Key Takeaway
- Digital Nomad คือคนที่ทำงานผ่านระบบออนไลน์จากที่ไหนก็ได้ทั่วโลก โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ออฟฟิศ สามารถเดินทางและทำงานไปพร้อมกันได้
- 4 ประเภทของ Digital Nomad ได้แก่ Freelancer รับจ้างอิสระ Remote Worker พนักงานประจำที่ทำงานจากที่ไหนก็ได้ ผู้ประกอบการออนไลน์ที่ทำธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์ และคนที่มี Passive Income มีรายได้จากการลงทุน
- ข้อดีของการทำงานแบบ Digital Nomad คือความยืดหยุ่นในการทำงานจากที่ไหนก็ได้ มีโอกาสในการเดินทางและรับประสบการณ์ใหม่ๆ ส่วนข้อเสียคือ ขาดความมั่นคงทางการเงิน และอาจรู้สึกโดดเดี่ยวหรือขาดการเชื่อมต่อทางสังคม
สมัยนี้คนเราสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้จากทุกมุมโลก สำหรับใครที่เป็นสายท่องเที่ยวห้ามพลาดกับการทำงานรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Digital Nomad ที่กำลังเป็นที่นิยม บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ Digital Nomad ว่าคืออะไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร อาชีพอะไรที่เหมาะกับการทำงานรูปแบบนี้บ้าง และจะเริ่มต้นทำงานนี้ได้อย่างไร ไปดูกัน

ทำความรู้จัก Digital Nomad คืออะไร?
คำจำกัดความง่ายๆ สำหรับ Digital Nomad คือผู้ที่ทำงานในรูปแบบพเนจรโดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวกลาง โดยสามารถขยายความได้คือการทำงานแบบยืดหยุ่น เพียงแค่มีโน้ตบุ๊กกับอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าที่ไหนบนโลกก็สามารถทำงานได้หมด
ส่วนใหญ่กลุ่มคนที่ทำงานรูปแบบนี้ได้มักจะเป็นอาชีพที่ทำงานออนไลน์เป็นหลัก เช่น นักเขียนคอนเทนต์ กราฟิกดีไซน์ นักข่าว คนตัดต่อรูปหรือวิดีโอ คนที่ทำเกี่ยวกับ E-Commerce เป็นต้น กล่าวรวมๆ คือ Digital Nomad เป็นงานที่มีอิสระในการทำงานสูง จึงเหมาะมากกับคนที่ชอบเดินทางเพื่อไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในประเทศรวมถึงต่างประเทศ บางคนก็เที่ยวเพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ

4 ประเภทของ Digital Nomad มีอะไรบ้าง
รู้จักกันไปแล้วกับความหมายของ Digital Nomad มาดูประเภทของการทำงานแบบ Digital Nomad โดยมีทั้งหมด 4 ประเภท แบ่งตามลักษณะการทำได้ดังนี้
1. Freelancer
Freelancer หรือฟรีแลนซ์ คือผู้ที่รับจ้างทำงานโดยไม่ขึ้นกับบริษัทใดๆ มักจะรับทำงานเป็นรายครั้ง มีรายได้จากค่าตอบแทนตามจำนวนชิ้นงาน ขึ้นอยู่กับข้อตกลงต่างๆ ของผู้ว่าจ้างอีกที สามารถจัดแจงตารางในการทำงานได้แบบอิสระ เป็นอาชีพที่ทำให้เห็นภาพของ Digital Nomad ชัดที่สุด
2. พนักงานประจำแบบ Remote Workers
พนักงานประจำแบบ Remote Workers มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับพนักงานประจำทั่วไป เพียงแต่ได้รับอนุญาตให้ทำงานจากที่บ้านหรือจากที่ไหนก็ได้ ได้รับเงินเดือนเหมือนพนักงานประจำที่ทำงานที่บริษัท โดยมีข้อตกลงเป็นตารางการทำงานหรือรายงานผลการทำงานเป็นประจำให้กับสำนักงานใหญ่ สำหรับใครที่อยากทำงานเหมือนพนักงานบริษัทแต่อยากทำในรูปแบบ Digital Nomad ก็สามารถเลือกทำงานประเภทนี้ได้
3. ผู้ประกอบการออนไลน์
ผู้ประกอบการออนไลน์เป็นอีกอาชีพที่เข้าข่ายตามเทรนด์ Digital Nomad เพราะใช้ช่องทางออนไลน์ในการนำเสนอรวมไปถึงขายสินค้า นอกจากนี้ยังมี Solopreneur ที่เน้นการสร้างธุรกิจให้เติบโตด้วยตนเอง ไม่พึ่งพาพนักงานประจำ Influencer ผู้มีอิทธิพลทางความคิดและการตัดสินใจในสื่อสังคมออนไลน์ และ Start-up Founder ผู้ที่เริ่มต้นทำธุรกิจขนาดเล็กด้วยตนเอง
4. คนที่มี Passive Income
ประเภทสุดท้ายของ Digital Nomad นี้จะเป็นผู้ได้ที่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน จึงไม่ต้องทำงานประจำ โดยมีรายได้มาจากหลายช่องทาง เช่น การซื้อหุ้น การลงทุนทางธุรกิจแบบหุ้นส่วน การรับค่าธรรมเนียมจากการดาวน์โหลดผลงานศิลปะสร้างสรรค์ เป็นต้น

เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ของการทำงานแบบ Digital Nomad
ข้อมูลของ Digital Nomad ที่ได้รู้มาจากข้างต้นอาจพอทำให้เห็นว่าเป็นงานรูปแบบใด มีประเภทไหนบ้าง สำหรับใครที่อยากเป็น Digital Nomad ลองมาดูข้อดีและข้อเสียของการทำงานแบบนี้กัน
ข้อดีของการทำงานแบบ Digital Nomad
เริ่มต้นกันที่ข้อดีของ Digital Nomad ที่หลายคนน่าจะพอรู้ว่าคือความอิสระ ความยืดหยุ่น และอื่นๆ ลองไปดูกันว่าทำไม Digital Nomad ถึงทำให้เกิดข้อดีเหล่านี้
- ความเป็นอิสระ ข้อดีอันดับแรกที่คนมักนึกถึงเมื่อได้ทำงานแบบ Digital Nomad เพราะสามารถใช้ชีวิตได้แบบอิสระ ไม่มีการกำหนดเวลาในทำงาน ทำให้เลือกได้ว่าชีวิตส่วนตัวและใช้ชีวิตในการทำงานอย่างไร จัดการเวลาทุกอย่างได้เองแบบไม่มีข้อบังคับ
- การทำงานแบบยืดหยุ่น ต่อเนื่องมาจากความเป็นอิสระ เพราะมีอิสระ จึงสามารถยืดหยุ่นกับชั่วโมงในการทำงาน กำหนดเวลาในการทำงานได้เองเลย อยากทำงานโดยใช้เวลามากหรือน้อยก็ไม่เป็นปัญหา ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเพื่อให้งานออกมาแบบสมบูรณ์ที่สุด
- โอกาสในการเพิ่มคุณภาพชีวิต เมื่อจัดการเวลาเองได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเอาเวลาไปทิ้งกับการเดินทางต่างๆ อาจจะทำงานอยู่บ้าน นำเวลาที่เคยเสียไปจากการเดินทางไปทำอย่างอื่น เช่น งานอดิเรก หรือฝึกทักษะต่างๆ เพิ่มเติม การทำได้หลายอย่างก็อาจช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้
- การเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ เพราะการทำงานที่ไหนก็ได้ จึงเปิดโอกาสให้ได้เดินทางไปหลายสถานที่ไม่ว่าจะเป็นทั้งในประเทศ หรือต่างประเทศ เพื่อหาประสบการณ์หรือแรงบันดาลใจ ต่อยอดไปสู่ไอเดียใหม่ๆ นำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานได้ รวมถึงการได้พักผ่อนกายและใจ ไม่ต้องมาอุดอู้อยู่แต่สถานที่เดิมๆ
ข้อเสียของการทำงานแบบ Digital Nomad
เมื่อรู้ข้อดีของ Digital Nomad กันแล้ว ลองมาดูข้อเสียกันเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนที่คิดจะก้าวเท้าเข้ามาในวงการ Digital Nomad
- อิสระที่มาพร้อมความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ แม้จะมีอิสระมากแค่ไหน แต่ขึ้นชื่อว่าการทำงานก็ต้องทำอย่างตั้งใจและเต็มที่ ยิ่งเป็นรูปแบบการทำงานที่ไม่มีหัวหน้าหรือเจ้าของบริษัทมาเห็นการทำงาน ผลลัพธ์ที่ทำจึงควรทำออกมาให้ดีที่สุด ประสิทธิภาพของงานควรเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของคนอื่น มีความรับผิดชอบสำหรับงานอยู่เสมอ สามารถส่งงานได้ตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ได้
- มีความเสี่ยงที่จะเป็น Burnout อาการเหนื่อยทางอารมณ์นี้สามารถเกิดขึ้นได้เสมอกับ Digital Nomad เพราะการทำงานตลอดโดยไม่หยุดพัก อาจทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากนี้การที่ย้ายสถานที่ทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ ในทุกที่ต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอด ทั้งสภาพความเป็นอยู่ วัฒนธรรม และอื่นๆ จึงอาจทำให้เกิดความเครียดได้
- หาความสมดุลของชีวิตยาก Digital Nomad ไม่ได้เทียบเท่านักท่องเที่ยวสักทีเดียว เพราะการเดินทางไปสถานที่ไหนก็ยังมีงานตามไปด้วยตลอด ดังนั้นจึงควรจัดการเวลาชีวิต แยกเวลาส่วนตัวกับเวลางานออกจากกันให้ชัดเจน เพื่อให้ได้ยังมีเวลาพักผ่อนและทำอย่างอื่นนอกเหนือจากการทำงาน
- พบเจอกับความเหงา สำหรับใครที่คิดว่าตนเองอยู่คนเดียวได้ หากได้ลองทำงานรูปแบบ Digital Nomad ไม่ช้าก็คงได้รู้จักกับความเหงาแน่นอน ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ต้องไปไหนมาไหนคนเดียวจึงทำให้ต้องโดดเดี่ยว ยิ่งไปต่างประเทศจะยิ่งทำให้เหงาได้มากกว่าเดิม ด้วยกำแพงภาษาและอะไรอีกหลายอย่าง ยกเว้นใครที่คิดว่าตนเองสามารถเผชิญและรับมือกับความเหงานี้ได้งานรูปแบบนี้อาจตอบโจทย์

อาชีพอะไรเป็น Digital Nomad ได้บ้าง
Digital Nomad เป็นการทำงานที่ไหนก็ได้จริง แต่ไม่ใช่ทุกอาชีพที่มาทำในรูปแบบนี้ได้ มาดูกันว่าอาชีพไหนที่เหมาะกับการเป็น Digital Nomad บ้าง
1. อาชีพสายเทคโนโลยี
ขึ้นชื่อว่าเทคโนโลยี อย่างไรคงหนีไม่พ้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือระบบออนไลน์ อาชีพสายเทคโนโลยีจึงเป็นอาชีพที่สามารถเป็น Digital Nomad ได้สบาย ส่วนใหญ่สายงานนี้ที่ทำงานรูปแบบ Digital Nomad ได้มักจะทำอาชีพ Programmer หรือ Web Developer ซึ่งเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมและพัฒนาเว็บไซต์
ทักษะที่ควรมีคือการสื่อสารที่ดี ทำงานเป็นทีมได้ บริหารเวลาเป็น รู้จักการจัดระเบียบ รับมือการปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไร แค่มีคอมพิวเตอร์ดีๆ สักเครื่องกับอินเทอร์เน็ตก็พร้อมทำงาน โดยแพลตฟอร์มที่ใช้ในการออกแบบคือ Digital Product, โปรแกรมที่ใช้ในการเขียนโค้ด (Code Editor), Browser Console ใช้เพื่อตรวจดู Error และสั่งการเว็บผ่านการป้อนคำสั่ง เงินเดือนที่ได้รับจะอยู่ที่ประมาณ 140,000 – 300,000 บาท
2. อาชีพสายครีเอทีฟ
สมัยนี้งานที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ อาชีพสายครีเอทีฟจึงเป็นหนึ่งในสายอาชีพที่เหมาะกับการทำงานรูปแบบ Digital Nomad เพราะเป็นอาชีพที่ต้องใช้หัวคิด ไม่ควรเร่งรีบ การได้ออกเดินทางเพื่อรับไอเดียใหม่ๆ ไม่ซ้ำใครจึงสำคัญมาก โดยสายงานครีเอทีฟมีตั้งแต่งานวิดีโอ รูปภาพ งานเขียน ในที่นี้ขอยกตัวอย่างงานเขียนอย่าง Freelance Writer ทั้ง Content Writer, Copywritor และ Editor สำหรับคนที่ชื่นชอบงานเขียนโดยเฉพาะ
ทักษะที่ควรมีคือการสะกดคำ เก่งในเรื่องของไวยากรณ์ เข้าใจในเรื่องของการเขียน สามารถสืบค้นข้อมูลได้ดี มีความคิดสร้างสรรค์ที่แปลกใหม่อยู่เสมอ สื่อสารได้ดี สามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ ควรมีเครื่องมือคือ ระบบจัดเก็บเอกสาร Cloud Storage, ระบบการจัดการเนื้อหาของเว็บไซต์ (Content Management System: CMS), Gig Profile Website, แพลตฟอร์มออกแบบกราฟิก โปรแกรมจัดอันดับ Keyword ส่วนเงินเดือนที่จะได้รับอยู่ที่ประมาณ 75,000 – 285,500 บาท
3. อาชีพสายการศึกษา
หากพูดถึงอาชีพสายการศึกษา ไม่พูดถึงอาชีพการสอนออนไลน์คงไม่ได้ เพราะการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ผู้ถ่ายทอดความรู้อย่างครูอาจารย์จึงควรมีรองรับเช่นกัน โดยการจะเป็นครูสอนออนไลน์แบบ Digital Nomad ได้นั้น ต้องเริ่มจากรู้จักทักษะของตนเองก่อน สามารถเลือกได้ว่าทักษะใดที่ถนัด เพื่อนำมาสอนตามแต่ละวิชาที่เหมาะสม
นอกจากมีความรู้แล้วทักษะอื่นๆ ที่ควรมีคือการสื่อสารที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย บริหารเวลาเป็น เห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความเป็นผู้นำ สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม รวมถึงแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์ เครื่องมือที่จะช่วยให้การสอนออนไลน์ได้อย่างมีคุณภาพ คือ โน้ตบุ๊ก ชุดหูฟังพร้อมไมโครโฟน อินเทอร์เน็ตที่เร็วและเสถียร แพลตฟอร์มการประชุมทางวิดีโอ Google Classrooms และสื่อการสอน เงินเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 90,000 – 140,000 บาท
4. อาชีพสายการตลาด
อาชีพสายการตลาดที่ว่าหมายถึงการตลาดดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับ Digital Nomad เพราะเป็นการทำงานออนไลน์ ตัวอย่างอาชีพในสายงานนี้คือ SEO Specialist เป็นอาชีพที่วิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น Google, Facebook และ Tiktok เพื่อนำข้อมูลไปใช้ปรับแต่งหน้าเว็บไซต์และเขียนเนื้อหาลงเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของตลาด โดย SEO Specialist เป็นตำแหน่งที่ต้องรู้ดีที่สุดในการเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ให้สูงขึ้นบน Google
ทักษะอื่นๆ ที่ควรมีคือ การคิดเชิงวิเคราะห์และเชิงวิพากษ์ สามารถจัดลำดับความสำคัญได้ดี ใฝ่รู้ในการสืบค้นข้อมูล ไปจนถึงมีทักษะการสื่อสารที่ดี ส่วนใหญ่เครื่องมือที่ใช้จะมี Google Analytics, Google Search Console, Keyword Planner และโปรแกรมจัดอันดับ Keywords ในการทำ SEO เงินเดือนประมาณ 115,000 – 215,000 บาท
5. อาชีพสายธุรกิจ
อาชีพที่เกี่ยวกับธุรกิจนอกจากเจ้าของธุรกิจแล้วยังมีที่ปรึกษาทางธุรกิจ ซึ่งสามารถทำงานในรูปแบบ Digital Nomad ได้ หลักๆ คือเป็นที่ปรึกษาโดยให้คำแนะนำกับบริษัทเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ ทั้งเรื่องการปรับปรุงผลทางธุรกิจและประสิทธิภาพการทำงานต่างๆ ช่วยจัดระเบียบหรือแนะนำเรื่องกลยุทธ์ในการโฆษณา จึงเป็นอาชีพที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ เพียงแต่ต้องเตรียมข้อมูลไว้ให้พร้อมเท่านั้น
ทักษะอื่นๆ ที่ควรมีคือ ทักษะการฟังแบบ Active Listening คิดเชิงกลยุทธ์ ความคิดสร้างสรรค์ การจัดการบุคลากร ความเป็นผู้นำ สื่อสารได้ยอดเยี่ยม โน้มน้าวใจเก่ง มีไหวพริบ สามารถเอาใจใส่ สนับสนุนและให้กำลังใจเพื่อนร่วมงานได้ดี เครื่องมือสำคัญสำหรับงานนี้คือ แอปพลิเคชันช่วยตารางเวลาการทำงาน ระบบประมวลการชำระเงินหรือ Payment Processor โปรแกรมการประชุมทางไกล ระบบตั้งเวลาในการโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ซอฟต์แวร์การบริหารจัดการโครงการ ซอฟต์แวร์ Email Marketing ได้รับเงินเดือนประมาณ 200,000 – 450,000 บาท

เคล็ดไม่ลับ เริ่มทำงาน Digital Nomad อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
ใครที่อยากเป็น Digital Nomad ไม่ใช่เรื่องยาก หากกำลังกังวลว่าควรเริ่มต้นอย่างไร ลองมาทำตามเคล็ดลับที่ Minimice นำมาฝาก ดังนี้
1. เลือกงานที่จะทำ
อันดับแรกควรเลือกงานที่จะทำก่อน คิดพิจารณาดีๆ ว่าตนเองเหมาะสมกับงานแบบไหน หรือถนัดในการทำงานสายอาชีพไหน เพื่อให้การเป็น Digital Nomad เป็นไปได้ด้วยดี หากเป็นพนักงานประจำอยู่แล้วก็สามารถเลือกทำแบบ Remote Worker ได้ โดยตกลงเงื่อนไขกับเจ้านายให้เรียบร้อย ควรจัดการงานให้เรียบร้อยแม้จะทำงานอยู่ต่างประเทศก็ตาม หรือหากอยากเปลี่ยนสถานที่ทำงานไปถึงต่างประเทศ การทำ Freelance ก็ตอบโจทย์พอสมควร
2. มองหาลูกค้า
เมื่อมีงานแล้ว สิ่งสำคัญมากๆ เลยคือลูกค้า ควรมองหากลุ่มเป้าหมายที่จะมาว่าจ้าง ซึ่งฟรีแลนซ์ก็มีแพลตฟอร์มต่างๆ ในการหาลูกค้า เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถเชื่อมต่อฟรีแลนซ์เข้ากับลูกค้า หรือเป็นเรื่องของ Connection เป็นการช่วยเหลือพึ่งพากัน หากมีคนรู้จักเราก็อาจนำบอกไปต่อได้ว่าเราเป็นฟรีแลนซ์ แนะนำให้กับคนที่ต้องการว่าจ้างคนที่มีทักษะแบบเรา แลกเปลี่ยนกับการทำงานตอบแทนที่คนรู้จักได้ช่วยเหลือกัน
3. พร้อมออกเดินทาง
หลังจากมีงานและมีลูกค้าแล้วก็พร้อมบินเพื่อเดินทางไปยังต่างประเทศได้ สำหรับคนที่สนใจเดินทางออกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ โดยก่อนออกเดินทางควรเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ควรพลาดสิ่งของตามลิสต์นี้
- ซิมการ์ด ควรซื้อซิมการ์ดเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้ในขณะเดินทาง
- ประกันชีวิต ประกันสุขภาพการเดินทางที่เหมาะกับ Digital Nomad
- ระบบธนาคาร ช่องทาง PayPal และ Transferwise เป็นช่องทางที่ดีในการรับเงินจากลูกค้า
- วีซา การสมัครวีซาขึ้นอยู่กับประเทศที่วางแผนจะไปและระยะเวลาที่จะอยู่ที่ โดยปกติ Digital Nomad มักเดินทางด้วยวีซานักท่องเที่ยวปกติ
4. อยู่ในพื้นที่ที่เหมาะกับการทำงาน
การทำงานของ Digital Nomad ไม่ต่างอะไรจากอาชีพอื่นมากที่ต้องใช้สมาธิในการทำงานสูง จึงควรเลือกสถานที่ทำงานที่เงียบสงบ ไม่ให้มีสิ่งใดมารบกวนเวลาทำงาน และถึงจะอยากทำงานนอกสถานที่มากแค่ไหนก็ควรเลือกสถานที่ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่เร็วและเสถียร เพื่อให้การทำงานทางไกลไม่สะดุด หรือในบางครั้งที่ไม่สามารถเลือกสถานที่ในการทำงานได้ บรรยากาศรอบข้างอาจเต็มไปด้วยเสียงจอแจของคน รถยนต์ หรืออื่นๆ การมีหูฟังดีๆ สักอันจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่จะตัดเสียงรบกวนนี้ได้ เพื่อให้มีสมาธิมากขึ้นในระหว่างที่กำลังทำงาน
5. ห้ามหมดไฟเด็ดขาด
ทุกวันที่ต้องทำงานอาจทำให้เจอเรื่องตื่นเต้นได้อยู่เสมอ สำหรับการทำงานในสถานที่ที่ต่างกันออกไป แต่การเจอคนเยอะๆ อาจทำให้รู้สึกถูกดูดพลังงานจนเหนื่อยล้า ส่งผลต่อการทำงานได้ ทางที่ดีควรพาตนเองให้ได้มาพบปะกับคนที่เป็น Digital Nomad เหมือนกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทำงาน โดยผ่านทาง community ต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย ที่เป็นเหมือนที่พึ่งของคนที่ทำงานในรูปแบบนี้โดยเฉพาะ การได้พูดคุยกับคนที่เข้าใจกันจะช่วยเติมไฟให้แก่กันได้
สรุป
Digital Nomad คือรูปแบบการทำงานที่ทำจากที่ไหนก็ได้ เพียงแค่จัดการเวลา ส่งงานให้ตรงตามที่กำหนดไว้ ส่วนใหญ่สายอาชีพที่เหมาะจะทำงานรูปแบบนี้คือสายเทคโนโลยี ครีเอทีฟ การศึกษา การตลาด ธุรกิจ ขึ้นอยู่กับว่าถนัดและมีทักษะด้านไหนก็เลือกทำงานตามสายอาชีพนั้นๆ ได้เลย ปัจจุบันที่คนหันมาสนใจเป็น Digital Nomad กัน เพราะสังคมเปิดกว้างมากขึ้น การทำงานไม่จำเป็นต้องทำแค่ในออฟฟิศหรือสถานที่ทำงานเพียงอย่างเดียว หากรับผิดชอบตามหน้าที่ได้ ทำงานที่ไหนก็ไม่สำคัญ แต่การทำงานแบบ Digital Nomad ก็มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือเริ่มจากต้องเลือกงานที่ตนเองถนัด มองหาลูกค้าเพื่อให้มีงานทำ จากนั้นเมื่อลงตัวจึงค่อยออกเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ เพื่อรับแรงบันดาลใจเพิ่มได้ โดยต้องเลือกสถานที่ทำงานให้เหมาะสม มีสิ่งแวดล้อมที่ดี สนับสนุนให้มีสมาธิในการทำงาน สุดท้ายเลยคือห้ามหมดไฟ สามารถพูดคุยกับคนที่เป็น Digital Nomad เพื่อเติมไฟให้กับตนเองอยู่เสมอ จะได้ทำงานนี้ไปได้อีกนาน
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
Digital Nomad อาจจะใหม่มากสำหรับบางคน จึงมีหลายคำถามที่คนมักจะสงสัย Minimice เองจึงได้รวบรวมคำถามเหล่านี้มาเพื่อตอบคำถามคลายข้อสงสัย ดังนี้
เลือกประเทศทำ Digital Nomad อย่างไรดี
ก่อนจะเลือกเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเป็น Digital Nomad ควรเช็กลิสต์กันก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าประเทศไหนที่ตรงตามความต้องการของเรา
- ควรมี Co-Working space หรือสถานที่สาธารณะที่มี Wifi เหมาะกับการทำงาน
- ตรวจสอบเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำในการยื่นขอวีซาในประเทศนั้น
- ตรวจสอบหลักฐานของประกันชีวิตในการสมัครวีซา
- ภาษาที่ใช้สื่อสารในประเทศนั้น หากอยากไปแต่ไม่สามารถพูดได้ก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม
- สำรวจค่าครองชีพว่าสามารถอยู่ที่ประเทศนั้นได้สบายหรือไม่
- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ
- ความเร็วของอินเทอร์เน็ตต้องแรงและมีความเสถียร
ทำงานแบบ Digital Nomad ที่ไหนดี
มี 3 ประเทศที่น่าสนใจในการไปใช้ชีวิตเป็น Digital Nomad คือ
- เยอรมนี ประเทศที่มีความโดดเด่นทั้งทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เป็นประเทศที่มีความสงบ เรียบง่าย มีวีซาสำหรับฟรีแลนซ์ สามารถพักอาศัยอยู่ในประเทศได้สูงสุดถึง 3 ปี มีดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 32 จาก 137
- โปรตุเกส มีวีซาประเภท D7 ที่มีอายุ 1 ปี แต่ต่ออายุได้สูงสุดถึง 5 ปี เหมาะมากกับ Digital Nomad เพราะหลังจาก 5 ปีนั้น หากใครชื่นชอบการอาศัยอยู่ในประเทศโปรตุเกสยังสามารถเลือกเป็นผู้อาศัยถาวรได้ด้วย มีดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 55 จาก 137
- จอร์เจีย เป็นประเทศหนึ่งที่เสนอวีซาให้กับ Digital Nomad โดยเปิดให้คนจาก 95 ประเทศสามารถเข้าประเทศได้แบบไม่ต้องขอวีซา อยู่ได้นานถึง 365 วัน ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น หากใครสนใจจอร์เจียประเทศที่มีธรรมชาติสวยๆ ก็เลือกมาที่ประเทศนี้ได้ ที่นี่มีดัชนีค่าครองชีพอยู่ที่ 91 จาก 137
Digital Nomad หาเพื่อนได้ยังไง
การเป็น Digital Nomad ในดินแดนต่างชาติอาจทำให้รู้สึกเหงาได้ จึงควรไปตามหาเพื่อนได้ในช่องทางต่างๆ ดังนี้
- กลุ่ม Digital Nomad ใน Facebook
- Coliving spaces
- Coworking spaces
- งานอีเวนต์ของชาว Digital nomad
- งานอีเวนต์ที่เกี่ยวกับ Networking
- หาจากการทำงานอดิเรก เช่น โยคะ ฟิตเนส คลาสสอนเต้น เล่นสเกตบอร์ด เป็นต้น