CTR คืออะไร? ควรอยู่ที่เท่าไร พร้อมเคล็ดลับเพิ่มยอดคลิกให้พุ่งยิ่งขึ้น

CTR คืออะไร? ควรอยู่ที่เท่าไร พร้อมเคล็ดลับเพิ่มยอดคลิกให้พุ่งยิ่งขึ้น

Table of Contents

Key Takeaway

  • CTR (Click-Through Rate) คือ อัตราส่วนของจำนวนคลิกที่โฆษณา หรือลิงก์ได้รับ เทียบกับจำนวนการแสดงผล คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ ใช้วัดความน่าสนใจ และประสิทธิภาพของโฆษณาได้
  • เหล่านักการตลาด ควรใส่ใจกับ CTR เพราะบ่งบอกว่าผู้ใช้สนใจโฆษณามากแค่ไหน ยิ่ง CTR สูง ยิ่งหมายถึงโฆษณามีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนโฆษณา และเพิ่มโอกาสทำยอดขายได้มากขึ้น
  • เทคนิคเพิ่มค่า CTR คือการใช้ Ad Extensions ใช้สัญลักษณ์ดึงดูด ใส่ CTA ชัดเจน ปรับปรุงเนื้อหาให้เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย ทดสอบ A/B และศึกษาคีย์เวิร์ดโดยการวิเคราะห์คู่แข่ง

CTR หรือ   คืออัตราการคลิก เป็นตัวชี้วัดที่บอกเราว่ามีคนกดเข้าชมโฆษณา สินค้า หรือบทความของเราเท่าไร บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักว่า CTR คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อการยิง Ads และทำไมการเพิ่ม CTR ถึงช่วยให้แคมเปญโฆษณาของเราปังมากขึ้น!

กลยุทธ์ที่ช่วยให้โฆษณาโดดเด่น (CTR) คืออะไร

กลยุทธ์ที่ช่วยให้โฆษณาโดดเด่น (CTR) คืออะไร 

CTR (Click Through Rate) คืออัตราส่วนที่บอกว่ามีคนกดเข้าชมโฆษณา หรือคอนเทนต์เท่าไรจากจำนวนที่โฆษณาถูกแสดง ยิ่ง CTR สูง แสดงว่าโฆษณาดึงดูดความสนใจได้ดี โดย CTR สำคัญมากต่อการทำ Google Ads เพราะช่วยวัดประสิทธิภาพของโฆษณา และคีย์เวิร์ดที่ใช้ ยิ่ง CTR สูง ค่า Ad Quality Score จะดีขึ้น ส่งผลให้โฆษณาแสดงบ่อยขึ้น และราคาถูกลง

เหตุผลที่ CTR มีผลต่อแคมเปญโฆษณาและการยิง Ads?

เหตุผลที่ CTR มีผลต่อแคมเปญโฆษณาและการยิง Ads?

ในการยิง Ads การใช้ CTR เป็นตัวชี้วัดที่ถือว่าสำคัญมาก มาดูเหตุผลกันว่าทำไม CTR ถึงควรถูกนำมาใช้เป็นตัวชี้วัด ดังนี้

ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ Ad Quality Score

Ad Quality Score ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลักคือ CTR ความเกี่ยวข้องของโฆษณา (Ad Relevance) และหน้า Landing Page ซึ่ง CTR เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคะแนนนี้ การที่มีคนคลิกเข้าเยอะ แสดงว่าโฆษณามีประโยชน์ และเกี่ยวข้องกับผู้ค้นหา ใน Google Ads เมื่อค่า CTR สูง ค่า Ad Quality Score ก็จะดีขึ้น ส่งผลให้โฆษณาแสดงบ่อยขึ้นบน Google และค่า PPC (Pay-Per-Click) ก็ถูกลงตามไปด้วย เรียกได้ว่าคุ้มสองต่อเลย!

ส่งผลดีต่อด้านการตลาด

การทำการตลาด หรือโฆษณาในอุตสาหกรรมต่างๆ มีเป้าหมายหลักคือเพิ่มยอดเข้าชมเว็บไซต์ และยอดขาย ค่า CTR คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น ช่วยบอกเราได้ว่าการตลาดที่เราทำอยู่ได้ผลไหม และสามารถดึงดูดลูกค้าให้คลิกเข้ามายังเว็บไซต์ได้มากแค่ไหน ถ้าค่า CTR ต่ำ อาจบอกได้ว่าคีย์เวิร์ด หรือภาพโฆษณาไม่ตรงใจลูกค้า การใช้ประโยชน์จากค่า CTR จะช่วยให้เราปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

วัดความน่าสนใจของโฆษณา

CTR คือตัววัดว่าโฆษณาของเรามีคนคลิกมากน้อยแค่ไหน ช่วยบอกว่าโฆษณาน่าสนใจหรือไม่ และยังใช้ในการปรับปรุงเนื้อหาให้ดีขึ้นในการยิงโฆษณาครั้งถัดไปอีกด้วย

ช่วยวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย

การทำโฆษณาแต่ละตัว ต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน ถ้าโฆษณาสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย ค่า CTR ก็จะแสดงผลดี แต่ถ้าไม่เข้ากัน ผลลัพธ์ก็จะไม่ดีตามไปด้วย ดังนั้น นักการตลาดอาจต้องเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย หรือปรับเนื้อหาโฆษณาให้โดนใจมากขึ้น เพื่อดึงดูดลูกค้าได้เยอะขึ้น

การเข้าถึงค่า CTR ในแพลตฟอร์มโฆษณาที่ต่างกัน

การเข้าถึงค่า CTR ในแพลตฟอร์มโฆษณาที่ต่างกัน

มาลองสำรวจช่องทางต่างๆ เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการทำโฆษณา และติดตามค่า CTR กันเลย!

Pay-Per-Click (PPC) Advertising

เมื่อทำโฆษณาแบบ Pay-Per-Click (PPC) ถ้าลูกค้าเสิร์ชหาคีย์เวิร์ดที่ตรงกับที่คุณใช้ โฆษณาของคุณก็จะขึ้นในผลการค้นหา และนั่นคือ Impression (จำนวนครั้งที่โฆษณาแสดงผล) ดังนั้น กฎสำคัญในการทำ PPC คือการเลือกคีย์เวิร์ดให้ถูกต้อง เพื่อดึงดูดลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายให้คลิกเข้ามาดูโฆษณา แทนที่จะเลื่อนผ่านไปนั่นเอง

Social Media Marketing

แต่ละแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย มีโปรแกรมทำโฆษณาของตัวเอง ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามค่า CTR ของโฆษณาได้ง่ายๆ เมื่อทำโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย โฆษณาจะขึ้นในฟีดของลูกค้าที่น่าจะสนใจสินค้า และบริการของเรา 

และการแสดงผลแต่ละครั้ง จะถูกนับเป็น 1 Impression ถ้ามีการคลิกเข้าไปดูสินค้าก็จะนับเป็นยอดคลิกเลยทีเดียว โปรแกรมโฆษณาในโซเชียลมีเดียจะช่วยนับยอด Impression และค่า CTR ให้ เพื่อให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหว และยอด Engagement ของลูกค้ากับโฆษณาได้อย่างสะดวก และง่ายดาย

Email Marketing

Email Marketing คือการทำการตลาดออนไลน์ผ่านอีเมล เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้า บริการ และโปรโมชันต่างๆ ข้อดีของการทำการตลาดแบบนี้ คือ เราสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าเก่า หรือคนที่สนใจสินค้าอยู่แล้วได้ ทำให้การเข้าถึงเป็นไปอย่างตรงจุด นอกจากนี้ ยังสามารถติดตามได้ว่าใครเปิดอ่านอีเมล และใครคลิกเข้าไปที่ลิงก์ที่แนบมาด้วย ช่วยให้ตรวจสอบ และเปรียบเทียบค่า CTR กับยอดเปิดอีเมลได้ง่ายๆ เลย

ทำไมค่า CTR ถึงสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณา

ทำไมค่า CTR ถึงสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณา

การติดตามค่า CTR คือเรื่องสำคัญมากๆ ซึ่งมีเหตุผลที่ไม่ควรมองข้ามการติดตามค่า CTR ดังนี้

เพื่อการปรับปรุงคอนเทนต์ในอนาคต

เพื่อพัฒนาคุณภาพโฆษณา สิ่งที่ควรรู้คือปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการจัดอันดับโฆษณาบนหน้า Google คือ Google Ads Quality Score ซึ่งช่วยให้ Google พิจารณาว่าโฆษณานั้นมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง และมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานหรือไม่ หากโฆษณามีค่า CTR สูง นั่นแสดงว่าโฆษณานั้นมีประสิทธิภาพดี 

แต่ถ้าค่า CTR ต่ำ Quality Score ก็จะไม่ดีตามไปด้วย ส่งผลต่อการจัดอันดับในผลการค้นหา เมื่อเข้าใจปัจจัยเหล่านี้แล้ว เราจึงสามารถปรับปรุงคอนเทนต์ หรือโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น

ช่วยลดค่าใช้จ่าย

การช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา แต่ยังได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า เป็นผลพลอยได้ที่หลายคนต้องการ วิธีหนึ่งที่จะช่วยลด CPC (Cost-Per-Click) คือการรักษา Quality Score ให้อยู่ในระดับสูง พร้อมทั้งมีค่า CTR ที่ดี โฆษณาของเราอาจจะปรากฏในหน้าผลการค้นหาน้อยครั้ง แต่ถ้ามีคนคลิกเข้ามาดูเนื้อหามาก นั่นหมายความว่า Google จะมองว่าโฆษณานั้นมีความเกี่ยวข้อง และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด 

ซึ่งถือว่าเป็นโฆษณาที่มีคุณภาพ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน สิ่งที่จะตามมาคือคะแนนความเกี่ยวข้องด้านเนื้อหาจะเพิ่มขึ้น และราคา CPC ก็จะลดลงตามไปด้วย

ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น

หากกำลังมองหาวิธีที่จะช่วยให้โฆษณาติดอันดับต้นๆ ลองพิจารณาการทำ SEO (Search Engine Optimization) เพิ่มเติมดู เพราะเมื่อค่า CTR สูง นั่นหมายถึงความเกี่ยวข้องของเนื้อหาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้โฆษณาของเรามีโอกาสถูกมองเห็นมากขึ้น และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น

เพิ่มการมองเห็นฟรีๆ

ในการลงโฆษณาบนสื่อโซเชียลมีเดีย ค่า CTR ที่สูง แสดงถึงยอดปฏิสัมพันธ์ของ User กับโฆษณา โจทย์ที่ต้องทำคือทำให้ผู้ที่เห็นโพสต์ของเรามีการแชร์ออกไป ซึ่งหมายความว่าเราจะได้โฆษณา และยอดคลิกมาแบบฟรีๆ รวมถึงยังสามารถขยายการเข้าถึงได้โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม เพียงแค่สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ และมีคุณค่าให้กับผู้ชม เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมอยากแชร์ออกไปเอง

ช่วยเพิ่มยอดขาย

ค่า CTR ที่ดีย่อมมีโอกาสนำมาซึ่งยอดขาย และการตอบสนองต่อโฆษณาที่มากขึ้น ถ้าต้องการให้ยอดขายเพิ่มขึ้น ก็ต้องคอยจับตามองค่า CTR อยู่เสมอ เพื่อทำความเข้าใจว่ากลยุทธ์การตลาดได้ผลหรือไม่ และสามารถปรับปรุงให้ตรงใจลูกค้าได้มากขึ้นอย่างไร

CTR VS. Conversion Rate ตัวชี้วัดใดสำคัญกว่ากัน?

ข้อแตกต่างระหว่าง Click-Through Rate (CTR) และ Conversion Rate นั้นสามารถแยกได้อย่างชัดเจน ก่อนอื่น มาทบทวนเรื่อง CTR กันก่อน ค่า CTR คือจำนวนผู้ที่เห็นโฆษณาแล้วคลิกเข้ามาดูสินค้า หรือบริการ แต่การคลิกเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดการซื้อขาย หรือการตอบสนองต่อโฆษณานั้นเสมอไป

ในทางกลับกัน ค่า Conversion Rate จะช่วยคำนวณว่าในจำนวนคนที่คลิกเข้ามานั้น มีกี่คนที่ทำการซื้อ หรือมีการตอบสนองตามที่เราต้องการ ดังนั้น ค่า Conversion Rate จะบอกเราว่าการเข้าชมที่เกิดจาก CTR นั้นสามารถเปลี่ยนเป็นยอดขายได้มากน้อยแค่ไหน

ทั้งสองค่านี้มีความเกี่ยวโยงกันอย่างใกล้ชิด เพราะค่า CTR ที่ดี จะช่วยเพิ่มโอกาสในการมี Conversion Rate ที่ดีขึ้นตามไปด้วย

ค่า CTR เฉลี่ยที่ดีที่สุด แนวทางเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น

คำถามที่หลายคนอาจสงสัยคือค่า CTR ที่ดีควรอยู่ที่เท่าไร? คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับแคมเปญโฆษณาที่เราทำ รวมถึงคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้ และจุดประสงค์ของโฆษณา นอกจากนี้ อุตสาหกรรมแต่ละอย่างก็มีค่า CTR เฉลี่ยที่แตกต่างกันออกไป เช่น ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 8.54 % อสังหาริมทรัพย์ 7.75 % และการศึกษา 5.46 % เป็นต้น

วิธีคำนวณ CTR ง่ายมาก ใครๆ ก็ทำได้ แค่เอาจำนวนการคลิก (Clicks) หารด้วยจำนวนครั้งที่โฆษณาแสดงผล (Impressions) แล้วคูณด้วย 100 

ค่า CTR วิธีคำนวณ CTR

สูตรคำนวณ 

CTR = (Clicks ÷ Impressions) × 100

ลองดูตัวอย่างการคำนวณกัน!

แคมเปญโฆษณาเครื่องฟอกอากาศได้รับจำนวนการแสดงผล (Impression) 15,000 ครั้ง แต่มีจำนวนการคลิก 600 คน เราสามารถคำนวณ CTR ตามสูตรได้ ดังนี้

(600 ÷ 15,000) × 100 = 4%

ดังนั้น แคมเปญโฆษณาเครื่องฟอกอากาศจึงได้รับค่า CTR ทั้งหมด 4%

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่า CTR ในการโฆษณาออนไลน์

การพิจารณาปัจจัยต่างๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้โฆษณาของเรามีค่า CTR ที่สูงขึ้น! โดยมีปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผล ดังนี้

Relevancy (ความเกี่ยวข้อง)

ถ้าเราอยากให้เกิดการซื้อขาย และการตอบสนองจากกลุ่มเป้าหมาย ความเกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดผ่านโฆษณา อีเมล แคมเปญต่างๆ หรือทางโซเชียลมีเดีย เนื้อหาจะต้องตรงกับ Landing Page ที่ลูกค้าจะเข้ามาดู ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำให้ลูกค้าสนใจ และเกิดการซื้อขายมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าอีกด้วย

Ad Rank (อันดับโฆษณา)

ปัจจัยที่ส่งผลต่อโฆษณา หรือคอนเทนต์ของเราว่าจะไปปรากฏในส่วนไหนบนหน้าเพจ ขึ้นอยู่กับ 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ Quality Score, Relevancy และ CPC หากเรามีทั้ง 3 ส่วนนี้ในระดับที่ดี โอกาสในการเพิ่มการมองเห็นโฆษณาก็จะสูงขึ้น ส่งผลให้จำนวนคนกดเข้ามายังโฆษณาของเรามากขึ้นตามไปด้วย 

Device (อุปกรณ์ที่ใช้)

อุปกรณ์ที่พูดถึงก็คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่คนใช้ค้นหาสินค้า และบริการต่างๆ ซึ่งผลสำรวจบอกว่าค่า CTR จากโทรศัพท์มือถือ มีแนวโน้มสูงกว่าคอมพิวเตอร์ ถ้าเราอยากประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นหลักอาจเป็นทางเลือกที่ดี แต่ก็ต้องระวังด้วย เพราะอาจพลาดลูกค้าที่สนใจในสินค้าจริงๆ ได้

6 เทคนิคสร้างความน่าสนใจให้โฆษณา เพื่อเพิ่มค่า CTR

6 เทคนิคสร้างความน่าสนใจให้โฆษณา เพื่อเพิ่มค่า CTR  

เราสามารถเพิ่มโอกาสให้ค่า CTR สูงขึ้น และทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยทำตามวิธีต่างๆ ดังนี้

1. ดึงส่วนขยายโฆษณามาใช้

ประโยชน์ของ Ad Extensions คือการยกระดับโฆษณาของคุณให้มีรายละเอียดมากขึ้น และเพิ่มความโดดเด่นขึ้นไปอีกขั้น Ad Extensions ช่วยให้เราสามารถเพิ่มข้อมูลสำคัญ เช่น สถานที่ เบอร์ติดต่อ การติดต่อผ่านข้อความ สาขา ราคาสินค้า และบริการ รวมถึงรีวิวต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับโฆษณา เมื่อข้อมูลเหล่านี้ครบถ้วน และน่าสนใจ จะทำให้ค่า CTR เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

2. เพิ่มลูกเล่นด้วยสัญลักษณ์

ถ้าอยากเพิ่มความน่าสนใจให้กับโฆษณา ลองเพิ่มลูกเล่นด้วยการใส่สัญลักษณ์ หรืออิโมจิลงไป หลายๆ คนอาจจะกังวลว่าการใช้สัญลักษณ์จะส่งผลไม่ดีต่อโฆษณา แต่ถ้าเลือกใช้ให้เหมาะสม อิโมจิจะช่วยสื่อสารอารมณ์ และทำให้ข้อความดูน่าสนใจมากขึ้น ช่วยดึงดูดใจลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

3. กระตุ้นคนด้วย CTAs

CTA (Call To Action) คือการทำโฆษณาที่กระตุ้นให้ผู้คนกระทำ ตัดสินใจ หรือทำตามคำสั่ง โดยใช้รูป เสียง หรือข้อความที่ดึงดูดใจ เช่น ‘ฟรีเดือนแรก’ ‘ซื้อเลย’ ‘วันเดียวเท่านั้น’ หรือ ‘อย่าลืมกดติดตาม’ เป็นต้น การออกแบบ CTA ควรเน้นให้เข้าใจง่าย และเข้าถึงได้ง่าย ตัวหนังสือควรชัดเจน และโดดเด่น เพื่อกระตุ้นให้คนคลิกมากขึ้น

4. ทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น

เพื่อพัฒนาโฆษณาให้มีประสิทธิภาพ ต้องไม่ลืมที่จะศึกษา และทำความเข้าใจลูกค้า รวมถึงคนที่สนใจในสินค้า หรือบริการของเรา แน่นอนว่ามีเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถติดตามข้อมูลว่าใครบ้างที่สนใจในโฆษณา เช่น Google Analytics และ Google Search Console เครื่องมือเหล่านี้ จะช่วยให้เรารู้ว่าผู้ใช้มีพฤติกรรมอย่างไร และสิ่งที่สนใจคืออะไร เพื่อให้เราสามารถปรับปรุงโฆษณาให้ดียิ่งขึ้น และเรียกยอดคลิกได้มากขึ้น

5. ทำ A/B Test

A/B test หรือที่เรียกว่า Split Test คือการสร้างชิ้นงาน 2 แบบขึ้นไป เพื่อดูว่าผู้คนจะสนใจแบบไหนมากกว่า หรือแบบไหนได้การตอบรับที่ดีกว่า ข้อมูลที่ได้จากการทดสอบนี้ ช่วยให้เรารู้ว่าแบบไหนเวิร์ค และแบบไหนไม่เวิร์ค ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพของโฆษณาให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมได้

6. ศึกษาคีย์เวิร์ด

คีย์เวิร์ด เป็นอีกจุดสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ถ้าอยากประหยัดเวลา และเงินในกระเป๋า คีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูง อาจทำให้โอกาสที่โฆษณาของเราจะปรากฏในหน้าผลการค้นหาน้อยลง ในขณะที่การใช้คีย์เวิร์ดที่ค้นหาน้อย ก็จะทำให้ยอดคลิกน้อยตามไปด้วย

ทริกเพิ่มค่า CTR ใน Facebook Ads และ SEO ให้ยอดคลิกเพิ่มขึ้น

ทริกเพิ่มค่า CTR ใน Facebook Ads และ SEO ให้ยอดคลิกเพิ่มขึ้น

มาดูเคล็ดลับเพิ่มค่า CTR ใน Facebook Ads และ SEO ให้ยอดคลิกเพิ่มขึ้นกัน!

วิธีเพิ่มค่าอัตราการคลิกของ Facebook Ads 

บางจุดใน Facebook ที่ปรับปรุงแล้ว จะช่วยทำให้ค่า CTR ดีขึ้นได้ และทำให้โฆษณาโดดเด่นมากยิ่งขึ้น วิธีเพิ่ม CTR คืออะไร ไปดู!

  • ดูคะแนนความเกี่ยวข้องของ Facebook Ads คะแนนนี้มีตั้งแต่ 1-10 คะแนน ยิ่งยอดคลิกเยอะ ราคาต่อคลิก (CPC) ก็จะยิ่งต่ำลง ทำให้ประหยัดต้นทุนในการทำโฆษณาได้มากขึ้น
  • วิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย เลือกรูปภาพ และเนื้อหาให้เข้ากับสินค้า และบริการ ถ้าอยากสร้างฐานลูกค้า ลองนึกภาพลักษณะนิสัยของลูกค้าดู เช่น อายุ และความสนใจ
  • เลือกใช้ภาพให้สะดุดตา เลือกรูปภาพที่ดึงดูดให้คนหยุดดู โดยไม่ต้องมีตัวหนังสือเยอะเกินไป ลองใช้ข้อความแบบ CTA มาช่วยกระตุ้นให้คนอยากคลิกมากขึ้น 
  • ใช้เทคนิค FOMO ช่วยกระตุ้นยอดคลิก และยอดขาย ที่ทำให้ลูกค้าเห็นแล้วรู้สึกว่า ถ้าไม่ซื้อตอนนี้อาจจะพลาดโอกาสดีๆ เช่น โปรโมชันจำกัดเวลา เป็นต้น
  • เน้นความน่าเชื่อถือ เพิ่มรีวิวสินค้า หรือใช้รูปสินค้าที่เคยขึ้นหน้าปกนิตยสารในโฆษณา จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าได้อย่างดีเลย

วิธีเพิ่มค่าอัตราการคลิกสำหรับการทำ SEO 

ปรับปรุงการทำ SEO เพื่อเพิ่มค่า CTR ให้โฆษณาของเราโดดเด่น และน่าดึงดูดมากขึ้น ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้

  • เขียน Meta Titles และ Descriptions ให้น่าสนใจ ควรเน้นจุดสำคัญของ Meta Titles และ Meta Description ให้โดดเด่น เพื่อให้ผู้ค้นหารู้สึกว่าบทความของเรามีประโยชน์ และตอบโจทย์ความต้องการ
  • ตั้ง URL ให้มีคำเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ปรับเปลี่ยนให้เป็นคำที่มีความหมายโดยสื่อถึงเนื้อหา และใช้คีย์เวิร์ดเพื่อเพิ่มค่า CTR
  • ตั้งค่าเว็บไซต์ให้ขึ้นผลการค้นหาแบบ Rich Snippets ควรเพิ่มเนื้อหาที่มีรีวิว FAQ (คำถามที่พบบ่อย) หรือ How to รวมถึง Google Sitelinks เพื่อให้เว็บไซต์โดดเด่นบนหน้าผลการค้นหา
  • ใช้ Long-Tail Keywords เติมคำเฉพาะเข้าไปในคีย์เวิร์ดที่กว้างๆ ทำให้การค้นหามีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า เช่น จาก ‘อาหารแมว’ ก็อาจเปลี่ยนเป็น ‘อาหารแมวเกรดพรีเมี่ยม โซเดียมต่ำ’ 
  • ไม่ลืมการวิเคราะห์ SERP และคู่แข่ง ควรศึกษาเทคนิค และกลยุทธ์ SEO ของคู่แข่ง รวมถึงอย่าลืมตรวจสอบเนื้อหา และคีย์เวิร์ดให้เป็นปัจจุบัน

สรุป

CTR (Click-Through Rate) คือ อัตราส่วนระหว่างจำนวนคลิกที่โฆษณาได้รับกับจำนวนครั้งที่โฆษณาแสดง (Impressions) โดย CTR สำคัญกับการยิงโฆษณา เพราะบ่งบอกถึงความน่าสนใจของโฆษณา ถ้า CTR สูง แสดงว่าโฆษณามีประสิทธิภาพในการดึงดูดลูกค้า ส่งผลดีต่อค่าใช้จ่ายในการโฆษณา และการจัดอันดับของโฆษณาในแพลตฟอร์มต่างๆ

เพิ่มประสิทธิภาพของ CTR ด้วยการทำ SEO กับ Minimice Group มอบการดูแลแบบมืออาชีพ เนื้อหาคุณภาพ และการวิเคราะห์ตลาดอย่างเข้มข้น ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีในหน้าผลการค้นหาเร็วขึ้น โดยไม่ต้องรอลุ้นค่า CTR และเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

มาถึงเวลาตอบคำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับ CTR กันแล้ว ถ้าใครยังมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการทำโฆษณา และค่า CTR อย่ารอช้า! มาดูกันว่าคำถามไหนที่คนถามบ่อยที่สุด

CTR ใน TikTok คืออะไร?

TikTok นับ CTR ด้วยการคำนวณเปอร์เซ็นต์ของจำนวนการคลิกไปยังจุดหมายปลายทางที่กำหนด เมื่อเทียบกับจำนวนการแสดงโฆษณาทั้งหมด

CTR ยิ่งเยอะยิ่งดี จริงไหม?

การมี CRT เยอะถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะผู้ใช้เห็นว่าโฆษณา และข้อมูลมีประโยชน์ และตรงใจ นอกจากนี้ ยังมีผลต่อ CTR ที่คาดหวังของคีย์เวิร์ด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในลำดับโฆษณาอีกด้วย แต่จำไว้ว่า CTR ที่ดีต้องสัมพันธ์กับสิ่งที่โฆษณา และเครือข่ายที่แสดงโฆษณา

CTR Facebook เท่าไรถึงจะดี?

ค่า CTR ที่ดีใน Facebook มักอยู่ในช่วงประมาณ 0.5 % ถึง 2 % ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจ และอุตสาหกรรมที่คุณทำการตลาด หากค่า CTR สูงกว่า 2 % ถือว่าดีมาก แต่อย่าลืมว่าแต่ละแคมเปญอาจมีเป้าหมาย และคีย์เวิร์ดที่แตกต่างกัน

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง