Key Takeaway
- การทำ SEM มีข้อดีคือสามารถติดอันดับต้นๆ บนหน้าผลการค้นหาได้ทันที แต่มีข้อเสียคือโอกาสที่ผู้ใช้จะไม่คลิกโฆษณามีสูง
- SEM คือการทำการตลาดออนไลน์โดยใช้ Search Engine เช่น Google, Bing และ Yahoo ในการค้นหาข้อมูลเพื่อให้เว็บไซต์ของเราอยู่บนอันดับต้นๆ โดยใช้ Keyword เป็นตัวกำหนดขอบเขตในการค้นหา
- SEM แบ่งประเภทได้คือ SEO มี On Page SEO, Off Page SEO และ Technical SEO รวมถึง PPC (Pay Per Click) มี Search Ads, Shopping Ads และ Local Ads
- การทำ SEM สำคัญมาก เพราะช่วยเพิ่ม Traffic คุณภาพเว็บไซต์ เพิ่มโอกาสให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและเป็นที่จดจำ เพิ่มโอกาสเกิดยอดขายทางธุรกิจ และยังได้ผลลัพธ์ภายในงบที่จำกัด
- การทำ SEO มีข้อดีคือประหยัดต้นทุน เพราะไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา สามารถทำกับคีย์เวิร์ดจำนวนมาก แต่มีข้อเสียคือต้องใช้เวลานาน (3 – 6 เดือนขึ้นไป) กว่าจะเห็นผลลัพธ์
ในปัจจุบัน ตัวเลือกเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจออนไลน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนั่นคือ SEM หรือย่อมาจาก Search Engine Marketing หมายถึงการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ เพื่อให้เว็บไซต์ของเราอยู่ในอันดับต้นๆ บน Search Engine เนื่องจากธุรกิจในปัจจุบันต้องพึ่งพาช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เพื่อแสวงหาลูกค้าใหม่ๆ มาซื้อสินค้าและบริการในธุรกิจ
บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร และศึกษาขั้นตอน วิธีการทำเพื่อให้ธุรกิจเติบโตในยุคปัจจุบันมาฝากกัน!

SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร?
SEM หรือย่อมาจาก Search Engine Marketing คือการทำการตลาดออนไลน์โดยใช้เครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต (Search Engine) โดยมีเครื่องมืออย่าง Google, Bing และ Yahoo ในการค้นหาข้อมูลเพื่อให้เว็บไซต์ของเราอยู่บนอันดับต้นๆ โดยใช้ Keyword เป็นตัวกำหนดขอบเขตในการค้นหา ซึ่ง Google คือ Search Engine ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน
สำหรับการทำ SEM ประกอบด้วยส่วนของการทำ Paid Search หรือ PPC (Pay Per Click) คือการจ่ายเงินค่าโฆษณาเพื่อให้ได้มาซึ่งอันดับบน Search Engine Optimization หรือ Organic Search คือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เป็นไปตามกฎของ Google เพื่อให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับบน Search Engine เช่นเดียวกัน เพราะยิ่งเว็บไซต์อยู่ในอันดับที่ดีขึ้นมากเท่าไร หมายความว่ายิ่งมีโอกาสที่ผู้ใช้จะเปิดเข้ามายังเว็บไซต์ของเรามากขึ้น
เข้าใจหลักการทำงาน Search Engine เพื่อสร้างแคมเปญ SEM ที่ทรงพลัง
หลักการทำงานของ Search Engine ไม่ว่าจะเป็น Google, Bing และ Yahoo รวมถึงเครื่องมืออื่นๆ ต่างพยายามนำเสนอผลลัพธ์การค้นหาตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด และจัดอันดับสิ่งที่เกี่ยวข้องมากที่สุดไว้อันดับต้นๆ โดยระบบจะทำการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์เว็บไซต์ในส่วนต่างๆ เพื่อจัดอันดับผลลัพธ์ในการแสดงผลผ่านการนำเสนอสิ่งที่สอดคล้องกับผู้บริโภค
ในการทำ SEM หากต้องการให้เว็บไซต์ของตัวเองติดอันดับต้นๆ นั้นไม่ใช่เพียงการใช้คำค้นหาแล้วจะแสดงผลลัพธ์หรือติดอันดับทุกครั้ง แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อการแสดงผลและอันดับของเว็บไซต์ โดยเฉพาะคุณภาพของเว็บไซต์ ซึ่งมีหลักการจัดอันดับคือ ยิ่งเนื้อหาบนเว็บไซต์ของตัวเองเกี่ยวข้องกับคำค้นหามากเท่าไร คะแนนคุณภาพเว็บไซต์ก็จะสูงเช่นกัน และส่งผลให้มีโอกาสที่เว็บไซต์จะติดในอันดับต้นๆ ของการค้นหาอีกด้วย

SEM มีกี่ประเภท? แยกให้ชัด วางกลยุทธ์ให้ตรง
การทำ SEM คือการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ ที่ครอบคลุมหลายประเภทด้วยกัน โดยมีดังนี้
1. SEO (Search Engine Optimization)
SEO เป็นหนึ่งในเครื่องมือการทำการตลาดออนไลน์ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเสียเงินเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เราจำเป็นต้องลงแรง และใช้เวลาค่อนข้างนาน โดยการทำ SEO เป็นการทำให้คนเข้ามายังเว็บไซต์โดยวิธีการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ให้ตรงกับหลักเกณฑ์ที่ Search Engine กำหนดไว้ โดยเฉพาะ Google SEM ที่เป็นเครื่องมือยอดนิยมมากที่สุด และเทคนิคการทำ SEO มีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน ดังนี้
- On Page SEO คือการแทรกคีย์เวิร์ดลงไปบนหน้าเว็บไซต์โดยตรง มักจะใช้วิธีเขียน Blog Content ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อให้ Google Bot สามารถเก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น
- Off Page SEO เป็นการลิงก์บทความไปยังหน้าอื่นหรือเว็บไซต์อื่นๆ หรืออาจจะเป็นเว็บไซต์ที่อ้างอิงถึงเว็บไซต์ของเราก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของเราได้เช่นกัน
- Technical SEO เป็นเทคนิคที่ช่วยเพิ่มคะแนนให้แก่เว็บไซต์ของเรา ทั้งการปรับเว็บไซต์ให้โหลดได้เร็วขึ้น การทำเว็บไซต์ให้รองรับได้ทุก Device และการสร้าง Security Privacy บนเว็บไซต์
2. PPC (Pay Per Click)
Pay Per Click หรือ Paid Search คือ Search Engine ที่ให้บริการระบบโฆษณาแบบคลิกโฆษณาแล้วเสียเงิน เช่น Google Ads, Yahoo, Bing และ Baidu โดยมีค่าใช้จ่ายผ่านการคลิกโฆษณา ซึ่งหากว่ามีโฆษณาเกิดขึ้นบนหน้าจอของเรา แต่ไม่มีการคลิกใดๆ เกิดขึ้น ก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
รูปแบบของ PPC คือการทำโฆษณาโดยใช้คีย์เวิร์ดที่เราประมูลขึ้น ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมที่ทำให้เว็บไซต์ของเราไปปรากฏอยู่บนหน้า Search Result Page หรือหน้าแสดงผลการค้นหา โดยค่าประมูลจะถูกเรียกว่า CPC (Cost Per Click) โดยเป็นราคาที่กำหนดขึ้นตามการคิดคำนวณจากจำนวนการใช้ Keyword โดย Keyword ที่มีการค้นหามาก มีคู่แข่งมาก ก็จะทำให้ CPC สูงขึ้นด้วย
ถ้าต้องการให้เว็บไซต์ของเราอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด ก็ต้องประมูลค่า CPC ให้สูงกว่าคู่แข่ง แต่การจ่ายค่า CPC แพงไม่ได้หมายความว่าจะได้ตำแหน่งที่ดีบน Search Result Page เสมอไป เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ค่า Quality Score ที่คอยคำนวณคุณภาพโฆษณาของเรา ที่ตรวจสอบความเกี่ยวข้องระหว่าง Keyword กับโฆษณา และ Landing Page ซึ่งหากมี Quality Score จะทำให้เราจ่ายค่า CPC ถูกลงและได้ตำแหน่งที่ดีเหมือนเดิม โดยมีคนคลิกเข้ามาดูโฆษณาของเรามากขึ้น
- Search Ads โฆษณาในรูปแบบ Search Ads จะปรากฏบนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERPs) เมื่อผู้ใช้ค้นหาด้วยคำสำคัญเฉพาะ เช่น “ซื้อที่นอนออนไลน์”
- Shopping Ads โฆษณาสินค้าของ Google จะปรากฏเมื่อมีคนค้นหาผลิตภัณฑ์เฉพาะ โดยสามารถปรากฏบนหน้าแสดงผลการค้นหา แท็บช็อปปิงของ Google แผนที่ รวมถึง Google Image และอื่นๆ ส่วนตัวอย่างการค้นหา เช่น “ซื้อพรมกันน้ำสำหรับภายในบ้าน”
- Local Ads โฆษณาท้องถิ่นที่ช่วยโปรโมตธุรกิจในพื้นที่ของเราบนหน้าแสดงผลการค้นหาของ Google และแผนที่ เช่นตัวอย่างคำค้นหา “ร้านส้มตำ ใกล้ฉัน”
ปั้นแบรนด์ให้ติดหน้าแรก Google ด้วย SEM แบบมือใหม่ก็ทำได้
หากต้องการปั้นแบรนด์ของเราให้ติดหน้าแรก Google ด้วย SEM สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยวิธีการ 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. เลือกสินค้าหรือบริการให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย
ปัจจุบันการสร้างเว็บไซต์ไม่ใช่แค่การเพิ่มความน่าเชื่อถือหรือสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์อีกต่อไป แต่ยังเพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าเพื่อนำมาปรับใช้ในการวางแผนการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งลักษณะเว็บไซต์ของแบรนด์ต่างๆ เช่น แบรนด์รองเท้า แบรนด์โทรศัพท์มือถือ ต่างนำเสนอบริการผ่านเว็บไซต์ให้ลูกค้าสามารถซื้อได้ทันที การทำแบบนี้นอกจากจะช่วยให้เราโฟกัสสิ่งที่ต้องการนำเสนอได้แล้ว ยังช่วยจำกัดขอบเขตคำค้นหาเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ดียิ่งขึ้น
2. ค้นหา Insight ที่ทรงพลังจากกลุ่มเป้าหมาย
ศึกษาข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มเป้าหมายเพื่อกำหนดคำค้นหาที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละช่วงการตัดสินใจ โดยมีแนวทางกำหนดคำค้นหาง่ายๆ คือคำค้นหาที่สะท้อนปัญหาหรือแนวทางแก้ไขปัญหาของลูกค้า ใช้กลุ่มคำที่ไม่ได้ระบุเจาะจงไปยังสินค้าหรือบริการของเราโดยตรง แต่เป็นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังเริ่มต้นศึกษาหรือมองหาสิ่งที่แก้ไขปัญหา (Pain Point) คำค้นหาลักษณะนี้จะเหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการเป็นหลัก
และคำค้นหาที่บอกถึงความต้องการของลูกค้า ใช้กลุ่มคำที่ระบุถึงประเภทของสินค้าหรือบริการโดยตรง แต่มีการเพิ่มคำที่สะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างชัดเจน เช่น “บ้านมือสอง ราคา” “รีวิวไอโฟน” ซึ่งเป็นกลุ่มคำที่แสดงให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายกำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านการเช็กราคา รีวิว แม้ว่ากลุ่มคำจะมีปริมาณการค้นหาต่ำ แต่มีราคาประมูลสูง เนื่องจากเป็นกลุ่มคำที่มีโอกาสสร้างยอดขายได้มากที่สุด ทำให้มีคู่แข่งในตลาดประมูลแข่งกันมาก
3. เตรียมข้อความโฆษณาที่เปลี่ยนผู้ชมเป็นลูกค้า
สิ่งแรกที่ผู้ค้นหาจะพบคือเว็บไซต์ต่างๆ ที่มี URL หัวข้อ และคำอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับเนื้อหา ซึ่งส่วนต่างๆ เหล่านี้เราสามารถกำหนดได้เองตามความต้องการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละเครื่องมือการทำโฆษณาของ Search Engine ว่ากำหนดจำนวนตัวอักษรของแต่ละส่วนไว้เท่าไร
หลักการประเมินอันดับในการแสดงผลของการทำ SEM เป็นไปตามคุณภาพของเว็บไซต์ หัวข้อของเว็บไซต์และคำอธิบายสั้นๆ ต้องสอดคล้องไปกับคำค้นหาที่เราประมูลและเนื้อหาบนเว็บไซต์ปลายทาง เพื่อให้ระบบ Search Engine มองว่าโฆษณาของเราตรงกับสิ่งที่คนกำลังมองหา ก็จะทำให้โฆษณามีโอกาสติดโอกาสติดอันดับต้นๆ

ทำไมถึงควรทำ SEM? กลยุทธ์ลับที่แบรนด์ใหญ่ใช้ดึงลูกค้าเข้าเว็บไซต์
การทำ SEM คือกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีความสำคัญสำหรับธุรกิจในยุคดิจิทัล เพราะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จได้อย่างชัดเจน โดยมีข้อดีดังนี้
เพิ่ม Traffic คุณภาพเข้าเว็บไซต์
SEM ช่วยดึงดูดผู้ใช้งานที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจริงๆ ให้เข้ามายังเว็บไซต์ของเรา ผ่านการใช้คีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพและเหมาะสม ทำให้ Traffic ที่เพิ่มขึ้นเป็น Traffic ที่มีคุณภาพ ตรงกับสินค้าและบริการหรือวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์อย่างแท้จริง
เพิ่มโอกาสให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและถูกจดจำ
การทำ Search Engine Marketing ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและจดจำในวงกว้างบนโลกออนไลน์ เพราะแม้สินค้าจะดีแต่ถ้าโปรโมตไม่ดี ก็ไม่มีใครเห็น การโฆษณาผ่าน SEM จึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างการรับรู้และความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
เพิ่มโอกาสเกิดยอดขายทางธุรกิจ
SEM ช่วยให้ธุรกิจออนไลน์สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ จึงเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นลูกค้าจริง และส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ได้ผลลัพธ์ภายในงบที่จำกัด
การทำ Search Engine Marketing สามารถปรับปรุงแคมเปญโฆษณาให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มีได้ ไม่จำเป็นต้องใช้งบจำนวนมาก จึงเหมาะกับธุรกิจ SME หรือธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด แต่ต้องการผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและรวดเร็ว

ประเภท Keyword ที่ใช้ทำการตลาดแบบ PPC
ประเภทของคีย์เวิร์ดที่ใช้ในการทำการตลาดแบบ PPC มีหลายรูปแบบ โดยการเลือกใช้คีย์เวิร์ดแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการยิงโฆษณาให้เหมาะสม ดังนี้
Broad Match
Broad Match เป็นคีย์เวิร์ดแบบกว้าง ที่ไม่มีเครื่องหมายพิเศษนำหน้า โฆษณาจะถูกแสดงเมื่อมีการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องหรือใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดนั้นๆ รวมถึงคำสะกดผิดหรือคำพ้องความหมาย เช่น หากใช้คีย์เวิร์ด “รองเท้าผู้หญิง” โฆษณาอาจแสดงเมื่อคนค้นหาคำว่า “รองเท้าสตรี” หรือ “รองเท้าแตะผู้หญิง” ด้วย
Phrase Match
Phrase Match ใช้เครื่องหมายคำพูด “” ครอบคีย์เวิร์ดไว้ เพื่อให้โฆษณาแสดงเฉพาะเมื่อคำค้นหามีวลีที่ตรงกับคีย์เวิร์ดนั้นๆ ตามลำดับคำที่กำหนด เช่น “รองเท้าผู้หญิง” โฆษณาจะถูกแสดงเมื่อคำค้นหามีวลีนี้เรียงกันตรงๆ เช่น “ซื้อรองเท้าผู้หญิงที่ไหนดี” แต่จะไม่แสดงถ้าคำเรียงสลับหรือห่างกัน
Exact Match
Exact Match เป็นคีย์เวิร์ดที่แคบที่สุด โดยใช้เครื่องหมายวงเล็บ [ ] ครอบคำไว้ โฆษณาจะแสดงเฉพาะเมื่อคำค้นหาตรงกับคีย์เวิร์ดอย่างแม่นยำ ไม่มีคำอื่นเพิ่มเติม เช่น [รองเท้าผู้หญิง] จะไม่แสดงโฆษณาหากคำค้นหามีคำอื่นแทรกหรือเรียงสลับ
Negative Match
Negative Match ใช้เครื่องหมายลบ (-) นำหน้าคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ช่วยให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งควบคุมงบประมาณการโฆษณาให้คุ้มค่าที่สุด โดยเริ่มจากคีย์เวิร์ดที่แคบและเฉพาะเจาะจงก่อน แล้วค่อยขยายไปยังคีย์เวิร์ดประเภทกว้างขึ้น พร้อมกับใช้ Negative Keywords อย่างสม่ำเสมอเพื่อกรองกลุ่มที่ไม่ต้องการ
Google Ads VS. SEM เหมือนหรือต่างกันยังไง? สองคำที่คนมักเข้าใจผิดบ่อย
Google Ads เป็นเพียงหนึ่งในรูปแบบของ SEM ซึ่ง SEM คือการทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาโดยรวม ทั้งการทำโฆษณาแบบจ่ายเงิน (PPC) และการทำ SEO ที่ไม่ต้องเสียค่าโฆษณาโดยตรง
Google Ads คือแพลตฟอร์มโฆษณาของ Google ที่ใช้ระบบการจ่ายเงินแบบ PPC ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์ของคุณแสดงผลในตำแหน่งที่โดดเด่นบนหน้าผลการค้นหา รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรของ Google เช่น Google Display Network (GDN) ที่สามารถโฆษณาด้วยรูปภาพหรือไฟล์เคลื่อนไหวได้ด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลที่หลายคนมักใช้คำว่า SEM แทน Google Ads เพราะ Google Ads เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมและทรงพลังที่สุดในตลาด SEM ในปัจจุบัน

SEO หรือ SEM (PPC–Google Ads) เลือกทำแบบไหนดี?
ทั้งการทำ SEO และ SEM (PPC–Google Ads) ต่างเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียดังนี้
การทำ SEO
SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ทั้งในส่วนของ On-Page และ Off-Page เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับในผลการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic Search) โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายต่อคลิก\
ข้อดี
- ประหยัดต้นทุน เพราะไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา
- ผลลัพธ์มีความยั่งยืน อยู่บนหน้าผลการค้นหาได้นาน
- สามารถทำกับคีย์เวิร์ดจำนวนมากได้
- ดึงดูดลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง
ข้อเสีย
- ต้องใช้เวลานาน (3 – 6 เดือนขึ้นไป) กว่าจะเห็นผลลัพธ์
- อันดับผลการค้นหาไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงที่คีย์เวิร์ดจะไม่ติดอันดับ
- ต้องมีความรู้และทักษะเฉพาะในการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับเกณฑ์ของเครื่องค้นหา
อ่านเพิ่มเติม : รู้ก่อนได้เปรียบ SEO คืออะไร? พร้อม 5 หัวใจสำคัญช่วยดันเว็บไซต์
การทำ SEM
SEM คือการทำโฆษณาบนเครื่องมือค้นหา เช่น Google Ads ซึ่งเป็นการจ่ายเงินเมื่อมีผู้คลิกโฆษณา (Pay-Per-Click)
ข้อดี
- เริ่มต้นได้ง่ายและเห็นผลลัพธ์รวดเร็วทันทีหลังเริ่มแคมเปญ
- สามารถติดอันดับต้นๆ บนหน้าผลการค้นหาได้ทันที
- เลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำด้วยการตั้งค่าต่างๆ เช่น อายุ สถานที่ หรือพฤติกรรม
ข้อเสีย
- มีค่าใช้จ่ายต่อคลิก ซึ่งอาจสูงขึ้นตามการแข่งขันของคีย์เวิร์ด
- โอกาสที่ผู้ใช้จะไม่คลิกโฆษณามีสูง
- ไม่มีการันตีว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นทันที
สรุป
SEM หรือ (Search Engine Marketing) คือเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและไม่อาจมองข้ามได้สำหรับผู้ประกอบการในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจ E-commerce ที่การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างรวดเร็วและตรงจุดเป็นสิ่งสำคัญ SEM ช่วยให้สินค้าหรือบริการของคุณเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ค้นพบและเลือกซื้อสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจได้อย่างชัดเจน
หากกำลังมองหาเอเจนซีการตลาด เข้าใจใน SEM ทั้งในรูปแบบของการโฆษณา และการทำ SEO ควบคู่กัน แนะนำ Minimice Group ให้เราช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณมีผู้เข้าชมมากขึ้น และขยายผลความสำเร็จทางธุรกิจไปได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
SEM คืออะไร
SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing หรือก็คือการทำการตลาดบนเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต มีทั้งในรูปแบบ Paid Search และ Organic Search
Google Ads vs. SEM เหมือนหรือต่างกันยังไง?
Google Ads เป็นส่วนหนึ่งใน SEM แต่ในปัจจุบันคนมักเรียก SEM ว่า Google Ads ไปเลย นั่นเพราะว่า Google Ads เป็นแพลตฟอร์มที่นิยมมากที่สุดในการทำการโฆษณาในหลายๆ ประเทศนั่นเอง
SEO หรือ SEM เลือกทำแบบไหนดีนะ?
ทั้ง SEO และ SEM (PPC–Google Ads) มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่เราแนะนำว่าควรทำควบคู่กันทั้งสองอย่าง เพราะมีประโยชน์กันคนละแบบ การทำทั้ง SEO และ Ads ก็จะครอบคลุมประโยชน์ในหลายๆ ด้านมากกว่า