Key Takeaway
- Canonical Tags หรือ rel=”canonical” นั้นเสมือน Sitemap คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยแจ้ง Search Engine อย่าง Google ว่า URL ไหนคือหน้าหลักของเว็บไซต์ เพื่อป้องกันการ Index ผิดพลาดและแก้ไขปัญหาเนื้อหาซ้ำซ้อน ควรใช้ Tag นี้อย่างระวัง เพราะสามารถทำให้การ Index และ Ranking เปลี่ยนไปได้ทันที
- การระบุ Canonical Tags อย่างถูกต้อง และใส่ Canonical Tags ในทุกหน้าของเว็บไซต์ (ไม่ใช่แค่หน้าซ้ำ) จะช่วยให้ Search Engine เข้าใจและจัดอันดับหน้าเว็บได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงที่เว็บไซต์จะถูกมองว่าด้อยคุณภาพ และส่งผลดีต่อ SEO ในระยะยาว
- สถานการณ์ที่ควรใช้ Canonical Tags คือเมื่อมีหลายหน้าบนเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายกันหรือเหมือนกัน ใช้ Canonical Tags กรณีโดนคัดลอกเนื้อหา หรือถ้าอยากย้ายหน้าเว็บไซต์และต้องการรวมสัญญาณ SEO จากหน้าเก่าไปยังหน้าใหม่ก็ใช้ Canonical Tags ได้
- ข้อผิดพลาดหลักที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Canonical Tags คือการละเลยไม่ใส่ Tag เลย เพราะคิดว่าไม่จำเป็น จนทำให้อันดับตก หรือการใช้รูปแบบ URL ที่ไม่ถูกต้อง เพราะ URL ใน Canonical Tags ต้องไม่ซ้ำกับ URL อื่น และต้องมี Protocol `http://` หรือ `https://` เสมอ
Canonical Tags ช่วยจัดการเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกันบนเว็บไซต์ สำคัญมากๆ ในการทำ SEO เพราะส่งผลกระทบกับอันดับในการติด Ranking ทุกเว็บไซต์จึงต้องควรจะมี Tag นี้เสมอ บทความนี้พาเหล่า SEO Specialist Beginner ถึง Advanced Level หรือคนที่สนใจเรื่องนี้มาทำความรู้จักกันว่า Canonical Tags คืออะไร มีเทคนิคการทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

Canonical Tags คืออะไร? ทำไมคนทำ SEO ต้องรู้!
Canonical Tags หรือที่เรียกว่า rel=”canonical” คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยบอก Search Engine อย่าง Google ให้ทราบว่า URL ใดคือหน้าหลักของเว็บไซต์ เพื่อป้องกันการ Index ข้อมูลผิดหน้าและแก้ไขปัญหาเนื้อหาซ้ำซ้อน หากเว็บไซต์มีเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันหลายหน้า การระบุ Canonical Tags จะช่วยให้ Search Engine เข้าใจและจัดอันดับหน้าเว็บได้อย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงที่เว็บไซต์จะถูกมองว่ามีคุณภาพต่ำเนื่องจากมีเนื้อหาซ้ำซ้อน ซึ่งส่งผลดีต่อการทำ SEO ในระยะยาว
Canonical Tags สำคัญต่อการทำ SEO อย่างไร?
การใส่ Canonical Tags นั้นมีขึ้นมาเพื่อลดความเสี่ยง กรณีมีบทความหรือเนื้อหามีซ้ำกันในหลายๆ หน้า เพราะ Canonical Tags จะเพิ่มความมั่นใจให้กับ Search Engine หรือ Google Bot ว่าหน้านั้นๆ ของเราต้องติดอันดับได้ ถึงเราจะมีโครงสร้าง Sitemap ที่ดีแล้วก็ตาม การใส่ Canonical Tags จะคอนเฟิร์ม Google Bot และทำให้เกิดการ Index หรืออันดับของ SEO ได้ง่ายกว่า
Canonical Tags มีความสำคัญสำหรับ SEO เนื่องจากช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจว่าควรจัดทำ Index หน้าเวอร์ชันไหน แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าควรให้หน้าไหนอยู่ในอันดับที่สูงกว่าในผลการค้นหา? หากคุณมีหน้าสองเวอร์ชันที่มีเนื้อหาเหมือนกัน แต่มี URL ต่างกัน Canonical จะบอกเครื่องมือค้นหาว่าหน้าใดหน้าหนึ่งเป็นต้นฉบับและหน้าไหนซ้ำกัน
หากไม่มี Canonical Tags เครื่องมือค้นหาอาจ Index หน้าเว็บทั้งสองเวอร์ชัน แต่โดยปกติแล้วจะให้ความสำคัญกับเวอร์ชันดั้งเดิมมากกว่า ซึ่งอาจส่งผลให้อันดับอยู่ต่ำกว่าหน้าที่ซ้ำกันได้

ควรใช้ Canonical Tags ในสถานการณ์ไหน?
แล้วเราควรใช้ Canonical Tags ในสถานการณ์ไหน? มาดูกัน
- เมื่อคุณต้องการชี้ Google Bot ไปยังแหล่งที่มาของเนื้อหาต้นฉบับ สิ่งนี้มีประโยชน์เมื่อเว็บไซต์อื่นคัดลอกเนื้อหาของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต
- เมื่อคุณมีหลายหน้าที่มีเนื้อหาคล้ายกันหรือเหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับหน้า Product การใช้ Canonical Tags คุณสามารถบอกเครื่องมือค้นหาได้ว่าหน้าไหนเป็นต้นฉบับ และควร Index
- เมื่อคุณย้ายหน้าและต้องการเปลี่ยนเส้นทางการรับส่งข้อมูลจากหน้าเก่าไปยังหน้าใหม่ เมื่อใช้ Canonical Tags ในหน้าใหม่ คุณจะบอก Google ว่าหน้าใหม่เป็นหน้าเดิม และควร Index แทนหน้าเก่า
ตัวอย่าง Canonical Tags ใช้งานจริงยังไง?
เราจะได้ยินว่าการย้ายหน้าไปมา ทั้งนี้เราจะทำมันยังไงดี? ไปดูพร้อมๆ กันเลย
- หน้า A: URL – minimicegroup.com/product-a
Canonical – minimicegroup.com/product-a
- หน้า B: URL – minimicegroup.com/product-b
Canonical – minimicegroup.com/product-b
หากเราต้องการย้ายหน้า A ไปหาหน้า B
- หน้า A: URL – minimicegroup.com/product-a
Canonical – minimicegroup.com/product-b
- หน้า B: URL – minimicegroup.com/product-b
Canonical – minimicegroup.com/product-b
วิธีสร้าง Canonical Tags ใน WordPress
ถ้าพูดกันจริงๆ แล้ว หากคุณติดตั้ง Yoast SEO หรือ All-in-One SEO นั้น Canonical Tags ไม่ควรเป็นปัญหาใหญ่ใดๆ เพราะระบบนั้นจะติดตั้งให้โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ในส่วนนี้เรามาดูกันว่าหากต้องการเปลี่ยนจะทำยังไงดี?

ปรับ Canonical Tags ด้วย Yoast SEO
หากต้องการเปลี่ยน URL Canonical ใน WordPress ด้วย Yoast SEO ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- เข้าสู่ระบบเว็บไซต์ WordPress ของคุณ
- คุณจะเข้าสู่ “แผงควบคุม (Dashboard)”
- ไปที่ บทความ (Post) หน้า (Page) หมวดหมู่ (Category) หรือแท็ก (Tag) ที่คุณต้องการเปลี่ยน URL Canonical
- คุณจะเข้าสู่หน้าแก้ไขของ Post, Page, Category หรือ Tag
- ไปที่ “ขั้นสูง (Advanced)” ในแถบด้านข้างหรือกล่อง Meta ของ Yoast SEO
- ในช่อง “Canonical URL” ให้ป้อน URL Canonical ฉบับเต็ม คุณต้องระบุที่อยู่แบบเต็ม รวมถึง http://, https://, www. หรือไม่ใส่ www. ที่จุดเริ่มต้นของ URL
- คลิก เผยแพร่ (Publish) บันทึก (Save) หรือเผยแพร่ซ้ำ (Republish) บทความของคุณเพื่อเปลี่ยน URL Canonical
- เมื่อคุณเผยแพร่บทความที่แก้ไขแล้ว ซึ่งรวมถึง URL Canonical การเปลี่ยนแปลงจะถูกนำไปใช้

Canonical Tags ด้วย All-in-One SEO
All in One SEO (AIOSEO) เป็นปลั๊กอิน SEO ยอดนิยมสำหรับ WordPress ที่ช่วยให้คุณจัดการ Canonical Tags ได้ง่ายดาย โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ติดตั้งและเปิดใช้งานปลั๊กอิน All in One SEO (AIOSEO) หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง ให้ไปที่ “ปลั๊กอิน” > “เพิ่มปลั๊กอิน” ค้นหา “All in One SEO” ติดตั้ง และเปิดใช้งานปลั๊กอิน
- แก้ไขหน้า โพสต์ หมวดหมู่ แท็ก หรือ Archive ที่ต้องการตั้งค่า Canonical URL
- เลื่อนลงไปที่ส่วน “AIOSEO Settings” โดยปกติจะอยู่ใต้ตัวแก้ไขเนื้อหาของหน้า/โพสต์ หรือที่ด้านบนของหน้าแก้ไขหมวดหมู่/แท็ก/Archive
- มองหาแท็บ “ขั้นสูง” (Advanced)” คลิกที่แท็บนี้
- ค้นหาช่อง “Canonical URL”
- ป้อน URL Canonical ที่ต้องการ สำหรับหน้าหลัก หากต้องการให้หน้านี้เป็นหน้า Canonical ให้ปล่อยช่องนี้ว่างไว้ AIOSEO จะตั้งค่า URL ของหน้านี้เป็น Canonical โดยอัตโนมัติ สำหรับหน้าที่มีเนื้อหาซ้ำหรือคล้ายกัน ป้อน URL ของหน้าที่คุณต้องการให้เป็น Canonical (หน้าหลัก) สำหรับเนื้อหานี้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็น URL เต็มรูปแบบ เช่น ‘https://www.yourdomain.com/the-main-page/’
- บันทึกหรืออัปเดต สำหรับหน้า (Page) หรือโพสต์ (Post) คลิกปุ่ม “อัปเดต” สำหรับหมวดหมู่ (Category) แท็ก (Tag) หรือ Archive คลิกปุ่ม “อัปเดต” หรือ “บันทึกการเปลี่ยนแปลง”
ข้อผิดพลาดที่เจอบ่อยของ Canonical Tags
อย่าลืมใส่ Canonical Tags ในทุกหน้าของเว็บไซต์ของคุณ ไม่ใช่แค่หน้าที่มีเนื้อหาซ้ำกัน เพราะการทำเช่นนี้เป็นการบอก Google ว่าหน้าเว็บไซต์เวอร์ชันไหนเป็นเวอร์ชันหลัก และควรได้รับการ Index
ต่อไปเรามาดูข้อผิดพลาดที่เจอบ่อยของ Canonical Tags กัน!
ไม่ใส่ Canonical Tags เลย
ข้อผิดพลาดสำคัญที่พบบ่อยเกี่ยวกับการใช้ Canonical Tags คือการละเลยไม่ใส่แท็กเหล่านี้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยครั้ง เนื่องจากนักพัฒนาเว็บไซต์บางส่วนอาจไม่ทราบถึงความสำคัญของ Canonical Tags หากเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกัน Google จะตรวจพบในที่สุด และอาจส่งผลเสียต่ออันดับเว็บไซต์ได้
ใช้รูปแบบ Canonical Tags ที่ไม่ถูกต้อง
อีกข้อผิดพลาดที่พบบ่อยคือการใช้รูปแบบ URL ที่ไม่ถูกต้องสำหรับ Canonical Tags โดย URL ที่ระบุใน Canonical Tags นั้นต้องไม่ซ้ำกับ URL อื่นๆ และจำเป็นต้องมี Protocol ที่ถูกต้องเสมอ ไม่ว่าจะเป็น ‘http://’ หรือ ‘https://’
หากใช้รูปแบบ URL ที่ไม่ถูกต้องจะไม่สามารถระบุ URL หลักได้ จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหา Duplicate Content ได้ ทั้งนี้หาก Canonical Tag ไม่ชัดเจนหรือไม่ถูกต้อง Google อาจตัดสินใจเลือก URL ที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดเป็น Canonical URL เอง ซึ่งอาจไม่ใช่ URL ที่คุณต้องการ ซึ่งอาจส่งผลทำให้การจัดอันดับ SEO ลดลงได้ในที่สุด
สรุป
โดยสรุป Canonical Tags เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักการตลาด SEO ที่ช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ซ้ำกัน และให้แน่ใจว่า Google สามารถ Index หน้าที่ถูกต้องได้ การใช้ Canonical Tags จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าหน้าเว็บของคุณได้รับการ Index อย่างถูกต้อง และเนื้อหาของคุณจะไม่ซ้ำกัน
Minimicegroup ดิจิทัลเอเจนซีชั้นนำในกรุงเทพฯ รับทำ SEO ที่ทำการตลาดโดยการขับเคลื่อนด้วยผลลัพธ์ พลิกเกมการทำธุรกิจของคุณให้ขึ้นสู่แนวหน้า หวังผลลัพธ์ที่คุณต้องการได้โดยไร้ความเสี่ยง
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
Canonical URL คืออะไร?
Canonical URL คือการระบุ URL หลักสำหรับหน้าเว็บที่มีเนื้อหาเดียวกันแต่สามารถเข้าถึงได้ผ่านหลายที่อยู่ เช่น เว็บไซต์ ‘news.com’ ที่เข้าถึงได้ทั้ง https://m.news.com, https://mobile.news.com, https://news.com/index/ และ https://news.com/ ซึ่งทั้งหมดนี้ชี้ไปยังหน้าแรก การใช้ Canonical URL อย่างถูกต้องด้วย ‘<link rel=”canonical” href=”URL” />’ ในทุก URL ที่ควรชี้ไปยังหน้าหลัก จะช่วยป้องกันปัญหา Duplicate Content ในมุมมองของ Google BOT และส่งผลดีต่อการจัดอันดับเว็บไซต์
Rel Canonical คืออะไร?
Rel Canonical คือ attribute ของ HTML link tag (`<link>`) ที่ใช้เพื่อบอก Search Engine ว่า URL ใดคือหน้าหลัก (Canonical URL) ของเนื้อหาที่อาจซ้ำกันหรือคล้ายคลึงกันบนเว็บไซต์ หน้าที่ของ Rel Canonical คือป้องกันปัญหา Duplicate Content ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับ SEO โดยการระบุ URL หลัก จะช่วยให้ Search Engine เข้าใจว่าควร Index และให้คะแนน URL ใดเป็นหลัก ทำให้เว็บไซต์ไม่ถูกมองว่ามีเนื้อหาซ้ำซ้อนและช่วยให้การทำอันดับมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เช็กยังไงว่า Canonical Tags ทำงานถูกต้องแล้ว?
การตรวจสอบว่า Canonical Tags ทำงานถูกต้องหรือไม่ สามารถทำได้ง่ายๆ ผ่าน MozBar ซึ่งเป็น Extension สำหรับเบราว์เซอร์ Chrome หลังจากติดตั้ง MozBar เรียบร้อยแล้ว ให้เปิดใช้งานและคลิกที่ไอคอนเพื่อดูรายละเอียด จากนั้นไปที่ส่วน General Attributes คุณจะพบข้อมูลในส่วนของ rel=”canonical” ซึ่งจะระบุ URL หลักที่หน้านั้นๆ อ้างอิงอยู่ หาก URL ที่แสดงถูกต้องตรงกับที่คุณตั้งใจไว้ แสดงว่า Canonical Tags ทำงานอย่างเหมาะสม