SERP คืออะไร กลยุทธ์ดันบทความ SEO ให้ติดหน้าแรกบนเว็บไซต์

SERP คืออะไร กลยุทธ์ดันบทความ SEO ให้ติดหน้าแรกบนเว็บไซต์

Table of Contents

Key Takeaway

  • SERP ย่อมาจาก Search Engine Results Page หรือหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา เป็นหน้าที่แสดงผลลัพธ์เมื่อเราค้นหาคำหรือวลีใน Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่น ประกอบด้วยลิงก์เว็บไซต์ โฆษณา แผนที่ รูปภาพ หรือข้อมูลแบบต่างๆ
  • โครงสร้างของ SERP มีหลายประเภท เช่น ผลการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic) และโฆษณา (Paid Ads) นอกจากนี้ SERP ยังมี Features พิเศษอย่าง Featured Snippets, Local Pack, Knowledge Panel, People Also Ask และฟีเจอร์มาใหม่อย่าง AI Overviews
  • กลยุทธ์หลักคือการทำ SEO (Search Engine Optimization) ให้เว็บไซต์มีคุณภาพและตอบโจทย์ผู้ใช้ เช่น ใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสม ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้โหลดเร็ว และเนื้อหาน่าเชื่อถือ รวมถึงสร้าง Backlink จากเว็บไซต์อื่นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับ Google


เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาเราค้นหาอะไรใน Google ถึงเจอแค่บางเว็บไซต์เท่านั้นที่ขึ้นมาอยู่หน้าแรก? แล้วทำไมบางเว็บที่มีเนื้อหาดีกลับไม่มีคนเห็นเลย? คำตอบของเรื่องนี้ซ่อนอยู่ในคำว่า SERP และกลยุทธ์ SEO ที่หลายเว็บไซต์ใช้เพื่อแย่งชิงพื้นที่บนหน้าจอของคุณ

บทความนี้พาไปทำความรู้จักกับ SERP คืออะไร? โครงสร้างหน้าตาเป็นอย่างไร? รวมถึงเทคนิคการทำ SEO ที่ช่วยให้บทความของคุณติดอันดับหน้าแรก Google ได้แบบยั่งยืน พร้อมเคล็ดลับที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่ว่าจะมือใหม่หรือสายทำคอนเทนต์ก็เข้าใจได้ง่าย!

SERP คืออะไร? สำคัญอย่างไรกับ SEO

SERP คืออะไร? สำคัญอย่างไรกับ SEO

SERP ย่อมาจากคำว่า Search Engine Results Page หรือที่เรียกกันว่า “หน้าผลลัพธ์การค้นหา” ของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google, Bing หรือ Yahoo หรือเครื่องมือค้นหาอื่นๆ หน้านี้จะแสดงลิงก์ไปยังเว็บไซต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำค้น ทั้งแบบธรรมชาติ (Organic) และแบบโฆษณา (Paid)

การที่เว็บไซต์จะไปปรากฏอยู่ใน SERP โดยเฉพาะในหน้าแรกของการติด Ranking Page Google จึงมีความสำคัญมาก เพราะผู้ใช้งานส่วนใหญ่มักคลิกเฉพาะลิงก์ที่อยู่บนสุดหรือในหน้าแรกเท่านั้น การทำ SEO หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะกับการค้นหา จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้เนื้อหาของคุณแสดงผลใน SERP ได้โดดเด่น และเพิ่มโอกาสในการถูกคลิกเข้าชมอย่างมาก

รู้จักโครงสร้างของ Search Engine Results Page (SERP)

เมื่อเรารู้แล้วว่า SERP คืออะไร และสำคัญต่อการทำ SEO แค่ไหน ลองดูให้ลึกขึ้นอีกนิดว่าโครงสร้างของ SERP จริงๆ แล้วมีอะไรบ้าง เพราะแต่ละประเภทของผลลัพธ์ที่ปรากฏบนหน้า Google นั้นมีรูปแบบต่างกัน แต่ละแบบก็เปิดโอกาสให้นำมาใช้ต่อยอดการทำ SEO ได้แตกต่างกันด้วย มาดูกันเลยว่า SERP มีกี่ประเภท และจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง!

Organic Results (ผลการค้นหาธรรมชาติ)

ผลการค้นหาธรรมชาติ (Organic Results) คือผลลัพธ์ที่แสดงบน SERP โดยไม่ต้องจ่ายเงินให้กับ Google เป็นผลลัพธ์ที่ถูกจัดอันดับขึ้นมาโดยอัลกอริธึมของ Google จากคุณภาพและความเกี่ยวข้องของเนื้อหาในแต่ละเว็บไซต์กับคำค้นหาที่ผู้ใช้งานพิมพ์เข้ามา

ผลลัพธ์ประเภทนี้ถือว่าเป็น “เป้าหมายหลัก” ของการทำ SEO เพราะการที่เว็บไซต์ติดอันดับในส่วนนี้ หมายความว่า Google มองว่าเนื้อหามีคุณภาพ ตรงกับสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหา และที่สำคัญคือไม่ต้องเสียเงินโฆษณาเลยแม้แต่บาทเดียว!

การมีอันดับดีใน Organic Results จะช่วยให้เว็บไซต์ได้ Traffic ระยะยาวแบบยั่งยืน และยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์หรือบทความอีกด้วย

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ Organic Results

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ Organic Results (ผลการค้นหาธรรมชาติ)

  • วิธีพับเสื้อให้ประหยัดพื้นที่
  • รีวิวเครื่องซักผ้ายี่ห้อไหนดี 2025
  • วิธีซักผ้าขาวให้สะอาดเหมือนใหม่

คำค้นเหล่านี้มักนำผู้ใช้ไปยังบทความรีวิว บล็อกให้ความรู้ หรือเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเชิงลึก ซึ่งล้วนเป็นผลลัพธ์แบบธรรมชาติ ที่ไม่ได้เสียเงินซื้อโฆษณานั่นเอง

Paid Results (โฆษณา)

Paid Results หรือที่เรียกกันว่า “โฆษณา” คือผลลัพธ์ที่แสดงขึ้นบนหน้าแรกของ Google หรือ Search Engine อื่นๆ โดยผู้ลงโฆษณาจะต้องจ่ายเงินเพื่อให้เว็บไซต์แสดงในตำแหน่งที่มองเห็นง่าย เช่น ด้านบนสุดของหน้าผลการค้นหา โดยมักจะมีคำว่า “โฆษณา” หรือ “Ad” กำกับไว้ชัดเจน 

ผลลัพธ์ประเภทนี้ไม่ได้ขึ้นอันดับด้วยวิธีธรรมชาติแบบ SEO แต่เกิดจากการประมูลพื้นที่โฆษณา โดยเจ้าของเว็บไซต์เลือกคีย์เวิร์ดที่ต้องการให้โฆษณาปรากฏ แล้วจ่ายเงินตามจำนวนคลิก (CPC – Cost Per Click) หรือจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกแสดง (CPM – Cost Per Thousand Impressions)

ความสำคัญของ Paid Results อยู่ที่ความสามารถในการผลักดันเว็บไซต์หรือแบรนด์ให้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่ผู้ค้นหาเห็นได้ทันที โดยไม่ต้องรอเวลานานเหมือนการทำ SEO การลงโฆษณาผ่าน Google Ads ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วและแม่นยำ

เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์เร็วหรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง เช่น การขายสินค้าออนไลน์ การจัดโปรโมชันระยะสั้น หรือการเปิดตัวบริการใหม่ เพราะเลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจงได้ เช่น คนในพื้นที่ อายุ ความสนใจ หรือแม้แต่พฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ผ่านมา โฆษณาแบบนี้ยังสามารถควบคุมงบประมาณได้ วัดผลได้ชัดเจน และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันทีหากไม่เวิร์ก

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ Paid Results

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ Paid Results (โฆษณา)

  • เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ตัวต่อตัว
  • ซื้อเครื่องซักผ้าฝาหน้า ราคาพิเศษ
  • รับทำเว็บไซต์ราคาถูก

คีย์เวิร์ดเหล่านี้มักเป็นคำที่มีมูลค่าทางธุรกิจสูง และมีการแข่งขันสูงใน Google Ads ทำให้หลายแบรนด์เลือกจ่ายเงินเพื่อแย่งชิงตำแหน่งบนหน้าแรก

Featured Snippets (คำตอบสรุปด้านบน)

Featured Snippets หรือที่หลายคนเรียกว่า “คำตอบสรุปด้านบน” คือผลลัพธ์พิเศษที่ Google แสดงไว้ด้านบนสุดของหน้าผลการค้นหา โดยจะดึงคำตอบสั้นๆ มาจากหน้าเว็บไซต์ที่ Google มองว่าให้ข้อมูลตรงกับคำถามของผู้ใช้งานมากที่สุด แล้วนำมาสรุปให้เห็นทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปอ่านในเว็บไซต์ก็ได้

ลักษณะของ Featured Snippets จะมาในรูปแบบย่อหน้า ตาราง รายการหัวข้อ หรือแม้แต่วิดีโอ โดยจะแสดงอยู่เหนือผลลัพธ์แบบธรรมชาติ (Organic) และมักถูกเรียกว่า “อันดับ 0” เพราะอยู่บนสุดก่อนใครทั้งหมด นับว่าเป็นตำแหน่งทองที่หลายเว็บไซต์อยากไปอยู่ให้ได้

การที่เว็บไซต์ได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่ง Featured Snippets ถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือ และช่วยดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้ามามากขึ้น แม้ว่าบางคนจะอ่านคำตอบจากกล่องนั้นเลยโดยไม่คลิกก็จริง แต่ก็มีสถิติที่ชี้ว่าเว็บไซต์ที่ได้แสดงใน Snippet นี้ มักได้ยอดคลิกสูงขึ้นกว่าการอยู่แค่ในอันดับ 1 แบบปกติ

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ Featured Snippets

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ Featured Snippets (คำตอบสรุปด้านบน)

  • กินวิตามินซีเวลาไหนดี
  • วิธีซักผ้าขาวให้สะอาด
  • เสื้อผ้าแบบไหนไม่ควรอบแห้ง

คำค้นเหล่านี้มีแนวโน้มสูงที่ Google จะเลือกแสดงเป็นคำตอบสรุปในกล่องด้านบน โดยเฉพาะถ้าเว็บไซต์มีโครงสร้างเนื้อหาดี ใช้หัวข้อชัดเจน และตอบคำถามได้ตรงประเด็น

Knowledge Panel (ข้อมูลสรุปด้านขวา)

เมื่อค้นหาชื่อบุคคลสำคัญ แบรนด์ดัง หรือสถานที่ที่มีชื่อเสียงใน Google อาจเคยเห็นกล่องข้อมูลสรุปที่ปรากฏอยู่ทางขวามือของหน้าจอ (ในเดสก์ท็อป) หรืออยู่ด้านบนสุดของหน้าจอ (ในมือถือ) สิ่งนั้นเรียกว่า Knowledge Panel หรือเรียก “ข้อมูลสรุปด้านขวา”

Google สร้างกล่องนี้ขึ้นมาเพื่อแสดงข้อมูลสรุปแบบกระชับจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น Wikipedia, Google My Business, Wikidata หรือฐานข้อมูลของ Google เอง โดยภายในจะมีรายละเอียดสำคัญต่างๆ เช่น ชื่อเต็ม รูปภาพ โลโก้ เว็บไซต์ วันก่อตั้ง สถานที่ตั้ง หรือแม้แต่โซเชียลมีเดีย

ความสำคัญของ Knowledge Panel คือช่วยให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ต้องการทันทีโดยไม่ต้องคลิกลิงก์เข้าไปดูในเว็บไซต์อื่น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์หรือบุคคลที่ถูกค้นหา เพราะมันเปรียบเสมือน “นามบัตรดิจิทัล” ที่แสดงต่อหน้าคนจำนวนมากในทันที

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้ที่มีโปรไฟล์ออนไลน์ การมีชื่ออยู่ใน Knowledge Panel ไม่เพียงช่วยให้แบรนด์ดูมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น แต่ยังเพิ่มโอกาสในการถูกจดจำและทำให้คนค้นพบคุณได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ Knowledge Panel

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ Knowledge Panel (ข้อมูลสรุปด้านขวา)

  • Tesla
  • Mark Zuckerberg
  • กรุงเทพมหานคร

Google จะเลือกแสดงผลลัพธ์นี้เมื่อเห็นว่าคำค้นนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีตัวตนหรือมีความรู้ที่ยืนยันได้ เช่น คน บริษัท สถานที่ หรือวัตถุทางประวัติศาสตร์

Local Pack (ผลการค้นหาในแผนที่)

Local Pack หรือที่เรียกกันว่า “ผลการค้นหาในแผนที่” คือการแสดงผลลัพธ์การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ในรูปแบบของแผนที่ โดยมักจะปรากฏในหน้าแรกของผลการค้นหาบน Google เมื่อผู้ใช้ค้นหาสิ่งที่ต้องการในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น ร้านอาหาร คลินิก โรงแรม หรือบริการต่างๆ การแสดงผลนี้จะรวมทั้งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ชื่อร้าน ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และการรีวิวของผู้ใช้งาน ซึ่งอยู่ในแผนที่ Google Maps พร้อมทั้งแสดงข้อมูลสั้นๆ เช่น คะแนนจากรีวิวและลิงก์ที่สามารถคลิกเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้

ความสำคัญของ Local Pack คือทำให้ธุรกิจที่มีสถานที่ตั้งจริงสามารถปรากฏตัวในผลการค้นหาของผู้ใช้ที่อยู่ใกล้เคียงได้ทันที ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับธุรกิจท้องถิ่นที่ต้องการเพิ่มการมองเห็นและดึงดูดลูกค้าผ่านการค้นหาบนมือถือหรือคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ การแสดงผลใน Local Pack ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้นว่าควรเข้าไปใช้บริการจากร้านหรือธุรกิจนั้นๆ หรือไม่

สำหรับธุรกิจหรือผู้ที่ต้องการให้ธุรกิจของตัวเองแสดงใน Local Pack การลงทะเบียนใน Google My Business เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจแสดงผลในการค้นหาท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น โดยการใส่ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานที่ตั้ง การติดต่อ และเวลาทำการเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้แสดงผลอย่างแม่นยำ

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ Local Pack

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ Local Pack (ผลการค้นหาในแผนที่)

  • ร้านอาหารญี่ปุ่น กรุงเทพ
  • ร้านซักรีด ใกล้ฉัน
  • คลินิกทำฟัน พัทยา

การที่ผลลัพธ์เหล่านี้ปรากฏใน Local Pack ช่วยให้ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลได้ทันทีและง่ายขึ้น ทั้งที่อยู่และข้อมูลการติดต่อสามารถเข้าถึงได้โดยตรงจากแผนที่ Google ซึ่งเป็นเครื่องมือที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้

People Also Ask (คำถามที่เกี่ยวข้อง)

เมื่อค้นหาคำอะไรบางอย่างใน Google แล้วพบกล่องคำถามที่สามารถกดเพื่อขยายดูคำตอบได้ เช่น “ทำไมผ้าขาวถึงหมองเร็ว?” หรือ “เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้ากับฝาบนต่างกันอย่างไร?” นั้นคือสิ่งที่เรียกว่า People Also Ask หรือ PAA หรือคำถามที่เกี่ยวข้อง

Google แสดงกล่องนี้ขึ้นมาเพื่อช่วยผู้ใช้สำรวจคำถามที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขากำลังค้นหา โดยคำถามเหล่านี้เกิดจากการรวบรวมพฤติกรรมการค้นหาจริงๆ ของผู้ใช้งานทั่วไปในหัวข้อนั้นๆ เมื่อคลิกที่หนึ่งคำถาม ก็จะขยายออกมาเป็นคำตอบสั้นๆ พร้อมลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งข้อมูล และยังมีคำถามใหม่ๆ ปรากฏขึ้นเพิ่มอีกเรื่อยๆ ตามบริบทที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่ทำให้ People Also Ask สำคัญต่อการทำ SEO คือเปิดโอกาสให้เว็บไซต์แสดงผลในหลายตำแหน่งบนหน้าแรก แม้จะไม่ได้อยู่อันดับ 1 ก็ตาม ถ้าบทความตอบคำถามที่อยู่ในกล่องนี้ได้อย่างชัดเจน Google ก็มีโอกาสดึงเนื้อหาของคุณมาแสดง และหากผู้ใช้งานสนใจก็จะคลิกเข้าเว็บไซต์ต่อทันที ซึ่งช่วยเพิ่ม Traffic และสร้างความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ได้อย่างดีเยี่ยม

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ People Also Ask

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ People Also Ask (คำถามที่เกี่ยวข้อง)

  • ธาตุเหล็กสูงเกิดจากอะไร
  • ซักผ้าด้วยน้ำร้อนดีไหม
  • ทำไมต้องแยกผ้าขาวกับผ้าสี

คำถามพวกนี้มักจะเปิดด้วยคำว่า “ทำไม” “อย่างไร” “ควร” หรือ “วิธี…” ซึ่งเป็นคำค้นที่แสดงถึงความอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม และ Google เองก็พยายามตอบความอยากรู้นั้นให้จบในหน้าเดียวผ่าน People Also Ask

Image Pack (ผลการค้นหาที่เป็นรูปภาพ)

Image Pack หรือที่เรียกกันว่า “ผลการค้นหาที่เป็นรูปภาพ” คือการแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบของรูปภาพ โดยมักจะปรากฏเป็นแถวหรือกรอบรวมรูปที่เด่นชัดอยู่ระหว่างผลลัพธ์ข้อความต่างๆ หรือในบางกรณีอาจจะอยู่บนสุดของหน้าเลยก็ได้ การแสดงภาพแบบนี้ไม่ได้พาไปแค่หน้าเว็บทั่วไป แต่พาไปยัง Google Images ซึ่งเป็นหน้าผลการค้นหารูปภาพโดยตรง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถดูภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อได้ทันที

ความสำคัญของ Image Pack ต่อ SEO คือเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ให้ผู้ใช้งานเจอเว็บไซต์ผ่านการเสิร์ชแบบเน้นภาพ ช่วยสร้าง Traffic และความน่าเชื่อถือโดยไม่ต้องแข่งขันกันแค่ในข้อความเท่านั้น โดยเฉพาะในธุรกิจที่ภาพมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ เช่น แฟชั่น ของแต่งบ้าน ร้านอาหาร หรือแม้กระทั่งบริการซักรีดที่อยากโชว์ความสะอาด ความเนี้ยบ และความน่าใช้

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ Image Pack

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ Image Pack (ผลการค้นหาที่เป็นรูปภาพ)

  • ห้องซักรีดสไตล์มินิมอล
  • แต่งตัวมินิมอลไปทำงาน
  • ตะกร้าผ้าพับได้
  • โลโก้ร้านซักผ้า

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นคำที่คนอยาก “เห็น” มากกว่าแค่อ่าน เพราะภาพสามารถเล่าเรื่องได้มากกว่าคำ และ Image Pack ก็เป็นตัวช่วยสำคัญที่ Google ใช้ตอบโจทย์นั้น

AI Overviews (ผลลัพธ์การค้นหาด้วย AI)

ในยุคที่การค้นหาข้อมูลกลายเป็นเรื่องของความเร็วและความแม่นยำ Google ก็ได้พัฒนารูปแบบการแสดงผลใหม่ที่เรียกว่า Overviews หรือที่หลายคนเริ่มรู้จักในชื่อ “ผลลัพธ์จากการค้นหาด้วย AI” โดยระบบจะดึงข้อมูลจากหลายแหล่งมารวมเป็นคำตอบสั้นๆ ที่สรุปไว้ให้เลยในหน้าผลการค้นหาโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ใดๆ ก็สามารถเข้าใจเนื้อหาหลักได้ทันที

AI Overviews สามารถรองรับคำค้นหาภาษาไทยได้ แต่ความถี่และความแม่นยำในการแสดงผลอาจไม่มากเท่ากับภาษาอื่นๆ อย่างเช่น ภาษาอังกฤษ เนื่องจากการพัฒนาระบบในภาษาไทยยังอยู่ในช่วงพัฒนาและปรับปรุง แต่นั่นก็ถือเป็นข้อได้เปรียบของการทำ SEO ภาษาอังกฤษ ที่ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มต่างชาติได้ง่ายยิ่งขึ้น

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ AI Overviews

ตัวอย่างคำค้น (Keyword) ที่มักแสดงผลลัพธ์แบบ AI Overviews (ผลลัพธ์การค้นหาด้วย AI)

  • รถยนต์ไฟฟ้าทำงานยังไง? (How do electric cars work?)
  • กำจัดมดในครัวยังไงดี? (How to get rid of ants in the kitchen)
  • ควรดื่มน้ำวันละเท่าไร? (How much water should I drink per day?)

หากต้องการให้เว็บไซต์มีโอกาสไปปรากฏในตำแหน่งนี้ คีย์หลักคือเนื้อหาต้องตอบคำถามได้แบบชัดเจน ครบถ้วน อ่านง่าย และอิงแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ และควรจัดโครงสร้างคอนเทนต์ให้ตรงกับรูปแบบที่ Google ชอบดึงไปสรุป เช่น ใช้หัวข้อย่อย ตาราง สรุปสั้นๆ ท้ายบท และคำถาม-คำตอบในหน้าเดียวกัน

Google อัปเดต SERP บ่อยแค่ไหน? ไขข้อสงสัยคนทำ SEO

โดยทั่วไป Google จะมีการอัปเดตอัลกอริทึมหลัก (Core Updates) ประมาณ 2 – 3 ครั้งในแต่ละปี โดยอัปเดตใหญ่จะมีผลกระทบอย่างมากต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ แต่ก็มีการอัปเดตเล็กๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเพื่อปรับปรุงคุณภาพของผลการค้นหามีความแม่นยำและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้มากที่สุด

โดยการติดตามการเปลี่ยนแปลงในหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Google หรือ SERP เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปรับกลยุทธ์ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อมีการอัปเดตอัลกอริทึมใหม่ๆ การติดตามจะช่วยให้เข้าใจทิศทางของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและสามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้ 

โดยสามารถใช้เครื่องมือและแนวทาง ดังนี้

  • ใช้เครื่องมือการติดตาม SERP เช่น Google Search Console, SEMrush หรือ Ahrefs, MozCast
  • ติดตามประกาศจาก Google โดย Google จะประกาศการอัปเดต Algorithm สำคัญผ่านบล็อกหรือ Twitter ของ Google Search Central (ก่อนหน้านี้คือ Google Webmasters)
  • การศึกษาข่าวสารเกี่ยวกับ SEO เว็บไซต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SEO เช่น Search Engine Journal, SEO Roundtable และ Search Engine Land มักจะรายงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงใน Algorithm และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงใน SERP
  • ติดตามการเปลี่ยนแปลงการจัดอันดับ ด้วยการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในอันดับเว็บไซต์ได้โดยการเปรียบเทียบการจัดอันดับในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อดูว่ามีการปรับเปลี่ยนหรือไม่

การติดตามเหล่านี้จะช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์ SEO ให้สอดคล้องกับการอัปเดตใหม่ๆ และเพิ่มโอกาสในการปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ใน SERP

กลยุทธ์เพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงสุดบน SERP

กลยุทธ์เพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงสุดบน SERP

เมื่อพูดถึงการเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงสุดบน SERP ของ Google หลายคนอาจจะคิดว่าแค่มีเนื้อหาที่ดีหรือใช้คำค้นหาที่เหมาะสมก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงการจัดอันดับบน SERP มีปัจจัยหลายประการที่ Google ใช้ในการประเมินและจัดอันดับเว็บไซต์ 

เข้าใจกลยุทธ์ที่เหมาะสมแล้วนำไปปรับใช้ หรือเลือกใช้บริการกับเราได้ที่ Minimicegroup รับทำ SEO อย่างมืออาชีพ จะช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสสูงขึ้นในการติดอันดับต้นๆ บนผลการค้นหาของ Google ได้

ปรับแต่ง SEO On-Page และ Off-Page

การปรับแต่ง SEO On-Page คือการพัฒนาเนื้อหาและโครงสร้างภายในเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการค้นหาของ Google เช่น การใช้คำสำคัญอย่างถูกต้อง การจัดรูปแบบเนื้อหาให้อ่านง่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการโหลดหน้าเว็บ ส่วน SEO Off-Page คือการสร้างความน่าเชื่อถือจากภายนอก เช่น การได้รับลิงก์จากเว็บไซต์อื่น หรือการถูกพูดถึงบนโซเชียลมีเดีย ทั้งสองส่วนนี้ช่วยให้เว็บไซต์มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือในสายตา Google จึงเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงสุดบน SERP ได้มากขึ้น

ใช้กลยุทธ์ Content Marketing ให้สอดคล้องกับ SERP

การใช้กลยุทธ์ Content Marketing ให้สอดคล้องกับ SERP คือการสร้างเนื้อหาที่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานค้นหา ไม่ว่าจะเป็นคำถาม ข้อสงสัย หรือปัญหาที่ต้องการคำตอบ โดยเนื้อหาควรมีคุณภาพ น่าเชื่อถือ และใช้คำสำคัญที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม เพื่อให้ Google เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณตอบโจทย์การค้นหานั้นได้ดีที่สุด เมื่อเนื้อหามีคุณภาพและสอดคล้องกับเจตนาของผู้ค้นหา ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงสุดบนผลการค้นหา (SERP) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำ Backlink เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

การทำ Backlink คือการที่เว็บไซต์อื่นสร้างลิงก์เชื่อมมายังเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญญาณที่ Google ใช้ในการประเมินความน่าเชื่อถือและคุณภาพของเว็บไซต์ หากเว็บไซต์ของคุณได้รับ Backlink จากเว็บที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องในด้านเนื้อหา Google จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและมีคุณค่าในสายตาผู้ใช้งาน การมี Backlink ที่ดีและเป็นธรรมชาติจึงช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงสุดบน SERP เพราะแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือในหัวข้อนั้นๆ

ปัจจัยการจัดอันดับใน SERP ที่ควรรู้

ปัจจัยการจัดอันดับใน SERP ที่ควรรู้ 

ก่อนที่เว็บไซต์จะติดอันดับดีในผลการค้นหา การเข้าใจปัจจัยที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อโอกาสในการมองเห็นของเว็บไซต์บน SERP ต่อไปนี้คือปัจจัยหลักที่ควรรู้และนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับเว็บไซต์

ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา (Relevance)

ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา (Relevance) คือการที่เนื้อหาบนเว็บไซต์ตรงกับคำค้นหาหรือความต้องการของผู้ใช้งาน เมื่อเนื้อหาสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการค้นหา Google จะเห็นว่าเว็บไซต์มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับสูงในผลการค้นหาบน SERP

ความเร็วเว็บไซต์ (Page Speed & Core Web Vitals)

ความเร็วเว็บไซต์ (Page Speed) คือเวลาในการโหลดเว็บไซต์ให้เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ หากเว็บไซต์โหลดช้า ผู้ใช้อาจรู้สึกหงุดหงิดและออกจากเว็บไซต์ไปก่อนที่ข้อมูลจะโหลดครบ

ส่วน Core Web Vitals คือชุดของเกณฑ์ที่ใช้วัดคุณภาพประสบการณ์ผู้ใช้ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าหลัก (LCP) การตอบสนองของการคลิก (FID) และความเสถียรของการแสดงผล (CLS) ซึ่งล้วนมีผลต่อความพึงพอใจของผู้ใช้และการจัดอันดับของเว็บไซต์ใน Google ยิ่งเว็บไซต์โหลดเร็วและมีประสบการณ์ที่ดี ผู้ใช้ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น และทำให้เว็บไซต์มีโอกาสได้อันดับที่ดีในผลการค้นหาของ Google

คุณภาพของ Backlinks และ Domain Authority

คุณภาพของ Backlinks คือการที่เว็บไซต์อื่นๆ ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา ซึ่งลิงก์เหล่านี้ช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ได้ หากเว็บไซต์ที่ลิงก์มามีคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรา จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอำนาจให้กับเว็บไซต์ของเราในสายตาของ Google และผู้ใช้ ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสขึ้นอันดับในผลการค้นหาได้ดียิ่งขึ้น

Domain Authority (DA) คือคะแนนที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือและอำนาจของโดเมนหนึ่งๆ โดยคะแนนนี้จะพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น จำนวนและคุณภาพของ Backlinks รวมถึงการมีเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง หากเว็บไซต์มี DA สูง หมายความว่าเว็บไซต์นั้นมีอำนาจในการแข่งขันสูงในการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google ซึ่งสำคัญเพราะเว็บไซต์ที่มี DA สูงจะมีโอกาสทำให้เนื้อหาขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ ได้ง่ายขึ้น

7 เคล็ดลับเพิ่ม CTR บน SERP ปรับแต่ง SEO ให้เหมาะสม

7 เคล็ดลับเพิ่ม CTR บน SERP ปรับแต่ง SEO ให้เหมาะสม

CTR หรือ Click-Through Rate คืออัตราการคลิกเมื่อมีคนเห็นลิงก์เว็บไซต์ใน SERP ยิ่ง CTR สูง แสดงว่าเนื้อหาน่าสนใจและตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา มาดูเคล็ดลับที่สามารถช่วยให้เพิ่ม CTR บน SERP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมวิธีปรับแต่ง SEO ให้เหมาะสม เพื่อดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกเว็บไซต์มากขึ้นมีดังนี้

1. ปรับ Meta Title และ Description ให้ดึงดูด

การปรับ Meta Title และ Description คือการปรับแต่งชื่อเรื่อง (Meta Title) และคำอธิบายสั้นๆ (Meta Description) ที่แสดงในผลการค้นหาของ Google เพื่อดึงดูดให้ผู้ใช้คลิกเข้าเว็บไซต์ การเขียนให้กระชับ น่าสนใจ และใส่คำสำคัญ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นและได้รับการคลิกมากขึ้น

2. ใช้ Rich Snippets และ Featured Snippets

Rich Snippets และ Featured Snippets คือการปรับแต่งผลลัพธ์การค้นหาบน Google ให้แสดงข้อมูลที่มีรายละเอียดมากขึ้น เช่น ข้อมูลจากรีวิว การคำนวณ หรือคำตอบสั้นๆ การใช้ Rich Snippets ช่วยเพิ่มการแสดงผลในรูปแบบที่ดึงดูด ส่วน Featured Snippets คือการแสดงผลข้อมูลโดยตรงในตำแหน่งพิเศษที่ตอบคำถามผู้ใช้ทันที ช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ได้รับการคลิกและมองเห็นมากขึ้น

3. ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานบนมือถือ (Mobile Optimization)

ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานบนมือถือ (Mobile Optimization) คือการทำให้เว็บไซต์ใช้งานได้ดีและมีประสิทธิภาพบนอุปกรณ์มือถือ เช่น การปรับขนาดหน้าจอให้เหมาะสม เพิ่มความเร็วในการโหลด และให้การนำทางง่ายขึ้น การปรับให้เหมาะสมกับมือถือช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีและลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ ซึ่งส่งผลดีต่ออันดับการค้นหาใน Google

4. การเพิ่มคุณภาพของคอนเทนต์

การเพิ่มคุณภาพของคอนเทนต์คือการสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์ ครอบคลุม และน่าสนใจสำหรับผู้อ่าน รวมถึงการใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและอ้างอิงแหล่งที่เชื่อถือได้ การปรับปรุงคุณภาพคอนเทนต์ช่วยให้ผู้อ่านได้รับประสบการณ์ที่ดี และทำให้เว็บไซต์มีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาของ Google

5. ใช้ URL ที่เข้าใจง่าย

URL ที่เข้าใจง่ายคือการสร้างลิงก์ที่สื่อความหมายและสามารถเข้าใจได้ง่าย เช่น ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์ และหลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่ซับซ้อน URL ที่เข้าใจง่ายไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจำได้ง่าย ยังส่งผลดีต่อ SEO และทำให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น

6. ใช้ Social Proof เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

การใช้ Social Proof คือการแสดงหลักฐานจากผู้ใช้งานจริงหรือการรีวิวที่แสดงถึงความนิยมและความเชื่อถือจากคนอื่นๆ เช่น คำแนะนำจากลูกค้า จำนวนผู้ติดตาม หรือรีวิวจากผู้ใช้ การใช้ Social Proof ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้ใหม่ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บไซต์หรือสินค้าของเราน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับ

7. เพิ่มโอกาสให้แสดงใน Featured Snippets

การเพิ่มโอกาสให้แสดงใน Featured Snippets คือการปรับเนื้อหาของเว็บไซต์ให้มีรูปแบบที่ Google สามารถดึงไปแสดงในตำแหน่งพิเศษบนหน้าผลการค้นหา เช่น การให้คำตอบสั้นๆ ที่ตรงประเด็น หรือการใช้ข้อมูลที่จัดระเบียบอย่างชัดเจน การมี Featured Snippets ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นและเพิ่มโอกาสในการได้รับคลิกจากผู้ใช้

สรุป

การดันบทความ SEO ให้ติดหน้าแรกในเครื่องมือค้นหามีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือ SERP หรือหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Google แสดงผลลัพธ์หลากหลายรูปแบบ ทั้ง Organic, Paid, Featured Snippets และอื่นๆ ซึ่งแต่ละส่วนมีบทบาทต่อการมองเห็นเว็บไซต์ 

กลยุทธ์ SEO มุ่งเน้นการปรับแต่ง On-Page และ Off-Page รวมถึงสร้างเนื้อหาคุณภาพและ Backlink เพื่อให้ Google จัดอันดับสูงขึ้น การเข้าใจปัจจัยการจัดอันดับ เช่น ความเกี่ยวข้องและคุณภาพเว็บไซต์ เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การปรับแต่ง Title, Description และใช้ Rich Snippets ช่วยเพิ่ม CTR ให้เว็บไซต์โดดเด่น การติดตามการเปลี่ยนแปลงของ SERP และอัลกอริทึม Google เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักทำ SEO เพื่อปรับกลยุทธ์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

Minimice Group พร้อมให้บริการ SEO อย่างมืออาชีพ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับหน้าแรกบน Google และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ด้วยทีมงานคุณภาพ เรามุ่งมั่นที่จะมอบกลยุทธ์ SEO ที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ เพื่อให้คุณได้รับการเข้าชมที่มีคุณภาพและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจอย่างยั่งยืน

FAQ — คำถามที่พบบ่อย

ทำไมเว็บไซต์บางเว็บถึงอยู่อันดับแรกใน SERP?

เว็บไซต์ที่อยู่อันดับต้นๆ มักมีคุณภาพเนื้อหาสูง ตรงกับคำค้น มีโครงสร้าง SEO ดี และมี Backlink ที่น่าเชื่อถือ โดย Google ใช้อัลกอริธึมเพื่อจัดอันดับตามความเกี่ยวข้องและประสบการณ์ของผู้ใช้

SERP มีผลต่อธุรกิจอย่างไร?

SERP มีผลโดยตรงต่อการมองเห็นและการคลิกของผู้ใช้งาน หากธุรกิจอยู่บนหน้าแรกหรือมี Featured Snippet จะเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเห็นและเข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อยอดขายและความน่าเชื่อถือ

วิธีวิเคราะห์ SERP ควรเริ่มจากอะไร?

เริ่มจากวิเคราะห์คีย์เวิร์ด ดูคู่แข่งในหน้าแรก สำรวจว่ามีฟีเจอร์แบบไหนใน SERP ใช้เครื่องมือ เช่น SEMrush, Ahrefs หรือ Google Search Console เพื่อดูอันดับและปริมาณการคลิก

SERP เปลี่ยนแปลงบ่อยแค่ไหน?

SERP เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยขึ้นกับพฤติกรรมผู้ใช้ อัลกอริธึมของ Google และการปรับปรุงเว็บของคู่แข่ง เว็บไซต์ที่ไม่อัปเดตเนื้อหาหรือไม่ทำ SEO อาจหลุดอันดับได้ง่าย

Jittanun

Jittanun

SEO SPECIALIST

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง