย์” ในส่วน Related Search จะเห็นคำอย่าง “ดัชนีหุ้นตลาดหลักทรัพย์” “หุ้นไทย” หรือ “ข่าวตลาดหลักทรัพย์” ซึ่งเป็นคำที่ผู้ใช้งานมักจะค้นหาต่อจากคำหลักนั้นๆ

เลือก Keyword Research Tool ที่ใช่

Keyword Research คือจุดเริ่มต้นสำคัญของการทำ SEO เพราะช่วยให้เรารู้ว่าผู้ใช้งานกำลังค้นหาอะไรกันบ้าง และสามารถนำคำเหล่านั้นมาใช้เป็นคีย์เวิร์ดสำหรับเว็บไซต์ได้

สรุป

Keyword Research คือกระบวนการค้นหาคำที่ User ใช้ในการค้นหาบน Google เพื่อให้เราสามารถนำมาใช้เป็นคีย์เวิร์ดสำหรับเว็บไซต์ได้ การเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีต้องพิจารณาจากความเกี่ยวข้อง ความน่าเชื่อถือ และปริมาณการค้นหา เพื่อช่วยให้เนื้อหาของเว็บไซต์ปรากฏในผลการค้นหามากขึ้น เครื่องมือที่ช่วยในการทำ Keyword Research เช่น Ubersuggest, Google Keyword Planner และ SEMrush ช่วยให้การวางแผนกลยุทธ์ SEO มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น

ถ้าคุณกำลังสร้างแบรนด์และอยากให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก แต่ยังไม่เชี่ยวชาญด้าน SEO ลองไว้ใจให้ Minimice Group ช่วยดูแลการตลาดให้ ที่นี่มีทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ พร้อมการันตีด้วยรางวัลระดับโลกและลูกค้าที่เป็นธุรกิจชั้นนำจากทั่วประเทศ

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Keyword Research

มาตอบคำถามที่หลายคนสงสัยกันบ่อยๆ เพื่อให้คุณเข้าใจการทำ Keyword Research ได้ชัดเจนขึ้น ดังนี้

ทำ Keyword Research ได้อย่างไร?การทํา Keyword Research สามารถทําได้ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

การทํา Keyword Research สามารถทําได้ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

  • กําหนดวัตถุประสงค์หลักของเว็บไซต์ให้ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการหาคําหลักที่เกี่ยวข้อง
  • ใช้เครื่องมือฟรีอย่าง Google Keyword Planner หรือ Ubersuggest ในการหา Keyword Ideas
  • จัดทํารายการ Keyword ที่เกี่ยวข้องให้เป็นหมวดหมู่ เช่น คีย์เวิร์ดหลัก คีย์เวิร์ดรอง และคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ํา เป็นต้น
  • คัดเลือก Keyword จากรายการตามความเหมาะสม โดยพิจารณาจากยอดค้นหาและ Volume ที่ User ใช้

กฎ 80/20 ในการทำ Long-tail Keywords คืออะไร?

กฎ 80/20 ในการทํา Long-tail Keywords คือ แนวคิดที่แนะนําให้ใช้ Long-tail Keywords ประมาณ 80% และ Short-tail Keywords ประมาณ 20% เหตุผลที่แนะนําให้เน้น Long-tail Keywords เพราะมีการแข่งขันต่ำ เป็นคําที่ผู้ใช้งานใช้ในการค้นหาแบบเฉพาะเจาะจง จึงตรงกับความต้องการมากกว่า ทั้งยังช่วยเพิ่มอัตราการคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ได้ดี เพราะเป็นคําที่ผู้ใช้ต้องการจริงๆ กฎ 80/20 จึงเป็นแนวทางที่ช่วยให้ SEO มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น

ยิ่งการแข่งขันน้อย ค่าใช้จ่ายในการทำ Keyword ก็น้อยจริงไหม?

ในกรณีของ Long tail Keyword ยิ่งการแข่งขันน้อย ค่าใช้จ่ายในการทำคีย์เวิร์ดก็จะยิ่งน้อย เพราะเป็นคีย์เวิร์ดที่การแข่งขันในตลาดน้อย จึงทำให้ค่าใช้จ่ายบน Google Ads โดยรวมน้อยกว่า Keyword ทั่วๆ ไป

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง