Search Engine Marketing คืออะไร แตกต่างจาก SEO ตรงไหน

รู้จัก SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร ใช่อย่างเดียวกับ SEO ไหม?

Table of Contents

หนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดเพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ นั่นก็คือการทำ SEM หรือย่อมาจาก Search Engine Marketing หมายถึงการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ เพื่อให้เว็บไซต์ของเราอยู่อันดับต้นๆ บน Search Engine ซึ่งในปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากการทำธุรกิจในทุกๆ วันนี้ต้องพึ่งพาช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ดังนั้น การที่หลายๆ ธุรกิจจะหันมาโฟกัสในการเพิ่มรายได้ในช่องทางดังกล่าวจึงเป็นวิธีการที่ถูกต้อง เพราะว่าการทำการตลาดบนอินเทอร์เน็ตถือเป็นวิธีการเสาะแสวงหาลูกค้ากลุ่มใหม่มาซื้อสินค้าและบริการในธุรกิจของเราได้ดีเลยทีเดียว 

ถึงเวลาแล้วที่จะต้องศึกษาขั้นตอนและวิธีการทำ SEM (Search Engine Marketing) ถ้าอยากให้ธุรกิจเติบโตในโลกยุคปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต มาศึกษาการทำ SEM กันเลย

SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร

SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร?

SEM  ย่อมาจาก Search Engine Marketing หมายถึง การทำการตลาดออนไลน์โดยใช้เครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต (Search Engine) โดยมี Search Engine อย่าง Google, Bing, Yahoo ในการค้นหาข้อมูลเพื่อให้เว็บไซต์ของเราอยู่อันดับบนๆ ของ Search Engine โดยใช้ Keyword เป็นตัวกำหนดขอบเขตการค้นหา ซึ่ง Google คือ Search Engine  ได้รับความนิยมอันดับ 1 ในหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน

สำหรับการทำ SEM  ประกอบไปด้วย ส่วนของการทำ Paid Search หรือ PPC (Pay per Click) คือการจ่ายเงินค่าโฆษณาเพื่อให้ได้มาซึ่งอันดับบน Search Engine และการทำ SEO (Search Engine Optimization) หรือ Organic Search คือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เป็นไปตามกฎของ Google เพื่อให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับบน  Search Engine เช่นเดียวกัน เพราะยิ่งเว็บไซต์ของเราอยู่ในอันดับที่ดีมากขึ้นเท่าไหร่ หมายความว่ายิ่งโอกาสที่ผู้ใช้จะเปิดเข้ามายังเว็บไซต์ของเรามากขึ้นเท่านั้น

ประเภทของ Search Engine Optimization มีอะไรบ้าง

SEM มีกี่ประเภท?

อย่างที่อธิบายไปแล้วว่า SEM คือ การทำการตลาดบนโลกออนไลน์ ที่ครอบคลุมทั้งการทำ Paid Search หรือ PPC (Pay per Click)  และ การทำ SEO (Search Engine Optimization) หรือ Organic Search โดยมีรายละเอียด ดังนี้

PPC (Pay per Click)

PPC (Pay per Click) หรือ Paid Search คือ Search Engine ที่ให้บริการระบบโฆษณาแบบ คลิกโฆษณาแล้วเสียเงิน เช่น Google Ads, Yahoo, Bing, Baid โดยมีการค่าใช้จ่ายผ่านการคลิกโฆษณา ซึ่งหากว่ามีโฆษณาเกิดขึ้นบนหน้าจอของเรา แต่ไม่มีการคลิกใดๆ เกิดขึ้น ก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น 

สำหรับรูปของ PPC คือการทำโฆษณาโดยใช้คีย์เวิร์ดที่เราประมูลขึ้นทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมที่ทำให้เว็บไซต์ของเราไปปรากฎอยู่บนหน้า Search Result Page หรือหน้าแสดงผลการค้นหา โดยค่าประมูลจะถูกเรียกว่า CPC (Cost Per Click) โดยเป็นราคาที่กำหนดขึ้นตามการคิดคำนวนจากจำนวนในการใช้ Keyword โดย Keyword ที่มีการค้นหามาก มีคู่แข่งมาก ก็จะทำให้ CPC สูงขึ้นด้วย 

แน่นอนว่าถ้าอยากให้เว็บไซต์ของเราอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดก็ต้องประมูลค่า CPC ให้สูงกว่าคู่แข่ง แต่อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าเราจ่ายค่า CPC แพงจะทำให้เราอยู่ในตำแหน่งที่ดีบน  Search Result Page เสมอไป เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ อย่าง ค่า Quality Score ที่คอยคำนวณคุณภาพโฆษณาของเรา ที่ตรวจสอบความเกี่ยวข้องระหว่างโฆษณากับคีย์เวิร์ด และ Landing Page ซึ่งหากเรามี Quality Score ที่สูง จะทำให้เราจ่ายค่า CPC ถูกลง และได้ตำแหน่งที่ดีเหมือนเดิม โดยที่มีคนคลิกเข้ามาดูโฆษณาของเรามากขึ้น

SEO (Search Engine Optimization)

สำหรับรูปแบบการทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการทำการตลาดออนไลน์โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเสียเงินเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เราจำเป็นต้องลงแรง และใช้เวลาค่อนข้างนาน ซึ่งการทำ SEO คือการทำให้คนเข้ามายังเว็บไซต์ของเราโดยวิธีการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ให้ตรงกับหลักเกณฑ์ที่  Search Engine กำหนดไว้ โดยเฉพาะกูเกิล ซึ่งเราอาจเรียกรวมๆ ว่า Google Sem คือเครื่องมือที่ยอดนิยมมากที่สุดนั่นเอง โดยเทคนิคการทำ SEO มีอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน 

  • On Page SEO คือการแทรกคีย์เวิร์ดลงไปบนหน้าเว็บไซต์โดยตรง โดยมักจะใช้วิธีการเขียน Blog Content ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อให้ Google Bot สามารเก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น 
  • Off Page SEO คือการลิงก์บนความไปยังหน้าอื่นหรือเว็บไซต์อื่น ๆ หรืออาจจะเป็นเว็บไซต์อ้างอิงถึงเว็บไซต์ของเราก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของเราได้เช่นกัน 
  • Technical SEO คือเทคนิคที่ช่วยเพิ่มคะแนนให้แก่เว็บไซต์ของเรา ทั้งการปรับเว็บไซต์ให้โหลดได้เร็วขึ้น การทำเว็บไซต์ให้รองรับได้ทุก Device และการสร้าง Security Privacy บนเว็บไซต์เป็นต้น

ข้อดีของการทำ SEM (search engine marketing) ต่อธุรกิจ

ทำไมถึงควรทำ SEM?

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำ SEM เป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก สำหรับการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ เพราะนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการโปรโมตสินค้าและบริการ รวมไปถึงการขยายธุรกิจ และยังมีประโยชน์ในหลายๆ เรื่อง ดังนี้

เพิ่ม Traffic คุณภาพเข้ามายังเว็บไซต์

ข้อดีของการทำ SEM คือการดูงดึงผู้ใช้มากมายให้เข้ามายังเว็บไซต์ของเรา อีกทั้งผู้ใช้ที่เข้ามายังเว็บไซต์ที่เข้าภายในเว็บไซต์คือกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ โดยใช้คีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพกรองกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงเข้ามายังเว็บไซต์ของเรา จึงทำให้เป็นการเพิ่ม Traffic ที่มีคุณภาพเข้ามายังเว็บไซต์ จึงตอบโจทย์กับสินค้าและบริการ หรือวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์อย่างแท้จริง

เพิ่มโอกาสที่แบรนด์จะเป็นที่รู้จักและถูกจดจำได้มากขึ้น

การทำ SEM เป็นเพิ่มโอกาสให้แบรนด์สินค้าของคุณเป็นที่รู้จัก และเป็นที่จดจำของผู้ใช้บนโลกอินเทอร์เน็ต เพราะสินค้าดี โปรโมตไม่ดีย่อมไม่มีคนเห็น ดังนั้นการทำ SEM จึงเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังมากที่สุดที่จะทำให้แบรนด์ของคุณถูกจดจำและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เพิ่มโอกาสเกิดยอดขายทางธุรกิจ

แน่นอนว่าจุดประสงค์การทำโฆษณาคือการทำให้เกิดยอดขาย ดังนั้น การทำ SEM จึงตอบโจทย์ที่สุดในการทำธุรกิจออนไลน์ เพราะเราสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการได้ จึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

ได้ผลลัพธ์ภายในงบที่จำกัด

ข้อดีอีกหนึ่งอย่างของการทำ SEM คือการที่เครื่องมือตัวนี้สามารถปรับการทำโฆษณาให้เหมาะสมกับงบประมาณที่มีค่อนข้างจำกัดได้ โดยเราไม่จำเป็นต้องลงทุนด้วยงบประมาณจำนวนมาก ดังนั้นจึงตอบโจทย์กับธุรกิจประเภท SME ที่ไม่ได้มีงบในการทำการตลาดมากนัก

ประเภท Keyword ที่ใช้ในการทำการตลาดแบบ PPC

ประเภท Keyword ที่ใช้ในการทำการตลาดแบบ PPC

การทำ SEM นั้นสามารถเลือกประมูล Keyword ที่ต้องการได้หลากหลายประเภท  โดยการเลือกใช้ Keyword ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการยิงโฆษณา ว่าเหมาะสมกับประเภทใดบ้าง

Broad Match

เป็นคีย์เวิร์ดที่ใช้เครื่องหมายบวก (+) นำหน้า ซึ่งจะแสดงผลลัพธ์ที่ตรงกับคีย์เวิร์ดที่เราต้องการเท่านั้น โดยจะไม่แสดงคีย์เวิร์ดที่คล้ายคลึงกัน โดยมีตัวอย่าง คือ +กระเป้า +เสื้อผ้าผู้หญิง

Phrase Match

ใช้เครื่องหมาย “ ” แสดงคีย์เวิร์ดแบบวลีปิดหัว-ท้ายเอาไว้ โดยแสดงผลลัพธ์เฉพาะคีย์เวิร์ดที่กำหนดเท่านั้น ทำให้เราได้กลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากกว่า ตัวอย่างเช่น “เสื้อผ้าผู้หญิง”

Exact Match

เป็นคีย์เวิร์ดยืนเดี่ยว เพราะเป็นคำเพียวๆ ไม่มีคำอื่นมาปะปนหรือต่อท้ายเลย โดยโฆษณาจะแสดงผลก็ต่อเมื่อตรงกับคีย์เวิร์ดที่กำหนดเอาไว้เท่านั้น จึงเป็นวิธีการที่ได้กลุ่มลูกค้าที่แม่นยำมากๆ

Negative Match

ใช้เครื่องหมาย ลบ (-) นำหน้าคีย์เวิร์ด เพื่อลบคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องออก จึงช่วยกีดกันกลุ่มที่ไม่ใช่ลูกค้าของเราออกไป สามารถป้องกันลูกค้าที่เคยเสิร์ชคำนี้ไปแล้วแต่ไม่สนใจออกไปด้วย

Google Ads กับ SEM เหมือนหรือแตกต่างกันยังไง

แล้ว Google Ads vs. SEM เหมือนหรือต่างกันยังไง? สองคำที่คนมักเข้าใจผิดบ่อย

มีหลายคนที่เข้าใจว่า Google Ads และ SEM คือสิ่งเดียวกัน จริงๆ สองสิ่งนี้นั้นแตกต่างกัน โดยจริงๆ แล้วการทำ Google Ads เป็นหนึ่งในรูปแบบของ SEM หรือการทำการตลาดออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่มีทั้งการทำ PPC โดย Google Ads ก็คือ PPC เช่นเดียวกัน รวมไปถึงการทำ SEO ก็เป็นหนึ่งใน SEM เช่นเดียวกันอย่างที่เราได้อธิบายไปแล้วในข้างต้น

แต่ในปัจจุบันคนมักเรียก SEM ว่า Google Ads ไปเลย ซึ่งนั่นไม่เรื่องผิด เพราะปัจจุบัน Google Ads หรือการทำโฆษณาผ่าน Google เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีการทำโฆษณาผ่านเครือข่ายต่างๆ ของ Google ได้อย่างครอบคลุม ผู้ใช้จำนวนมากจึงใช้คำว่า SEM แทนคำว่า Google Ads ไปเลยเพราะว่าเป็นเรื่องที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่เข้าใจตรงกันว่ามีความหมายว่าอย่างไร และใช้กันอย่างแพร่หลายอีกด้วย

SEO หรือ SEM (PPC–Google Ads) เลือกแบบไหนถึงดีต่อธุรกิจ

SEO หรือ SEM (PPC–Google Ads) เลือกทำแบบไหนดีนะ?

แน่นอนว่าสองเครื่องมือที่ทรงพลังทำให้ทุกคนเลือกไม่ได้ว่าควรใช้วิธีการใดดีระหว่าง SEO หรือ SEM (PPC–Google Ads) ในการเพิ่ม Traffic ให้ผู้ใช้เข้ามายังเว็บไซต์ของเรา ซึ่งทั้งสองวิธีการมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนี้

การทำ SEO

สำหรับการ SEO ให้มีประสิทธิภาพคือการปรับแต่งทั้ง SEO On Page และ  SEO Off Page ให้มีประสิทธิภาพดึงดูดทั้ง Bot และผู้ใช้ให้เข้ามายังเว็บไซต์ของเรา โดยการทำ SEO จะมีข้อดีและข้อเสีย ดังนี้

ข้อดี

  • ประหยัดต้นทุน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา 
  • อยู่บน Search Engine ได้ในระยะยาว
  • สามารถทำได้กับคีย์เวิร์ดจำนวนมาก
  • ได้ลูกค้าตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

ข้อเสีย 

  • ลำดับที่แสดงอยู่บนหน้าเว็บไซต์มีความไม่แน่นอน
  • มีความเสี่ยงที่คีย์เวิร์ดจะไม่ติดอันดับ  
  • ใช้เวลาในการเก็บลำดับของ Robots / Crawler ค่อนข้างนาน 
  • ต้องมีประสบการณ์และเชี่ยวชาญพิเศษในการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงตามหลักเกณฑ์

การทำ SEM

คือการทำการตลาดผ่านการโฆษณา บน Search Engine โดยมีข้อดี-ข้อเสีย ดังนี้ 

ข้อดี

  • เริ่มต้นได้ง่าย และรวดเร็ว
  • สามารถติดอันดับต้นๆ ได้ในทันที
  • ได้ลูกค้าตรงกับกลุ่มเป้าหมาย 

ข้อเสีย 

  • มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ 
  • โอกาสที่ User ไม่คลิกมีสูงมาก 
  • ไม่การันตียอดขาย

อย่างไรก็ตามกาควรทำควบคู่กันทั้งสองอย่าง เพราะมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น ควรทำทั้ง SEO และ PPC ก็จะครอบคลุม และสมดุลกันจะทำให้เว็บไซต์ของคุณมี Traffic เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

สรุป

กล่าวโดยสรุปแล้ว SEM หรือ Search Engine Marketing คือเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำการตลาดออนไลน์ ที่ผู้ทำธุรกิจทุกคนปฏิเสธไม่ได้ เพราะในปัจจุบันการขายของในรูปแบบ E-commerce นับเป็นช่องทางที่เข้าถึงกับกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายที่สุด ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงไม่สามารถปฏิเสธการทำ SEM ไปได้เลย เพราะจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักสินค้าและบริการที่เรานำเสนอขาย และกรุยช่องทางให้กลุ่มเป้าหมายได้รู้จักและซื้อสินค้าของเรา จนนำไปสู่ความสำเร็จในธุรกิจ 

ดังนั้น หากทุกคนเข้าใจถึงการทำ SEM ทั้งในรูปแบบของการทำโฆษณา และการทำ SEO ก็จะเพิ่มโอกาสให้คนเข้ามาซื้อสินค้าและบริการของเราเพิ่มมากขึ้น และต่อยอดความสำเร็จทางธุรกิจไปอีกขั้น

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

SEM คืออะไร

SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing หรือก็คือการทำการตลาดบนเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต มีทั้งในรูปแบบ Paid Search และ Organic Search

Google Ads vs. SEM เหมือนหรือต่างกันยังไง?

Google Ads เป็นส่วนหนึ่งใน SEM แต่ในปัจจุบันคนมักเรียก SEM ว่า Google Ads ไปเลย นั่นเพราะว่า Google Ads เป็นแพลตฟอร์มที่นิยมมากที่สุดในการทำการโฆษณาในหลายๆ ประเทศนั่นเอง

SEO หรือ SEM เลือกทำแบบไหนดีนะ?

ทั้ง SEO และ SEM (PPC–Google Ads) มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน แต่เราแนะนำว่าควรทำควบคู่กันทั้งสองอย่าง เพราะมีประโยชน์กันคนละแบบ การทำทั้ง SEO และ Ads ก็จะครอบคลุมประโยชน์ในหลายๆ ด้านมากกว่า

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง