Key Takeaway
- Conversion rate คืออัตราส่วนของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ทำการกระทำที่ต้องการ เช่น การซื้อสินค้า หรือการสมัครสมาชิก เปรียบเทียบกับจำนวนผู้เยี่ยมชมทั้งหมด
- Conversion Rate ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทธุรกิจและเป้าหมายการตลาด โดยทั่วไปอัตรา Conversion Rate ที่ดีจะแตกต่างกันตามอุตสาหกรรม เช่น E-commerce ควรอยู่ที่ 3%-5% ส่วน B2B ที่ 5%-10% เป็นต้น
- การทำ Conversion Rate Optimization ช่วยเพิ่มยอดขาย ลดต้นทุนการตลาด และทำให้การลงทุนออนไลน์คุ้มค่า พร้อมปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น
ในโลกของการตลาดดิจิทัล Conversion Rate เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินความสำเร็จของเว็บไซต์หรือแคมเปญต่างๆ ถ้าอยากทำ SEO ให้ได้ผลดี ควรเริ่มจากการเข้าใจว่าค่านี้คืออะไรและมีบทบาทอย่างไรต่อการเพิ่มยอดขายและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
บทความนี้จะพาคุณมาทำความรู้จักกับ Conversion Rate คืออะไร ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงวิธีการวัดผลและเทคนิคในการเพิ่มค่า Conversion ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัลนี้

Conversion Rate คืออะไร? ตัวชี้วัดความสำเร็จ
Conversion Rate คือค่าชี้วัดที่บอกให้เราทราบว่า จากจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์หรือแคมเปญทั้งหมด มีสัดส่วนเท่าไรที่ดำเนินการตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ เช่น การสมัครสมาชิก การกรอกฟอร์ม การซื้อสินค้า หรือการคลิกปุ่มใดๆ
การติดตาม Conversion Rate เป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้เราประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดและการทำ SEO ได้อย่างชัดเจน หากค่า Conversion Rate สูง นั่นหมายถึงเว็บไซต์หรือแคมเปญนั้นๆ สามารถกระตุ้นให้ผู้เยี่ยมชมดำเนินการตามเป้าหมายได้ดีนั่นเอง

Conversion Rate ที่ดีควรอยู่ที่เท่าไรในแต่ละธุรกิจ?
Conversion Rate หรืออัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าจริงนั้นไม่มีค่าตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทธุรกิจ อุตสาหกรรม ช่องทางการตลาด และเป้าหมายการตลาดแต่ละช่วงเวลา โดยทั่วไปแล้ว Conversion Rate ที่ดีสามารถแบ่งตามอุตสาหกรรมได้ ดังนี้
E-commerce
- อัตรา Conversion Rate ทั่วไป: 1%-3%
- Conversion Rate ที่ดี: 3%-5%
หากเกิน 5% ถือว่ายอดเยี่ยม เพราะการขายสินค้าผ่านออนไลน์นั้นต้องแข่งขันกับหลายปัจจัย เช่น ราคา รีวิว และประสบการณ์การใช้งาน
B2B (Business to Business)
- Conversion Rate ทั่วไป: 2%-5%
- Conversion Rate ที่ดี: 5%-10%
B2B มักมีวงจรการตัดสินใจนานกว่า B2C ดังนั้น การสร้างความน่าเชื่อถือและการติดตามลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ
บริการออนไลน์ (Online Services)
- Conversion Rate ทั่วไป: 5%-10%
- Conversion Rate ที่ดี: 10%-15%
หากเป็นบริการที่มีการทดลองใช้ฟรีหรือโปรโมชั่นพิเศษ จะมีโอกาสเพิ่ม CR ได้สูงขึ้น
Lead Generation
- Conversion Rate ทั่วไป: 2%-5%
- Conversion Rate ที่ดี: 5%-8%
การสร้าง Lead มักต้องใช้การดึงดูดด้วยข้อเสนอหรือคอนเทนต์ที่มีคุณค่า
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)
- Conversion Rate ทั่วไป: 1%-2%
- Conversion Rate ที่ดี: 2%-3%
ด้วยการตัดสินใจที่ใช้เวลานาน CR ในอสังหาริมทรัพย์จึงมักต่ำกว่าธุรกิจอื่น
Conversion Rate ที่ดีนั้นไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขที่สูง แต่ยังต้องพิจารณาถึงคุณภาพของการแปลงลูกค้า และการเพิ่มคุณค่าของสินค้าหรือบริการในระยะยาวด้วย

วิธีคิด Conversion Rate ด้วยตัวเอง คิดอย่างไร?
Conversion Rate คิดอย่างไร? ถึงจะวัดผลได้ ซึ่งการคำนวณ Conversion Rate สูตรมีดังนี้
Conversion Rate = (จำนวน Conversion ÷ จำนวนผู้เข้าชม) × 100
ตัวอย่าง
หากมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ 1,000 คน และมี 50 คนที่สั่งซื้อสินค้า ค่า Conversion Rate จะเท่ากับ (50 ÷ 1,000) × 100 = 5%
รู้จักตัวช่วยเพิ่มยอดขาย Conversion Rate Optimization
Conversion Rate Optimization (CRO) คือเทคนิคที่ใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์หรือแคมเปญการตลาดเพื่อเพิ่ม Conversion Rate ให้สูงขึ้น โดยการทำ CRO นักการตลาดจะวิเคราะห์และปรับแต่งส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์ เช่น การปรับดีไซน์ การเพิ่มความเร็วในการโหลด หรือการใช้ Call-to-Action ที่เด่นชัดและชวนให้ผู้ใช้ดำเนินการตามเป้าหมาย เช่น การคลิกปุ่มสั่งซื้อหรือสมัครสมาชิก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เข้าชมเปลี่ยนจากผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้า

6 เหตุผลที่ควรเริ่มทำ Conversion Rate Optimization
หากคุณต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดออนไลน์และทำให้เว็บไซต์ของคุณสร้างผลลัพธ์ได้ดีกว่าเดิม การทำ CRO คือเครื่องมือสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ต่อไปนี้คือ 6 เหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรเริ่มทำ CRO เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
1. รู้จักลูกค้าได้ดีขึ้น
การทำ Conversion Rate Optimization จำเป็นต้องเข้าใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและออกแบบเว็บไซต์จากมุมมองของกลุ่มเป้าหมายเอง คิดว่าอะไรจะทำให้ลูกค้าพอใจและร่วมมือกับคุณมากขึ้น รวมถึงหาสาเหตุที่อาจทำให้ลูกค้าปฏิเสธหรือไม่พอใจการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ การทำ CRO จะช่วยให้คุณเข้าใจลูกค้าดีขึ้นและปรับเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
เพื่อให้การทำ CRO มีประสิทธิภาพ ควรมองภาพรวมการใช้งานจากมุมมองของผู้ใช้ และถ้าเป็นไปได้ควรทดลองใช้งานจริงเพื่อเห็นภาพรวมอย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยออกแบบเว็บไซต์และสินค้าหรือบริการให้ตรงใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
2. เพิ่มประสบการณ์ให้กับ user
UX หรือ User Experience หรือแปลได้ว่าประสบการณ์ผู้ใช้ เป็นหัวใจสำคัญของ CRO จุดประสงค์ของ CRO คือการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน เพื่อให้พวกเขามีความประทับใจและอยากกลับมาใช้งานอีก หรือเลือกซื้อสินค้าหรือบริการหลังจากใช้งานเสร็จ
การสร้าง UX ที่ดีเริ่มจากการเข้าใจกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด และการปรับความเร็วของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้งานไม่รู้สึกหงุดหงิดจากการโหลดช้า เมื่อคุณเลือกใช้ CRO อย่างเหมาะสมและเต็มประสิทธิภาพ จะช่วยให้เกิด UX ที่ดีโดยอัตโนมัติ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนมาก
3. ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำ
เมื่อผู้ใช้งานมีความประทับใจจากการใช้เว็บไซต์ ก็จะเพิ่มโอกาสให้พวกเขากลับมาใช้งานอีก และหากใช้งานซ้ำๆ ก็สามารถเปลี่ยนเป็นลูกค้าที่มี Loyalty สูง ซึ่งสนใจสิ่งใหม่ๆ ที่ธุรกิจนำเสนอ การทำ CRO จะช่วยให้คุณออกแบบเว็บไซต์ให้ง่ายต่อการใช้งาน และกำจัดอุปสรรคที่อาจทำให้การใช้งานไม่ราบรื่น
การเปลี่ยนลูกค้าชั่วคราวให้กลายเป็นลูกค้าที่มีความภักดีถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
4. ช่วยวิเคราะห์และปรับปรุงเว็บไซต์
Conversion Rate Optimization ช่วยให้วิเคราะห์การเข้าชมเว็บไซต์และเห็นจุดที่ทำให้ผู้ใช้งานสะดวก หรือพบปัญหาที่ทำให้พวกเขาหยุดใช้งาน เช่น ฟอร์มที่ต้องกรอกข้อมูลมากเกินไปจนทำให้ลูกค้าทิ้งการสมัคร หรือช่องทางจ่ายเงินที่ไม่สะดวกทำให้ลูกค้าตัดสินใจไม่ซื้อสินค้า โดยการทำ CRO จะช่วยให้คุณปรับปรุงเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายขึ้น
นอกจากนี้ CRO ยังช่วยให้มองเห็นว่า ส่วนไหนในเว็บไซต์ที่มีประโยชน์ ควรเก็บไว้ และส่วนไหนที่ไม่ดึงดูดหรือไม่เคลื่อนไหว ควรปรับปรุงหรือยกเลิก เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์
5. ลดต้นทุน
CRO ช่วยบริหารค่าใช้จ่ายการตลาดออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่มักหมดไปกับการดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ เช่น โฆษณาบน Social Media หรือการใช้ Influencer โปรโมตสินค้า การทำ CRO จะเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้กลายเป็นยอดขายหรือรายได้ที่เพิ่มขึ้น และช่วยให้การลงทุนในส่วนนี้คุ้มค่ามากที่สุด
การทำ CRO ให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความเข้าใจธุรกิจและลูกค้าของคุณ เช่น หากคุณเป็นธุรกิจ E-Commerce การทำ CRO จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณใช้งานง่าย มีการจัดหมวดหมู่สินค้าที่ชัดเจน ทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้น
ยิ่งคุณออกแบบเว็บไซต์โดยคำนึงถึง UX มากแค่ไหน ก็จะยิ่งทำให้การลงทุนในเว็บไซต์นั้นคุ้มค่ามากขึ้น
6. เพิ่มชื่อเสียงของแบรนด์
หากใช้ CRO อย่างเหมาะสมจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมี User Experience ที่ดี ทำให้ผู้ใช้งานประทับใจและกลับมาใช้งานซ้ำ ส่งผลให้ยอดเยี่ยมชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น และมีโอกาสที่ผู้ใช้งานจะแนะนำสินค้าหรือบริการให้คนรอบข้าง ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น

เริ่มต้นทำ Conversion Rate Optimization แบบ Step-by-Step
เพื่อเพิ่ม Conversion Rate ให้มีประสิทธิภาพ ควรเริ่มทำ CRO ด้วยการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน ดังนี้
หาสาเหตุ (Research)
ขั้นตอนแรกในการทำ CRO คือการวิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้แผนการตลาดไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เช่น ลูกค้าไม่กรอกข้อมูลสมัครสมาชิกเพราะฟอร์มยาวเกินไป หรือไม่ซื้อสินค้าเพราะขั้นตอนซับซ้อน จากนั้นกำหนดสิ่งที่จะทดลองแก้ไข โดยเน้นการทดสอบจากมุมมองของผู้ใช้งาน พร้อมทั้งตั้ง KPI ชัดเจน เพื่อวัดผลและปรับปรุงให้ตรงจุด
ตั้งสมมติฐาน (Hypothesis)
การทำ CRO คล้ายกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่ต้องตั้งสมมติฐานและทดสอบการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เพื่อดูว่าผลลัพธ์จะช่วยเพิ่ม CRO ได้หรือไม่ การตั้งสมมติฐานที่ดีจะช่วยให้คุณมีทิศทางการทดสอบที่ชัดเจน ประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณ
ตัวอย่างสมมติฐาน CRO หากพบว่าฟอร์มสมัครสมาชิกมีข้อมูลให้กรอกมากเกินไปจนลูกค้าถอนตัว คุณอาจตั้งสมมติฐานว่า การลดข้อมูลที่ไม่จำเป็น หรือให้ลูกค้ากรอกเฉพาะข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อและเบอร์โทรศัพท์ก่อน แล้วค่อยเก็บข้อมูลเพิ่มเติมในภายหลัง จะช่วยเพิ่ม CRO ได้
ลองทำ A/B Testing
ขั้นตอนที่ 3 ของ CRO คือการทำ A/B Testing หรือการทดสอบเปรียบเทียบ โดยการเปลี่ยนแปลงเพียง 1 ตัวแปร แล้ววัดผลลัพธ์ เพื่อดูว่าสิ่งที่ปรับแก้จะช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้หรือไม่
ตัวอย่าง A/B Testing ทดสอบขั้นตอนสมัครสมาชิกแบบเดิมที่ให้กรอกข้อมูลครบถ้วน กับแบบใหม่ที่ให้กรอกแค่ชื่อ นามสกุล และเบอร์โทร จากนั้นเปรียบเทียบ Conversion Rate ของทั้งสองแบบ เพื่อดูว่าการลดขั้นตอนช่วยเพิ่มอัตราการสมัครได้มากแค่ไหน
วิเคราะห์ผล (Analyze)
หลังจากทดสอบทุกขั้นตอนของ CRO แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการสรุปและวิเคราะห์ผลลัพธ์ เพื่อดูว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้ถูกต้องหรือไม่ และการเปลี่ยนแปลงนั้นช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้มากแค่ไหน
ตัวอย่างการวิเคราะห์ผล หลังจากลดขั้นตอนการสมัครสมาชิก พบว่าจำนวนผู้สมัครเพิ่มขึ้น 5% และ Conversion Rate เพิ่มเป็น 10% แสดงว่าการลดขั้นตอนเป็นแนวทางที่ดีในการเพิ่มยอด Engagement

วิธีเพิ่ม Conversion Rate บนเว็บไซต์แบบง่ายๆ
ยังมีวิธีง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่ม Conversion Rate บนเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้
- ปรับดีไซน์เว็บไซต์ให้น่าใช้งาน จัดวางปุ่ม Call-to-Action ให้โดดเด่นและเข้าถึงง่าย
- ลดขั้นตอนการกรอกฟอร์ม ขอข้อมูลเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น
- ปรับความเร็วเว็บไซต์ โหลดหน้าเว็บให้เร็วขึ้น เพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานหนีไป
- สร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ใช้ข้อความกระตุ้นที่ชัดเจนและตรงประเด็น
- ทดสอบ A/B Testing เปรียบเทียบเวอร์ชันต่างๆ เพื่อดูว่ารูปแบบใดได้ผลดีที่สุด
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ ใส่รีวิวจากลูกค้าจริง เพื่อสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ
สรุป
ในยุคที่การตลาดออนไลน์เป็นหลัก Conversion Rate จึงกลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการตัดสินใจ การทำ Conversion Rate Optimization (CRO) จึงเป็นเทคนิคที่ไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยเพิ่มยอดผู้ใช้งานที่มีโอกาสกลายเป็นลูกค้าของคุณได้ สำหรับธุรกิจที่ควรทำ CRO คือทุกธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์ เนื่องจากไม่มีพนักงานขายคอยกระตุ้นการตัดสินใจ การทำ CRO จึงเข้ามาช่วยปรับเว็บไซต์ให้เป็นเหมือนพนักงานขาย ที่ช่วยเพิ่มโอกาสการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Conversion Rate (FAQ)
ตอบคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับ Conversion Rate (CR) เพื่อให้เข้าใจและนำไปใช้เพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Conversion Rate ใช้วิเคราะห์อะไร
Conversion Rate ใช้วิเคราะห์การเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้กลายเป็นลูกค้า หรือทำตามเป้าหมายที่กำหนด เช่น สมัครสมาชิก หรือซื้อสินค้า
Conversion Rate ต่ำ ทำอย่างไรดี
หาก Conversion Rate ต่ำ ควรปรับดีไซน์เว็บไซต์ให้น่าใช้งาน ลดขั้นตอนการกรอกฟอร์ม และทดสอบ A/B Testing เพื่อหาวิธีที่ได้ผลดีที่สุด
Conversion Rate Optimization ต่างจากการทำ SEO อย่างไร
Conversion Rate Optimization มุ่งเน้นการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้บนเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มอัตราการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้า ขณะที่ SEO มุ่งเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหาผ่านเครื่องมือค้นหา ทั้งสองช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ CRO โฟกัสที่การปรับปรุงเว็บไซต์ ส่วน SEO เน้นที่การดึงดูดผู้เข้าชม