Table of Contents

Categories

Recent Posts

ctr คืออะไร

CTR คืออะไร? แล้วมีความสำคัญต่อการยิง Ads อย่างไร?

Table of Contents

CTR หรือชื่อเต็มว่า Click Through Rate คำคุ้นหูที่นักการตลาดออนไลน์รู้จักกันเป็นอย่างดี CTR คือ อัตราการคลิก ซึ่งเป็นตัวชี้วัดจำนวนการกดเข้าชมโฆษณา สินค้า บทความ หรือ เว็บไซต์ของคุณ ต่อการมองเห็นคอนเทนต์นั้น ๆ อย่างในการทำ Google Ads CTR มีความสำคัญในการวัดว่าโฆษณา และคีย์เวิร์ดที่คุณใช้มีประสิทธิภาพแค่ไหน ยิ่งยอดคลิกมากเท่าไรก็แสดงว่าเนื้อหาคอนเทนต์ หรือโฆษณานั้นมีประโยชน์ และน่าสนใจ 

เช่นเดียวกับการทำ SEO หากต้องการทราบว่า SEO ของคุณมียอดเยี่ยมชมมากน้อยแค่ไหน CTR จะเป็นตัวบ่งบอกถึงประสิทธิภาพเพจของคุณในหน้าแสดงผลการค้นหา เพื่อนำไปพิจารณาในการปรับปรุง พัฒนาคีย์เวิร์ด รูปภาพ และกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ CTR ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านความสำคัญของ CTR ในการทำโฆษณา และเทคนิคที่จะช่วยเพิ่มยอดคลิกให้กับโฆษณาของคุณ

มารู้จัก CTR (Click-Through Rates) ก่อนลงมือยิงแอด

เพื่อเพิ่มโอกาสการทำโฆษณาออนไลน์ Google Ads หรือ Google PPC (Pay-Per-Click) ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย จะต้องทำความรู้จักกับ CTR ให้ดีเสียก่อน ซึ่งค่า CTR คือ จำนวนยอดคลิกต่อโฆษณาหนึ่งตัว ในการทำ Google ads สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ “คีย์เวิร์ด” เมื่อมีผู้ทำการค้นหาคีย์เวิร์ด ผลที่ได้คือหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP) ซึ่งแสดงผลเป็นเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีคีย์เวิร์ดเหล่านั้นประกอบอยู่

ความสำคัญของค่า CTR ในการทำโฆษณาออนไลน์คือ เป็นตัวประเมินว่าโฆษณา หรือคอนเทนต์ที่ผลิตไปนั้นมีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน แต่อย่างไรก็ตาม การที่ยอดคลิกน้อยไม่ได้หมายความว่าโฆษณาชิ้นนั้นขาดความน่าดึงดูดใจเสมอไป แต่อาจเป็นเพราะเป้าหมายไม่ตรงกับลูกค้า ซึ่งการทำ Google ads ที่เป็นการทำโฆษณาประเภท PPC (Pay-Per-Click) นั้น ค่า CTR จึงส่งผลถึง Quality score ที่ Google นำมาจัดอันดับแสดงผลให้หน้าแสดงผลการค้นหาได้ เพราะฉะนั้น CTR จะช่วยให้เราสามารถประเมินว่าการตั้งกลุ่มเป้าหมาย และคีย์เวิร์ด เหมาะสมและถูกต้องหรือไม่ เพื่อแก้ไขและปรับปรุงให้เหมาะสมกับการทำธุรกิจของคุณ

ctr สำคัญอย่างไร

สำหรับคนทำโฆษณา CTR สำคัญอย่างไร

การทำการตลาด หรือโฆษณาในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต่างก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มยอดเข้าชมเว็บไซต์ และสร้างยอดขายให้กับธุรกิจของตนเอง ค่า CTR มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาศักยภาพการขาย เพราะ CTR คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณเข้าใจลูกค้าของคุณมากยิ่งขึ้นเมื่อต้องการทราบว่าการตลาดที่กำลังทำอยู่นั้นเวิร์คไหม ตรงกับเป้าหมายของลูกค้าหรือเปล่า สามารถโน้มน้าวให้ลูกค้าคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณได้มากแค่ไหน ซึ่งค่า CTR ต่ำก็อาจสื่อถึงว่าคีย์เวิร์ดที่ใช้ไม่ตรงกับเป้าหมายลูกค้า รวมถึงรูปภาพสำหรับการโฆษณาก็ส่งผลต่อค่า CTR เช่นกัน การนำประโยชน์ของค่า CTR มาใช้จึงเป็นตัวช่วยในการพัฒนาเทคนิคการตลาดได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

CTR ดี ส่งผลให้ Ad Quality Score ดีขึ้นตามไปด้วยนะ

การที่ Ad quality score จะดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย ได้แก่ CTR, Ad relevance (ความเกี่ยวข้องของโฆษณา) และ Landing page ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อ Ad quality score ที่เพิ่มขึ้น ก็คือ CTR นั่นเอง การที่มีคนให้ความสนใจ และคลิกเข้ามาแสดงว่าโฆษณาตัวนั้นมีความเกี่ยวข้อง และเป็นประโยชน์ต่อผู้ทำการค้นหา ในการทำ Google ads ค่า Ad quality จะเพิ่มขึ้นหากค่า CTR เพิ่มขึ้น ซึ่ง Ad quality score ที่สูง ส่งผลต่อการแสดงผลของโฆษณาบนหน้าการค้นหาของ Google ที่บ่อยขึ้น และราคา PPC (Pay-Per-Click) ที่ถูกลง

ก่อนไปต่อ ขอยกตัวอย่าง CTR ว่าใช้ในด้านการตลาดอย่างไร

ความสำคัญของ CTR ในด้านการทำการตลาดจะช่วยให้เราสามารถวัดประสิทธิภาพโฆษณาของตนเองได้ หากโฆษณาไหนได้รับการตอบรับที่ไม่ดี ก็สามารถพิจารณานำโฆษณาตัวนั้นออกไป และโฟกัสกับโฆษณาที่ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากกว่า และด้วยข้อจำกัดของ CTR หากจะใช้ประโยชน์จาก CTR ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ควรนำเอาการวัดค่าอื่นๆ เข้ามาใช้ด้วย เช่น Conversion rate ซึ่งก็คือยอดจำหน่ายสินค้าตามจริง หรือการตอบสนองต่อโฆษณานั้นๆ เพราะยอดคลิกที่เยอะ ไม่ได้หมายความว่ายอดขาย หรือการตอบสนองต่อโฆษณาจะเยอะตามไปด้วย

เราติดตามดูค่า CTR จากแคมเปญการตลาดช่องทางไหนได้บ้าง

แน่นอนว่าโพสต์ของแบรนด์ใน Social Media นั้นได้ผลดีอยู่แล้ว แต่ว่านักการตลาดมองว่าคอนเทนต์ที่สร้างโดย Influencer ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะคนเหล่านี้จะรู้ว่าการนำเสนอแบบไหนที่จะกระตุ้นให้เกิดการติดตามและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคได้

Pay-Per-Click (PPC) Advertising

เมื่อมีการทำโฆษณาโดย Pay-Per-Click (PPC) หากลูกค้าเสิร์ชหาคีย์เวิร์ดที่ตรงกับคีย์เวิร์ดที่ใช้ในการโฆษณาของคุณ โฆษณาตัวนั้นก็จะขึ้นในผลการค้นหา โดยจะนับเป็น Impression (จำนวนครั้งที่โฆษณาแสดงผล) เพราะฉะนั้น กฎสำคัญในการทำโฆษณาแบบ PPC ก็คือการเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้อง เพื่อเป็นการดึงดูดให้ลูกค้าที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายธุรกิจคลิกเข้ามาดูโฆษณาแทนที่จะเลื่อนผ่านไป

Social Media Marketing

โซเชียลมีเดียแต่ละแพลตฟอร์มจะมีโปรแกรมการทำโฆษณาของตนเองอยู่แล้ว ซึ่งผู้ใช้สามารถติดตามดูจำนวน CTR ของโฆษณาตัวเองผ่านทางโปรแกรมดังกล่าว ในการโฆษณาผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย โฆษณาจะขึ้นแสดงไปยังหน้าฟีดของลูกค้าที่น่าจะมีความสนใจในตัวสินค้า และโฆษณานั้นๆ การแสดงผลแต่ละครั้งก็จะนับเป็น 1 Impression หากมีการคลิกเข้ามาดูสินค้าก็จะถูกนับเป็นยอดคลิก ซึ่งโปรแกรมโฆษณาของโซเชียลมีเดียต่าง ๆ จะมีการนับยอด Impression และ ค่า CTR ไว้เพื่อให้ผู้ทำการโฆษณาได้ดูความเคลื่อนไหว และยอด Engagement ของลูกค้ากับโฆษณาเพื่อการติดตามได้แบบสะดวกง่ายดาย

Email Marketing

Email marketing หรือการทำการตลาดออนไลน์ผ่านทางอีเมล เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้า บริการ แจ้งข้อมูลข่าวสาร และโปรโมชั่นต่าง ๆ ซึ่งข้อดีของการทำการตลาดผ่านอีเมล์ก็คือ กลุ่มเป้าหมาย เพราะลูกค้าที่เราติดต่อไปมักจะเป็นลูกค้าที่เคยใช้บริการ หรือสนใจในตัวสินค้าของเรามาก่อนแล้ว ทำให้การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นไปอย่างตรงจุด และนอกจากนี้ การทำการตลาดผ่านอีเมล ยังสามารถติดตามดูได้ว่ามีใครบ้างที่เปิดอ่านอีเมลแล้ว และใครบ้างที่คลิกเข้าไปยังลิ้งค์ที่แนบมากับอีเมล เพื่อนำไปใช้ตรวจสอบและเปรียบเทียบค่า CTR กับยอดเปิดอีเมลได้แบบง่าย ๆ

ทำไมเราต้องติดตามดูค่า CTR

การติดตามดูค่า CTR จะช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจลูกค้า หรือกลุ่มคนที่เราต้องการทำธุรกิจด้วยได้ รวมถึงการนำเสนอ การเลือกรูปภาพ การเลือกคีย์เวิร์ด หรือการเลือกหัวข้อนั้นมีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน เป็นสิ่งที่ลูกค้ากำลังมองหาหรือไม่ และสามารถทำให้เกิดความสนใจเพียงพอไหมที่พวกเขาจะคลิกเข้ามาดู ทำให้เราสามารถทำการพัฒนาการตลาดได้อย่างรวดเร็ว และไม่เสียเวลา

Quality Improvement (เพื่อพัฒนาคุณภาพ)

เพื่อการพัฒนาคุณภาพโฆษณา สิ่งที่จำเป็นต้องรู้คือว่า ปัจจัยหนึ่งของการจัดอันดับโฆษณาหรือเนื้อหาบนหน้า Google ขึ้นอยู่กับ Google Ads quality score ซึ่งส่งผลกับการที่กูเกิลจะพิจารณาว่าโฆษณาดังกล่าวมีเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องต่อความสนใจ หรือมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานหรือเปล่า เพราะฉะนั้น การที่โฆษณาตัวใดตัวหนึ่งมีค่า CTR สูง ก็บ่งบอกได้เหมือนกันว่า โฆษณาตัวนั้นมีประสิทธิภาพที่ดี หากโฆษณาของเรามีค่า CTR ต่ำ Quality score ก็จะไม่ดี ส่งผลต่อการจัดอันดับ เมื่อทราบถึงปัจจัยเหล่านี้ก็จะทำให้เราสามารถพัฒนาให้คอนเทนต์ หรือโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มผู้เป้าหมายให้ได้มากยิ่งขึ้น

Cost reduction (ลดภาระค่าใช้จ่าย)

การลดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา แต่ได้ผลตอบรับจากลูกค้าที่ดี ย่อมเป็นสิ่งที่หลายๆ คนต้องการ ซึ่งวิธีการที่จะช่วยลด CPC (Cost-Per-Click) ได้ ก็คือการรักษา Quality score ให้สูง และมีค่า CTR ที่ดี โฆษณาของเราจะต้องปรากฎในหน้าผลการค้นหาน้อยครั้ง แต่มีจำนวนคนคลิกเข้ามายังเนื้อหาสูง ซึ่ง Google จะมองว่าโฆษณาตัวนั้นมีความเกี่ยวข้อง และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ซึ่งถือว่าเป็นโฆษณาที่มีคุณภาพ เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน สิ่งที่ตามมาก็คือคะแนนความเกี่ยวข้องด้านเนื้อหาที่เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งราคา CPC ที่ถูกลง

Better organic ranking (ผลการจัดอันดับที่ดีขึ้น)

หากกำลังมองหาวิธีที่จะช่วยให้โฆษณาของคุณถูกจัดอยู่อันดับต้นๆ อาจจะลองพิจารณาการทำ SEO (Search Engine Optimization) เพิ่มเติมดู เพราะเมื่อค่า CTR เยอะก็หมายถึงความเกี่ยวข้องของเนื้อหาสูง

Increased (free) visibility on social networks (เพิ่มการมองเห็นแบบฟรี ๆ)

ในแง่ของการลงโฆษณาบนสื่อโซเชียลมีเดีย CTR ที่สูงสื่อถึงยอดปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้งานกับโฆษณาดังกล่าว โจทย์ที่ต้องทำให้ได้คือทำให้คนที่เห็นโพสต์ของเรามีการแชร์ออกไป ซึ่งนั่นหมายถึงการได้โฆษณาและยอดคลิกมาแบบฟรี ๆ

Conversion rate hike (เพิ่มยอดขายและการตอบสนองแบบก้าวกระโดด)

การติดตามดูค่า CTR เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะค่า CTR ที่ดีย่อมมีโอกาสนำมาซึ่งยอดขาย หรือการตอบสนองต่อโฆษณาที่มากขึ้น ถ้าอยากให้ยอดขายเพิ่มขึ้นก็ต้องคอยจับตามองค่า CTR เอาไว้ด้วย

ข้อแตกต่างระหว่าง CTR และ conversion rate

ไขข้อข้องใจ CTR (Click-Through Rates) กับ Conversion Rate ต่างกันตรงไหน

ข้อแตกต่างระหว่าง CTR (Click-Through Rate) และ Conversion Rate สามารถแยกได้อย่างชัดเจน ก่อนจะไปไขข้อข้องใจว่าทั้ง 2 ต่างกันอย่างไร มาทบทวนเรื่อง CTR กันอีกครั้ง CTR คือ จำนวนผู้ที่เห็นโฆษณาแล้วคลิกเข้ามาดูสินค้าหรือบริการ ซึ่งแน่นอนว่าในการคลิกเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือสินค้า ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดการซื้อขาย หรือการตอบสนองต่อโฆษณาตัวนั้นเสมอไป

ค่า Conversion Rate จึงเข้ามามีบทบาทในการคำนวณว่าในจำนวนที่คลิกเข้ามานั้น ได้รับการตอบสนองมากน้อยแค่ไหนจากกลุ่มลูกค้า ปิดการขายได้หรือไม่ และทั้งสองค่านี้มีความเกี่ยวโยงกันเพราะ CTR ที่ดี ช่วยเพิ่มโอกาส Conversion Rate ดีขึ้นตามไปด้วยได้

ctr ที่ดีควรมีค่าเท่าไหร่

CTR (Click-Through Rates) ที่ดีควรมีค่าเท่าไหร่

คำถามที่หลายคนอาจสงสัย CTR (Click-Through Rates) ที่ดีควรมีค่าเท่าไหร่? ถ้าจะตอบคำถามนี้ละก็ คงต้องตอบว่ามันขึ้นอยู่กับแคมเปญโฆษณาที่คุณกำลังทำการตลาดอยู่ รวมถึงคีย์เวิร์ดที่คุณเลือกใช้ และจุดประสงค์ของโฆษณา นอกจากนี้อุตสาหกรรมแต่ละอย่างก็มีค่า CTR เฉลี่ยที่แตกต่างไป เช่น ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะอยู่ที่ประมาณ 8.54% ด้านอสังหาริมทรัพย์ 7.75% และด้านการศึกษาจะอยู่ 5.46% เป็นต้น ดังนั้น ค่า CTR ที่ดีก็ไม่ควรต่ำไปกว่าค่าเฉลี่ยดังกล่าว

วิธีคำนวณค่า CTR แบบง่าย ๆ

วิธีการคำนวณ CTR ก็ง่ายมาก ๆ เลย รับรองว่าใคร ๆ ก็ทำตามกันได้ วิธีการคำนวณค่า CTR นั้น ก็คือการนำจำนวนการคลิกโฆษณา หรือเว็บเพจมาหารกับจำนวนครั้งที่โฆษณาแสดงผล (Impression) และคูณ 100 ดังนี้ CTR = (Click/Impression)*100 ซึ่งผลลัพธ์ของค่า CTR จะออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์

ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่า Click Through Rates

Relevancy (ความเกี่ยวข้อง)

ถ้าอยากให้เกิดการซื้อขาย และการตอบสนองกับกลุ่มเป้าหมายลูกค้า ความเกี่ยวข้องเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดผ่านการโฆษณา ผ่านอีเมล แคมเปญต่าง ๆ หรือทางโซเชียลมีเดีย เนื้อหาจะต้องตรงกับ Landing Page

Ad Rank (อันดับโฆษณา)

ปัจจัยที่ส่งผลต่อโฆษณา หรือคอนเทนต์ของเราว่าจะไปปรากฏในส่วนไหนในหน้าเพจขึ้นอยู่กับ Quality score ความเกี่ยวข้อง (Relevancy) และต้นทุนต่อคลิก (CVC) หากเรามีทั้ง 3 ส่วนนี้โอกาสเพิ่มการมองเห็นก็สูงขึ้น ส่งผลให้คนกดเข้ามายังโฆษณาของเรามากขึ้นไปด้วย

Device (อุปกรณ์ที่ใช้)

อุปกรณ์ดังกล่าวก็คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้คนใช้เพื่อค้นหาสินค้า บริการต่าง ๆ ซึ่งผลสำรวจพบว่าค่า CTR จากโทรศัพท์มือถือ มีแนวโน้มสูงกว่าคอมพิวเตอร์ หากคุณอยากลดค่าใช้จ่าย อาจจะเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ใช้โทรศัพท์มือถือแทน แต่ข้อเสียคือคุณอาจจะสูญเสียลูกค้าที่สนใจในสินค้าของคุณไปก็ได้

เพิ่มค่า ctr

ทำอย่างไรถ้าอยากให้โฆษณามีค่า Click Through Rates เพิ่มสูงขึ้น

บางครั้งการทำโฆษณาก็อาจจะไม่ได้รับผลตอบรับ หรือค่า CTR ที่สูงตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามยังมีวิธีที่ช่วยปรับปรุง และพัฒนาค่า CTR ให้สูงและมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ มาดูกันว่ามีวิธีอะไรบ้าง

Using Ad Extensions (ใช้ส่วนขยายโฆษณา)

ประโยชน์ของ Ad Extensions คือการที่ช่วยยกระดับโฆษณาของคุณให้มีรายละเอียดมากขึ้น เพิ่มความโดดเด่นขึ้นไปอีกขั้น Ad Extensions จะช่วยให้เราสามารเพิ่มสถานที่ เบอร์ติดต่อ สามารถให้ลูกค้าติดต่อมาทางข้อความได้ สาขา ราคาสินค้า และบริการ รวมถึงรีวิวไว้ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยเพิ่มความน่าคลิกให้กับโฆษณามากขึ้น ทำให้ค่า CTR เพิ่มนั่นเอง

Using Symbols (ใช้สัญลักษณ์)

ถ้าอยากเพิ่มความน่าสนใจให้กับโฆษณาละก็ ลองเพิ่มลูกเล่นโดยการใส่สัญลักษณ์ หรืออีโมจิเข้าไป หลาย ๆ คนอาจไม่แน่ใจว่าการใส่สัญลักษณ์จะทำให้มีผลที่ไม่ดีต่อการทำโฆษณา แต่หากเลือกใช้ได้อย่างถูกต้องจะช่วยดึงดูดใจลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

Using CTAs (ใช้ CTAs)

CTA (Call To Action) เป็นการทำโฆษณาที่กระตุ้นให้ผู้คนกระทำ ตัดสินใจ หรือทำตามคำสั่ง โดยการนำรูป เสียง ข้อความต่าง ๆ ไปกระตุ้นให้คนคลิกมากขึ้น เช่น ฟรีเดือนแรก ซื้อเลย วันเดียวเท่านั้น อย่าลืมกดติดตาม เป็นต้น ซึ่งควรเน้นแบบเข้าใจง่าย และเข้าถึงง่าย ตัวหนังสือชัดเจน

Understand Your Audience (ทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้า)

เพื่อการพัฒนาโฆษณาให้มีประสิทธิภาพ ก็ต้องไม่ลืมที่จะศึกษา ทำความเข้าใจลูกค้า และคนที่สนใจในตัวสินค้าหรือบริการ ซึ่งแน่นอนว่ามีเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถติดตามดูข้อมูลว่าใครบ้างที่สนใจในโฆษณาจาก Google Analytics & Google Search Console เพื่อพัฒนาโฆษณาที่เรียกยอดคลิกได้ดีขึ้น

A/B Test

A/B test หรือเรียกอีกอย่างว่า Split test เป็นการสร้างชิ้นงาน 2 แบบขึ้นไป และดูว่าผู้คนจะสนใจแบบไหนมากกว่า แบบไหนได้การตอบรับที่ดีกว่า ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าแบบไหนเวิร์คหรือไม่เวิร์ค เพื่อสามารถนำไปพัฒนาคุณภาพโฆษณาให้ดียิ่งขึ้น

Do Your Keyword Research (ศึกษาคีย์เวิร์ด)

คีย์เวิร์ดเป็นอีกจุดหนึ่งที่สำคัญมาก ถ้าอยากประหยัดเวลาและเงินในกระเป๋า เพื่อให้รู้ว่าคีย์เวิร์ดไหนเวิร์ค จึงต้องให้ความใส่ใจ คีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงจะทำให้โอกาสที่โฆษณาของคุณจะปรากฏในหน้าผลการค้นหาอาจจะยากขึ้น หากใช้คีย์เวิร์ดที่ค้นคว้าหาน้อยก็จะได้ยอดคลิกน้อยตามไปด้วย

แถมให้ วิธีเพิ่มค่า CTR สำหรับ Facebook Ads และ SEO

นอกจากค่า PPC หรือ Google Ads แล้วนั้นค่า CTR ยังมีในส่วนของการทำ Facebook Ads และ SEO อีกด้วย ซึ่งในส่วนของคนทำ Facebook ads และ SEO ก็ให้ความสำคัญและอยากปรับปรุงค่า CTR ให้ดีเช่นกัน มาดูกันว่ามีเทคนิคอะไรบ้างที่ช่วยเพิ่มค่า Click Through Rates สำหรับ Facebook Ads

เทคนิคเพิ่มค่า Click Through Rates สำหรับ Facebook Ads

จับตาดูคะแนนความเกี่ยวข้องของ Facebook Ads

CTR Facebook คือ ค่าที่เฟสบุ๊คให้ความสำคัญ เพราะเป็นตัวบ่งบอกถึงคะแนนความเกี่ยวข้องของโฆษณา นอกจากนี้ราคา CPC ก็จะต่ำลงอีกด้วย ซึ่งคะแนนจะอยู่ที่ 1-10 คะแนน ยิ่งยอดคลิกเยอะก็จะยิ่งประหยัดต้นทุนการทำโฆษณา

รู้จักกลุ่มเป้าหมายให้ดีเสียก่อน

ทำโฆษณามาแต่ไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้า ก็คงไม่มีประโยชน์และไม่สามารถสร้างผลกำไรที่ดีต่อธุรกิจได้ การเลือกรูปภาพ หรือเนื้อหาก็ควรที่จะสอดคล้องกับสินค้าและบริการของคุณ ถ้าอยากจะสร้างฐานลูกค้าลองนึกภาพดูว่าลูกค้ามีลักษณะนิสัยเช่นไร อาจแบ่งเป็นอายุ ความสนใจก็ได้ ว่าน่าจะชอบโฆษณาแบบไหน และมีจำนวนเท่าไร

เลือกรูปภาพให้โดนใจ

รูปภาพที่ดีและสะดุดตา เป็นตัวเพิ่มยอดคลิกแบบง่าย ๆ แต่ได้ผลจริง เลือกรูปภาพที่คนเห็นแล้วจะต้องหยุดดู โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวหนังสือเยอะ อาจนำเอาข้อความแบบ CTA มาใช้ด้วยเพื่อกระตุ้นให้คนอยากคลิกมากขึ้นไปอีก

ใช้เทคนิค FOMO

FOMO (Fear Of Missing Out) เทคนิคที่ทำให้ลูกค้าเห็นแล้วเป็นต้องซื้อ ได้ทั้งยอดคลิกและยอดขายจริง ถือเป็นวิธีที่น่าสนใจ ทำให้คนซื้อรู้สึกว่าถ้าไม่ซื้อตอนนี้ถือว่าพลาด เช่น การกำหนดเวลาโปรโมชั่น เป็นต้น

สร้างความน่าเชื่อถือ

การสร้างความมั่นใจก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยเพิ่มยอดคลิกรวมถึงการปิดการขาย การเพิ่มรีวิวของสินค้า หรือนำเอารูปสินค้าที่ได้ขึ้นหน้าปกนิตยสารมามาใช้โฆษณา ก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ และความน่าเชื่อถือของตัวสินค้าได้อีกวิธีหนึ่ง

อยากเพิ่ม CTR ในการทำ SEO ทำยังไง

ทำ SEO อย่างไรให้คนอยากกดเข้ามาดูไม่ยาก แต่ก็ต้องมีเทคนิค บทความนี้จะมานำเสนอเทคนิคเพิ่ม CTR ในการทำ SEO ได้แบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก

เขียน Meta Titles and Descriptions ให้น่าสนใจ

ทั้งหัวเรื่องและคำอธิบายที่ปรากฎบนหน้าค้นหาต่างมีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าเขียนมาแบบไม่น่าสนใจ รวมถึงคำอธิบายที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือดึงเอาจุดสำคัญมาทำให้โดดเด่น และให้ผู้ค้นหารู้สึกว่าเว็บไซต์ หรือบทความนี้มีประโยชน์ ตอบโจทย์กับสิ่งที่ต้องการค้นหา

ตั้ง URL ให้มีคำอธิบายที่เกี่ยวข้องชัดเจน

อย่าลืมตรวจสอบดูว่า URL ของเว็บเพจนั้นเป็นแค่ตัวอักษรที่เอามาใส่แบบไม่ได้จัดเรียง หรือมีความหมายสื่อถึงหน้าเว็บเพจของเราหรือเปล่า ถ้าไม่ใช้ลองปรับเปลี่ยนให้เป็นคำที่มีความหมาย สื่อถึงสิ่งที่นำเสนอบนหน้าเว็บเพจ เลือกใช้คีย์เวิร์ดเพื่อเพิ่มค่า CTR

พยายามให้เว็บเพจปรากฎผลการค้นหาแบบ Rich Snippets

Rich Snippets คือชุดข้อมูลแบบพิเศษที่แสดงบนหน้าผลการค้นหา ถ้าอยากให้เว็บเพจขึ้นบนหน้าผลการค้นหาในรูปแบบนี้ เนื้อหาบล็อกจึงควรมีการนำรีวิว FAQ (คำถามที่พบบ่อย) หรือ How to มาใช้ รวมถึง Google Sitelinks เพื่อช่วยเพิ่มค่า CTR ได้อีกด้วย

นำ Long-Tail Keywords มาใช้

Long-Tail Keyword คือการนำเอาคำมาเติมต่อท้ายกับคำค้นหา หรือคีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงแต่มีความหมายกว้างๆ (Board Keyword) ถึงแคมเปญ ประเภทของสินค้า และบริการ แบรนด์ เช่น อาหารแมว อาจเพิ่มเป็น อาหารแมวเกรดพรีเมี่ยม โซเดียมต่ำ เป็นต้น

วิเคราะห์ SERP และคู่แข่ง

อย่าลืมว่าไม่ได้มีเราคนเดียวอยู่ในสนาม แต่ยังมีคู่แข่งอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้น อย่าลืมวิเคราะห์เทคนิค หรือวิธีการที่คู่แข่งใช้เพื่อเพิ่มค่า CTR และกลยุทธ์ SEO ที่พวกเขาใช้ และคอยตรวจสอบเนื้อหา และคีย์เวิร์ดของคุณว่าเวิร์คไหม เป็นปัจจุบันหรือเปล่า ถึงแม้จะไม่มีคู่แข่งก็ห้ามชะล่าใจ ด้วยวิธีง่ายๆ แบบนี้คุณก็สามารถยืนหนึ่งบนหน้าผลการค้นหาแล้ว

สรุป

CTR หรือ Click Through Rate คือหน่วยการวัดว่า Content ที่ผลิตลงไปมีความน่าสนใจมากน้อยเพียงใด ดังนั้นถ้าคอนเทนต์ประเภทบทความยิ่งมีค่า Click Through Rate (CTR) ที่สูงยิ่งแปลว่าเราสามารถเลือกหัวข้อออกมาได้อย่างน่าสนใจ ที่ทำให้ผู้ใช้ Google ในการค้นหาตามคีย์เวิร์ดนั้น ๆ เห็นหัวข้อแล้วอยากคลิก และถ้าหากคอนเทนต์ไหนที่มีค่า Click Through Rate (CTR) ต่ำก็แปลว่าคอนเทนต์นั้นอาจจะเขียนหัวข้อออกมาได้ไม่น่าสนใจ หรือ อาจจะบรรยายผ่าน Meta Description ได้ไม่ชัดเจน ไม่ดึงดูดพอ

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

CTR (Click Through Rate) คืออะไร?

CTR (Click Through Rate) คือสิ่งที่บ่งบอกว่าผู้ใช้งานคลิกโฆษณาหรือเว็ไซต์ของเราบ่อยแค่ไหนจากการแสดงผลทั้งหมด(Impression) ยิ่งค่า CTR สูงก็แสดงว่าข้อความโฆษณาหรือคอนเทนต์ของเรามีความน่าสนใจ

วิธีคำนวณค่า CTR

การหาค่า CTR หาได้จาก =(click/impression)*100 เช่นคอนเทนท์สอนทำอาหารของเรามีการแสดงผลไป 2,000 ครั้งและมีคนคลิก 100 ครั้ง =(100/2,000)*100 = 5% นั่นเอง

CTR (Click Through Rate) สำคัญอย่างไร

CTR เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าคอนเทนท์หรือโฆษณาของเรามีความน่าสนใจหรือไม่ เพื่อที่เราจะได้นำมาเป็นแนวทาง หรือปรับแก้ให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ซึ่งยิ่งมีคนคลิกเข้ามาเว็บไซต์ของเรามาก อัตราการเกิด Conversion Rate ก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง

Related Articles

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง