KEY TAKEAWAYS
- SEO Tools คือเครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ และปรับปรุงการจัดอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา เพื่อให้ติดอันดับที่ดีในผลการค้นหาของ Search Engines อย่าง Google
- ประเภทของ SEO Tools เช่น Keyword Tool, Ranking Tool, Website Audit, Content SEO Tool,Technical SEO Tool, Copy Audit, AMP Testing และ Outreach SEO เป็นต้น
- SEO Tools ช่วยวิเคราะห์กลยุทธ์ของคู่แข่ง ช่วยติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยคิดไอเดียในการทำคอนเทนต์ ช่วยติดตาม และวัดผลการทำ SEO อีกทั้งยังช่วยประหยัดเงิน และเวลาอีกด้วย
- ก่อนเลือก SEO Tools ควรเลือกที่มีให้ทดลองใช้ฟรี มีฟังก์ชัน และฟีเจอร์ตามที่ต้องการ มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน สามารถรองรับได้หลายภาษา และสามารถสรุปผลทำ SEO Report ได้
รู้จักกับ 17 SEO Tools ที่เอเจนซีไม่ควรพลาด! การเลือกใช้เครื่องมือ SEO ที่เหมาะสมจะช่วยให้เอเจนซีสามารถเพิ่มอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหา และดึงดูด Traffic ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งแนะนำเครื่องมือทำ SEO ที่ครอบคลุมทุกด้าน มาดูกันว่าเครื่องมือไหนบ้างที่คุณควรนำมาใช้ในการทำ SEO เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น!
ทำความรู้จักกับ SEO Tools หรือเครื่องมือ SEO คืออะไร
SEO Tools หรือเครื่องมือ SEO คือโปรแกรม และแพลตฟอร์มที่ช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ เพื่อให้ติดอันดับที่ดีในผลการค้นหาของ Search Engines อย่าง Google โดยเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยวิเคราะห์ Keywords ตรวจสอบลิงก์ วัดผลการทำ SEO และปรับปรุงคอนเทนต์เพื่อดึงดูด Traffic มากขึ้น เพื่อสร้างการมองเห็นที่ดียิ่งขึ้นในโลกออนไลน์
ประเภทของ SEO Tools เลือกให้เหมาะกับธุรกิจ
SEO Tools สามารถแบ่งได้เป็น 8 ประเภทหลักๆ ซึ่งแต่ละประเภท มีหน้าที่ และคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ประเภทของเครื่องมือ SEO ประกอบไปด้วยดังนี้
1. Keyword Tool
Keyword Tool คือเครื่องมือ SEO ที่ใช้สำหรับค้นหา และวิเคราะห์ Keywords ที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับในผลการค้นหา จุดเด่นของ Keyword Tool คือสามารถระบุ Keywords ที่มีปริมาณการค้นหาสูง และมีการแข่งขันต่ำ ทำให้สามารถสร้างคอนเทนต์ที่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ และเพิ่มโอกาสในการดึงดูด Traffic มายังเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. Ranking Tool
Ranking Tool คือเครื่องมือที่ใช้ในการติดตาม และวัดอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Search Engines เช่น Google จุดเด่นของเครื่องมือนี้ คือช่วยให้ผู้ใช้งานทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอันดับเว็บไซต์ตาม Keywords ที่ต้องการ และสามารถปรับกลยุทธ์ SEO ให้เหมาะสม ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพ และปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว
3. Website Audit
Website Audit คือเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ และตรวจสอบเว็บไซต์อย่างละเอียด เพื่อค้นหาปัญหาที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพ SEO เช่น ความเร็วในการโหลด การใช้งานบนมือถือ และข้อผิดพลาดทางเทคนิค จุดเด่นของ Website Audit คือสามารถระบุ และให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการติดอันดับในผลการค้นหา
4. Content SEO Tool
Content SEO Tool คือเครื่องมือที่ช่วยในการปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาของเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักการ SEO เช่น การใช้ Keywords การจัดโครงสร้างเนื้อหา และการเพิ่มความน่าสนใจของคอนเทนต์ จุดเด่นของเครื่องมือนี้คือช่วยให้เนื้อหาของคุณมีความน่าสนใจ และเกี่ยวข้องกับผู้ใช้มากขึ้น เพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงในผลการค้นหา และดึงดูด Traffic ได้มากขึ้น
5. Technical SEO Tool
Technical SEO Tool คือเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบ และปรับปรุงองค์ประกอบทางเทคนิคของเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลด โครงสร้าง URL การใช้ SSL และปัญหา Crawl Errors จุดเด่นของเครื่องมือนี้คือช่วยให้สามารถแก้ไขข้อบกพร่องทางเทคนิค ที่อาจขัดขวางการเข้าถึง และการจัดอันดับของเว็บไซต์ ช่วยให้ Search Engines สามารถสำรวจ และจัดอันดับเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6. Copy Audit
Copy Audit คือเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพของเนื้อหาในเว็บไซต์ เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหานั้นไม่ซ้ำซ้อน มีความน่าสนใจ และเหมาะสมกับหลักการ SEO จุดเด่นของเครื่องมือนี้คือช่วยให้สามารถปรับปรุงเนื้อหาให้มีคุณภาพสูง และมีความเกี่ยวข้องกับผู้ใช้มากขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับในผลการค้นหา และทำให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
7. AMP Testing
AMP Testing คือเครื่องมือ SEO ที่ใช้ตรวจสอบ และทดสอบการทำงานของ AMP (Accelerated Mobile Pages) บนเว็บไซต์ จุดเด่นของเครื่องมือนี้คือช่วยให้แน่ใจว่า AMP Pages ของคุณโหลดได้เร็ว และถูกต้องบนอุปกรณ์มือถือ ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้บนมือถือ และเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงในผลการค้นหา
8. Outreach SEO
Outreach SEO คือเครื่องมือที่ช่วยในการสร้าง และจัดการการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อเพิ่มลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) และปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา จุดเด่นของเครื่องมือนี้คือช่วยในการหาคู่ค้า หรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความร่วมมือ และเพิ่มลิงก์ที่มีคุณภาพ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และการมองเห็นของเว็บไซต์ในโลกออนไลน์
5 ประโยชน์ของเครื่องมือ SEO ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน!
การใช้เครื่องมือ SEO เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ โดยเหตุผลที่ควรใช้ SEO Tools ในการทำ SEO มีดังนี้
ช่วยวิเคราะห์กลยุทธ์คู่แข่ง
การวิเคราะห์กลยุทธ์คู่แข่ง ช่วยให้สามารถเข้าใจวิธีที่คู่แข่งใช้ในการดึงดูด Traffic และปรับปรุงอันดับ SEO โดยการตรวจสอบ Keywords ที่คู่แข่งใช้ Backlinks และความน่าสนใจของเนื้อหา เครื่องมือ SEO จะสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญ เพื่อช่วยให้ปรับกลยุทธ์ และเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันได้
ติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์
การติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ และการเปลี่ยนแปลงอันดับ SEO ทันที ซึ่งช่วยให้สามารถตอบสนอง และปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว เครื่องมือ SEO ที่มีฟังก์ชันนี้ช่วยให้คุณติดตามผลลัพธ์ และทำการปรับปรุงอย่างมีประสิทธิภาพ
ช่วยคิดไอเดียในการทำคอนเทนต์ SEO
การทำคอนเทนต์ SEO ควรเริ่มจากการค้นคว้า Keywords ที่เกี่ยวข้อง และใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์คู่แข่ง เพื่อหาโอกาสในการสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการเขียนคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และมีความน่าสนใจ การใช้ภาพ และวิดีโอ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม รวมถึงการปรับแต่งเนื้อหาให้สอดคล้องกับหลักการ SEO เช่น การใช้ Keywords ในหัวข้อ และ Meta Tag อย่างเหมาะสม
ช่วยประหยัดเงินและเวลา
เครื่องมือ SEO ช่วยประหยัดเงิน และเวลา โดยการให้ข้อมูลเชิงลึก และการวิเคราะห์ ที่ช่วยให้สามารถทำการตัดสินใจที่แม่นยำ และปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว การใช้เครื่องมือ SEA ช่วยลดความจำเป็นในการทำงานด้วยตัวเอง และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ทำให้สามารถจัดการ และปรับปรุง SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ช่วยติดตามและวัดผลการทำ SEO
เครื่องมือ SEO ช่วยติดตาม และวัดผลการทำ SEO โดยการให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันดับเว็บไซต์ การเข้าชม และพฤติกรรมของผู้ใช้ ซึ่งช่วยให้สามารถประเมินความสำเร็จของกลยุทธ์ SEO และทำการปรับปรุงตามข้อมูลที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง
5 ปัจจัยในการเลือก SEO Tools มาใช้งานให้ได้ผลดีที่สุด
ในการเลือกเครื่องมือ SEO ที่เหมาะสมสำหรับการปรับปรุงเว็บไซต์ ควรพิจารณาจาก 5 ปัจจัยสำคัญ เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และเลือกเครื่องมือที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ดีที่สุด
1. มีให้ทดลองใช้ฟรี
การพิจารณาเครื่องมือ SEO ควรพิจารณาว่ามีให้ทดลองใช้ฟรีหรือไม่ เพื่อทดลองใช้ฟังก์ชัน และคุณสมบัติต่างๆ ก่อนการตัดสินใจซื้อ การใช้ช่วงทดลองใช้ฟรี ช่วยให้สามารถประเมินความเหมาะสมของเครื่องมือกับความต้องการได้อย่างแท้จริง
2. มีฟังก์ชันกับฟีเจอร์ครบตามต้องการ
การเลือกเครื่องมือ SEO ควรตรวจสอบว่ามีฟังก์ชัน และฟีเจอร์ครบถ้วนตามความต้องการ เพื่อให้สามารถดำเนินการ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การวิเคราะห์ Keywords การติดตามอันดับ และการตรวจสอบเทคนิคต่างๆ เป็นต้น
3. มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
การพิจารณาเครื่องมือ SEO จากความยืดหยุ่นในการใช้งาน เช่น ความสามารถในการปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะ และการสนับสนุนหลายฟังก์ชัน เพื่อให้สามารถใช้งานได้สะดวก และเหมาะสมกับการทำ SEO
4. รองรับหลายภาษา
ควรตรวจสอบว่าเครื่องมือ SEO รองรับได้หลายภาษา เพื่อให้สามารถจัดการ และปรับปรุง SEO สำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหลายภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการทำงาน และขยายการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ต่างประเทศ
5. ทำสรุปผล SEO Report ได้
เครื่องมือทำ SEO ควรสามารถสร้างสรุปผล SEO Report ได้ ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมของประสิทธิภาพเว็บไซต์ เช่น การจัดอันดับ Keywords และปัญหาที่ต้องแก้ไข การมีรายงานที่ชัดเจน ช่วยในการติดตามความก้าวหน้า และวางแผนกลยุทธ์ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่าง SEO Tools ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ได้จริง
ขอแนะนำเครื่องมือ SEO ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ ค้นหา และติดตามข้อมูลสำคัญต่างๆ เพื่อช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยในการปรับปรุงเว็บไซต์ได้อย่างแท้จริง ดังนี้
1. Ahrefs
Ahrefs คือเครื่องมือ SEO ที่ใช้ในการวิเคราะห์ Backlinks ค้นคว้า Keywords และติดตามอันดับเว็บไซต์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจ และปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดเด่น
- วิเคราะห์ Backlinks ได้อย่างละเอียด และมีข้อมูลที่ครบถ้วน
- มีฟีเจอร์ Keyword Explorer ที่ช่วยค้นหา Keywords ที่มีศักยภาพสูง
- ติดตามอันดับเว็บไซต์ และ Keywords ในผลการค้นหาได้อย่างแม่นยำ
- มี Site Audit Tool ที่สามารถวิเคราะห์ และปรับปรุงปัญหาของเว็บไซต์ได้
- ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคู่แข่ง เพื่อช่วยในการวางกลยุทธ์ SEO
ค่าใช้จ่าย
- แพ็กเกจ Lite ราคา $99 ต่อเดือน (ประมาณ 3,500 บาท) มีฟีเจอร์สำคัญ คือ การวิเคราะห์โปรไฟล์ลิงก์ของเว็บไซต์ Keyword Research Rank Tracking การวิเคราะห์เว็บไซต์คู่แข่ง และการตรวจสอบปัญหาด้าน SEO ของเว็บไซต์
- แพ็กเกจ Standard ราคา $199 ต่อเดือน (ประมาณ 7,000 บาท) ทุกฟีเจอร์จากแพ็กเกจ Lite รวมถึงการวิเคราะห์โปรไฟล์ลิงก์ การวิจัย Keywords การติดตามอันดับ การวิเคราะห์คู่แข่ง และการตรวจสอบ SEO มีข้อมูลเชิงลึกที่มากขึ้น รายงานลิงก์เสีย การสร้าง และแชร์รายงานการวิเคราะห์ SEO ให้ทีมงาน
- แพ็กเกจ Advanced ราคา $399 ต่อเดือน (ประมาณ 14,000 บาท) มีฟีเจอร์สำคัญคือการวิเคราะห์เว็บไซต์ ค้นหาคีย์เวิร์ด ค้นหาเนื้อหายอดนิยม และแนวโน้มเนื้อหา ตรวจสอบปัญหาด้าน SEO พร้อมคำแนะนำการแก้ไข และติดตามอันดับคีย์เวิร์ดในผลการค้นหา
- แพ็กเกจ Agency ราคา $999 ต่อเดือน (ประมาณ 35,000 บาท) มีฟีเจอร์หลักคือจัดการหลายบัญชี และโปรเจกต์ในที่เดียว สร้างรายงาน SEO แบบกำหนดเอง รายงานที่สามารถใช้โลโก้ของเอเจนซี่ และเครื่องมือสำหรับทำงานร่วมกันในทีม
2. Google Analytics
Google Analytics คือหนึ่งใน SEO Tools ฟรีจาก Google ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ เพื่อให้เจ้าของเว็บไซต์เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งาน และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในการตัดสินใจ และปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ
จุดเด่น
- ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ เช่น แหล่งที่มาของการเข้าชม หน้าเว็บที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุด และระยะเวลาที่ผู้ใช้ใช้บนแต่ละหน้า
- มีเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลการแปลง (Conversion) ที่ช่วยให้คุณติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญ และวัดผลการทำตลาดออนไลน์
- สามารถสร้างรายงานแบบกำหนดเองตามความต้องการของผู้ใช้ เพื่อการวิเคราะห์ที่ตรงจุดมากขึ้น
- รองรับการรวมกับเครื่องมืออื่นๆ ของ Google เช่น Google Ads และ Google Search Console เพื่อการวิเคราะห์ที่ครอบคลุม
- ใช้งานฟรี และมีตัวเลือกสำหรับการอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน Google Analytics 360 สำหรับองค์กรที่ต้องการคุณสมบัติเพิ่มเติม
ค่าใช้จ่าย
- แพ็กเกจ Google Analytics Standard ฟรี
- แพ็กเกจ Google Analytics 360 ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ $15,000 ต่อปี หรือประมาณ $12,500 ต่อเดือน (ประมาณ 5,475,000 บาทต่อปี หรือประมาณ 456,250 บาท ต่อเดือน) สำหรับองค์กรที่ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูง และการสนับสนุนเพิ่มเติม
3. Google Keyword Planner
Google Keyword Planner หรือ SEO Tools ของ Google ที่ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหา Keywords ที่มีศักยภาพในการดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ โดยสามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้นหา และการแข่งขันของคีย์เวิร์ดต่างๆ ช่วยในการวางกลยุทธ์ SEO และการโฆษณาผ่าน Google Ads ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดเด่น
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้นหา และการแข่งขันของ Keywords ช่วยในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สามารถเปรียบเทียบความนิยมของ Keywords และการตั้งงบประมาณสำหรับโฆษณา
- แนะนำ Keyword ที่เกี่ยวข้อง และที่มีศักยภาพในการดึงดูดผู้เข้าชมมากขึ้น
ค่าใช้จ่าย
- การใช้ Google Keyword Planner ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ สำหรับการเข้าถึงฟีเจอร์พื้นฐาน แต่ต้องมีบัญชี Google Ads ที่เปิดใช้งานเพื่อใช้เครื่องมือนี้
4. Google Page Speed Insight
Google Page Speed Insight คือเครื่องมือ SEO ของ Google ที่ใช้วิเคราะห์ความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ และให้ข้อเสนอแนะแก้ไข เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ และประสบการณ์ผู้ใช้ของเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น
จุดเด่น
- ให้คะแนน และข้อเสนอแนะกับเว็บไซต์ เพื่อปรับปรุงความเร็วในการโหลด
- วิเคราะห์ประสิทธิภาพทั้งบนอุปกรณ์มือถือ และคอมพิวเตอร์
- แนะนำวิธีการ และการปรับปรุงที่เฉพาะเจาะจง เพื่อเพิ่มความเร็ว และประสิทธิภาพของเว็บไซต์
ค่าใช้จ่าย
- การใช้งาน Google Page Speed Insight ฟรีสำหรับการเข้าถึงฟีเจอร์พื้นฐาน โดยไม่ต้องมีบัญชี Google Ads หรือบริการเสริมอื่นๆ
5. Google Search Console
SEO Tools จาก Google อย่าง Google Search Console คือเครื่องมือที่ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ติดตาม และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google รวมถึงการตรวจสอบปัญหาต่างๆ และดูข้อมูลเกี่ยวกับการค้นหาที่เข้ามายังเว็บไซต์
จุดเด่น
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการแสดงผลในผลการค้นหา และคลิก
- แจ้งเตือนปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์
- ส่งแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) และตรวจสอบการจัดทำดัชนี (Indexing)
ค่าใช้จ่าย
- Google Search Console เป็นเครื่องมือทำ SEO ที่สามารถเข้าถึงฟีเจอร์ต่างๆ ได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย รวมถึงไม่ต้องมีบัญชี Google Ads หรือบริการเสริมอื่นๆ
6. Google SERP Snippet Optimizer Tool
Google SERP Snippet Optimizer Tool คือเครื่องมือ SEO ที่ช่วยให้ผู้ใช้พรีวิว และปรับแต่งข้อความที่จะปรากฏในผลการค้นหาของ Google (SERP) เพื่อเพิ่มโอกาสในการดึงดูดคลิกจากผู้ค้นหา โดยจำลองการแสดงผลของชื่อเรื่อง และคำอธิบายในหน้าแสดงผลการค้นหาของ Google
จุดเด่น
- ช่วยให้เห็นตัวอย่างเนื้อหาว่าจะปรากฏอย่างไรในหน้าผลการค้นหาของ Google
- สามารถทดลองปรับแต่งหัวข้อ และคำอธิบาย เพื่อให้ดึงดูด และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ช่วยในการเพิ่ม CTR (Click-Through Rate) โดยการทำให้ข้อความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ค่าใช้จ่าย
- เครื่องมือนี้สามารถใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าถึง หรือใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ
7. Google Trend
Google Trend คือเครื่องมือ SEO ที่ใช้วิเคราะห์แนวโน้มการค้นหาของผู้ใช้ โดยแสดงข้อมูลเชิงสถิติของ Keywords ต่างๆ ในช่วงเวลาที่กำหนด ช่วยให้เข้าใจถึงความนิยม และการเปลี่ยนแปลงความสนใจของผู้ค้นหาในหัวข้อต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดเด่น
- ช่วยให้ผู้ใช้ดูแนวโน้ม และความนิยมของ Keywords ต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ
- สามารถเปรียบเทียบความนิยมของ Keywords หลายคำในภูมิภาค หรือช่วงเวลาที่แตกต่างกันได้
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความสนใจของผู้ค้นหาในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก
- ช่วยให้เข้าใจถึงความสนใจของผู้คนในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น หรือเทรนด์ปัจจุบัน
ค่าใช้จ่าย
- Google Trend สามารถใช้งานฟีเจอร์พื้นฐานต่างๆ ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
8. KWFinder
KWFinder คือเครื่องมือสำหรับค้นหา Keywords ที่มีประสิทธิภาพในการทำ SEO โดยช่วยวิเคราะห์ Keywords ที่มีการแข่งขันต่ำ แต่มีศักยภาพสูงในการดึงดูดการเข้าชม ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือก Keywords ที่เหมาะสมสำหรับการทำการตลาดออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดเด่น
- ช่วยให้ค้นหา Keywords ที่มีความสามารถในการแข่งขันต่ำ แต่มีศักยภาพสูงในการดึงดูดการเข้าชม
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้นหา ความยากในการทำ SEO และต้นทุนต่อคลิก (CPC)
- ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น และผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO
- แนะนำคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อช่วยขยายขอบเขตการค้นหา และการทำ SEO
ค่าใช้จ่าย
- แพ็กเกจ KWFinder แบบฟรี จำกัดการค้นหา
- แพ็กเกจ Basic ราคา $49 ต่อเดือน (ประมาณ 1,715 บาท) มีฟีเจอร์คือ Keyword Research, Keyword Suggestions และ SERP Analysis
- แพ็กเกจ Premium ราคา $69 ต่อเดือน (ประมาณ 2,415 บาท) ฟีเจอร์ที่สามารถใช้ได้คือ Advanced Keyword Research, Keyword Tracking, SERP Analysis, Backlink Analysis และ SEO Metrics
- แพ็กเกจ Agency ราคา $129 ต่อเดือน (ประมาณ 4,515 บาท) ฟีเจอร์หลักคือ Multiple User Accounts, Advanced Reporting, White-Label Reports และ Extended Keyword Dat
9. Looker Studio
Looker Studio (ชื่อเดิม Google Data Studio) เป็นหนึ่งในเครื่องมือ SEO Tools ที่ช่วยสร้างรายงาน และแดชบอร์ดที่ปรับแต่งได้ง่าย โดยสามารถรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น Google Analytics, Google Ads, และฐานข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมของข้อมูล และวิเคราะห์ผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดเด่น
- สามารถออกแบบ และปรับแต่งรายงานตามความต้องการได้อย่างอิสระ
- รองรับการเชื่อมต่อกับหลายแหล่งข้อมูล เช่น Google Analytics, Google Ads, และแหล่งข้อมูลอื่นๆ
- ง่ายต่อการแชร์รายงาน และทำงานร่วมกับทีม
- มีเครื่องมือในการสร้างกราฟ และแดชบอร์ด ที่ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นเรื่องง่าย
ค่าใช้จ่าย
- เครื่องมือ SEO ที่ให้บริการฟรีจาก Google ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้าง และแชร์รายงานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
10. MOZ
MOZ เป็นเครื่องมือทำ SEO ที่ช่วยวิเคราะห์ และปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการค้นหา และการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา
Moz Local
Moz Local เป็นเครื่องมือ SEO ที่ช่วยจัดการข้อมูลธุรกิจท้องถิ่นบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ โดยมุ่งเน้นในการปรับปรุงความถูกต้อง และความสม่ำเสมอของข้อมูลธุรกิจ เช่น ชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ (NAP) เพื่อเพิ่มโอกาสในการแสดงผลในผลการค้นหา และแผนที่ท้องถิ่น โดยมีจุดเด่น ดังนี้
- ช่วยให้การจัดการ และอัปเดตข้อมูลธุรกิจท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ตรวจสอบ และปรับปรุงความสม่ำเสมอของข้อมูลธุรกิจบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ
- ติดตามตำแหน่งของธุรกิจในผลการค้นหา และแผนที่ท้องถิ่น
- ให้รายงานที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะ และประสิทธิภาพของข้อมูลธุรกิจ
ค่าใช้จ่ายของ Moz Local มีดังนี้
- แพ็กเกจ Basic ราคาเริ่มต้นที่ $129 ต่อปี (ประมาณ 4,515 บาท) มีฟีเจอร์หลักๆ คือการจัดการข้อมูลธุรกิจ การตรวจสอบข้อมูล การติดตามการจัดอันดับ และการรายงานผล
- แพ็กเกจ Pro ราคาเริ่มต้นที่ $249 ต่อปี (ประมาณ 8,715 บาท) ฟีเจอร์สำคัญที่เพิ่มมาจากแพ็กเกจ Basic คือการจัดการข้อมูลธุรกิจแบบอัตโนมัติ การวิเคราะห์ และรายงานผลเชิงลึก รวมถึงการสนับสนุนที่ดีกว่า และการจัดการที่มีความละเอียด
- บริการเสริม และการเพิ่มฟีเจอร์อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
Moz Pro
Moz Pro คือเครื่องมือ SEO ที่ให้บริการชุดฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การตรวจสอบ Keywords การวิเคราะห์ Backlinks การติดตามอันดับ (Rank Tracking) และการตรวจสอบ SEO บนหน้าเว็บไซต์
- ช่วยค้นหา Keywords ที่มีประสิทธิภาพ และการวิเคราะห์ Keywords ของคู่แข่ง
- ตรวจสอบ และวิเคราะห์ Backlinks เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO
- ติดตามการจัดอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google
- วิเคราะห์ และปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO ของหน้าเว็บไซต์
- ให้รายงาน และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินการ SEO และประสิทธิภาพของเว็บไซต์
ค่าใช้จ่ายของ Moz Pro มีดังนี้
- แพ็กเกจ Starter ราคา $49 ต่อเดือน (ประมาณ 1,715 บาท) ได้เครื่องมือคือ Keywords Research, Competitive Research, MozBar Premium การติดตามเว็บไซต์ และการสนับสนุนออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง
- แพ็กเกจ Standard ราคา $99 ต่อเดือน (ประมาณ 3,465 บาท) ได้เครื่องมือคือ Keywords Research, Competitive Research, Backlink Analysis, MozBar Premium รายงานตามกำหนดที่ไม่มีขีดจำกัด การติดตามเว็บไซต์ และการสนับสนุนออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง
- แพ็กเกจ Medium ราคา $179 ต่อเดือน (ประมาณ 6,265 บาท) ได้เครื่องมือทั้งหมดจากแพ็กเกจ Standard รวมถึงโควต้าเพิ่มเติมสำหรับ SEO Tools, Branded Reports และ Report Templates
- แพ็กเกจ Large ราคา $299 ต่อเดือน (ประมาณ 10,465 บาท) ได้ฟีเจอร์ทั้งหมดจากแพ็กเกจ Medium และโควต้าเพิ่มเติมสำหรับ SEO Tools
11. SEMRUSH
SEMRUSH คือเครื่องมือ SEO ที่ช่วยในการวิเคราะห์ Keywords การตรวจสอบการแข่งขัน การวิเคราะห์ Backlink และการติดตามอันดับของเว็บไซต์ เพื่อปรับปรุงการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา และเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์
จุดเด่น
- ช่วยค้นหา และวิเคราะห์ Keywords ที่มีประสิทธิภาพ
- วิเคราะห์กลยุทธ์ SEO ของคู่แข่ง
- ตรวจสอบ Backlink ของเว็บไซต์เพื่อปรับปรุง SEO
- ติดตามตำแหน่งของเว็บไซต์ในผลการค้นหา
- ให้ข้อมูลเชิงลึกในการสร้าง และปรับปรุงเนื้อหาเพื่อเพิ่มการมองเห็น
ค่าใช้จ่าย
- แพ็กเกจ Pro $119.95 ต่อเดือน (ประมาณ 4,600 บาท)
- แพ็กเกจ Guru $229.95 ต่อเดือน (ประมาณ 8,800 บาท)
- แพ็กเกจ Business $449.95 ต่อเดือน (ประมาณ 16,000 บาท)
12. SERPSTAT
SERPSTAT คือเครื่องมือ SEO ที่ช่วยในการวิเคราะห์ Keywords การตรวจสอบคู่แข่ง การวิเคราะห์ Backlink การติดตามอันดับ และการสร้างรายงาน เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา
จุดเด่น
- ช่วยค้นหา และวิเคราะห์ Keywords เพื่อปรับปรุง SEO
- วิเคราะห์กลยุทธ์ SEO ของคู่แข่ง
- ตรวจสอบ Backlink และโอกาสในการสร้างลิงก์
- ติดตามการจัดอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา
- ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเนื้อหาและ Keywords ที่เกี่ยวข้อง
- ตรวจสอบสถานะ และประสิทธิภาพของเว็บไซต์
ค่าใช้จ่าย
- แพ็กเกจ Individual ราคา $59 ต่อเดือน (ประมาณ 2,065 บาท) เหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องมือ SEO ที่ครบถ้วน เช่น การวิเคราะห์ Keywords การตรวจสอบคู่แข่ง การวิเคราะห์ Backlink การติดตามอันดับ การวิเคราะห์เว็บไซต์ และการสร้างรายงาน
- แพ็กเกจ Team ราคา $119 ต่อเดือน (ประมาณ 4,165 บาท) มีฟีเจอร์เพิ่มจากแพ็กเกจ Individual คือ มีฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานร่วมกันในทีม และการจัดการ SEO สำหรับหลายโปรเจกต์ และการเข้าถึงข้อมูลร่วมกัน
- แพ็กเกจ Agency ราคา $479 ต่อเดือน (ประมาณ 16,765 บาท) มีฟีเจอร์ที่ออกแบบมาจัดการ SEO และการตลาดออนไลน์ ใกล้เคียงกับแพ็กเกจ Team สำหรับลูกค้าหลายเจ้า หลายโปรเจกต์ แต่มีเพิ่มเติมคือการสนับสนุนทางโทรศัพท์ ทีมพัฒนา และการให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมข้อมูล
13. Screaming Frog
Screaming Frog คือเครื่องมือที่สามารถสแกนเว็บไซต์ได้ทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ รวบรวมข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับเว็บไซต์เพื่อให้การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ
จุดเด่น
- สามารถสแกนเว็บไซต์ได้ทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่
- วิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์ และแสดงผลลัพธ์ในเวลาจริง
- เก็บข้อมูลเกี่ยวกับลิงก์ Meta Tag, Page Title และการเชื่อมโยงภายใน
- ช่วยในการตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับ SEO
- มีเครื่องมือสำหรับกรอง และค้นหาข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง
ค่าใช้จ่าย
- แพ็กเกจฟรี ใช้ได้สำหรับการสแกนเว็บไซต์ได้สูงสุด 500 หน้า
- แพ็กเกจเต็ม £199 ต่อปี (ประมาณ 8,800 บาท) มีฟีเจอร์สแกนเว็บไซต์ การวิเคราะห์ลิงก์ภายใน ภายนอก ตรวจสอบ SEO การสร้างแผนผังเว็บไซต์ การวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ใน Schema Markup การรายงาน การส่งออกข้อมูล การตรวจสอบความถูกต้องหน้า AMP และการตรวจสอบความเร็วเว็บไซต์
14. SEOquake
SEOquake คือเครื่องมือส่วนขยายเบราว์เซอร์ ที่ช่วยในการวิเคราะห์ SEO โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Backlink, Meta Tag และอันดับเว็บไซต์ หรือข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SEO เพื่อปรับปรุงการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา
จุดเด่น
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ Backlink, Meta Tag และอันดับเว็บไซต์
- แสดงข้อมูลเกี่ยวกับความพร้อมของเว็บไซต์ในการทำ SEO
- เปรียบเทียบข้อมูล SEO ของหลายเว็บไซต์ได้ง่าย
- สร้างรายงาน SEO ที่สามารถปรับแต่งตามความต้องการ
- ใช้ได้กับเบราว์เซอร์หลัก เช่น Chrome Firefox และ Opera
ค่าใช้จ่าย
- SEOquake เป็นเครื่องมือที่สามารถดาวน์โหลด และใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
15. Ubersuggest
Ubersuggest คือเครื่องมือ SEO ที่ช่วยในการค้นหา Keywords วิเคราะห์คู่แข่ง และติดตามอันดับเว็บไซต์ เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ SEO
จุดเด่น
- แสดงแนวโน้ม และความนิยมของ Keywords
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์ SEO ของคู่แข่ง
- ติดตามตำแหน่งของเว็บไซต์ในผลการค้นหา
- ช่วยในการค้นหาไอเดียเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพ
- ตรวจสอบ Backlink เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ SEO
ค่าใช้จ่าย
- แพ็กเกจ Individual ราคา $12 ต่อเดือน (ประมาณ 420 บาท) สามารถค้นหาคีย์เวิร์ด ตรวจสอบข้อมูล SEO ของคู่แข่ง ติดตามอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา วิเคราะห์ Backlink วิเคราะห์เนื้อหา และตรวจสอบปัญหา SEO พร้อมให้ข้อเสนอแนะ
- แพ็กเกจ Business ราคา $20 ต่อเดือน (ประมาณ 700 บาท) สามารถใช้เครื่องมือทั้งหมดของแพ็กเกจ Individual ได้ แต่เพิ่มเติมในส่วนของรายงาน SEO ที่สามารถปรับแต่งได้ ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในอันดับการค้นหา และข้อมูลอื่นๆ
- แพ็กเกจ Enterprise ราคา $40 ต่อเดือน (ประมาณ 1,400 บาท) สามารถใช้เครื่องมือทั้งหมดของแพ็กเกจ Business ได้ แต่เพิ่มเติมในส่วนของการสนับสนุนลูกค้าแบบเฉพาะ และการเข้าถึงฟีเจอร์พิเศษ
16. Whatsmyserp
Whatsmyserp คือเครื่องมือ SEO ที่ช่วยติดตามอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google โดยแสดงผลลัพธ์ และตำแหน่งของ Keywords ที่เลือก
จุดเด่น
- ติดตามตำแหน่งของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google
- สร้างรายงานการติดตามอันดับที่สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ
- รองรับการติดตามหลายคำค้นพร้อมกัน
- แสดงข้อมูลอันดับล่าสุด และผลการค้นหาแบบเรียลไทม์
ค่าใช้จ่าย
- แพ็กเกจ Foundations ราคา $19.99 ต่อเดือน (ประมาณ 699.65 บาท) ใช้ฟีเจอร์ติดตามอันดับเว็บไซต์ แสดงข้อมูลอันดับของเว็บไซต์ที่อัปเดตทุกวัน ติดตาม Keywords จำนวนมาก ดูข้อมูลประวัติการจัดอันดับเว็บไซต์ย้อนหลัง และปรับแต่งรายงานตามความต้องการของผู้ใช้
- แพ็กเกจ Premium ราคา $29.99 ต่อเดือน (ประมาณ 699.65 บาท) ใช้ฟีเจอร์ติดตามอันดับ Keywords จำนวนมาก อัปเดตข้อมูลรายชั่วโมง การเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก รายงานที่กำหนดเองขั้นสูง รองรับหลายบัญชีผู้ใช้ และการสนับสนุนลูกค้าระดับพรีเมียม
- แพ็กเกจ Pro ราคา $59.99 ต่อเดือน (ประมาณ 1,049.65 บาท) ใช้ฟีเจอร์ติดตามอันดับ Keywords แบบไม่จำกัด อัปเดตข้อมูลเรียลไทม์ วิเคราะห์เชิงลึกขั้นสูง รายงานที่กำหนดเองแบบอัตโนมัติ สนับสนุนลูกค้าระดับมืออาชีพ เข้าถึง API สำหรับการรวมระบบ และการวิเคราะห์ข้อมูลที่กำหนดเอง
17. Yoast SEO
Yoast SEO เป็นปลั๊กอินสำหรับ WordPress ที่ช่วยปรับปรุงการทำ SEO ของเว็บไซต์ โดยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา การจัดการ Keywords และการตั้งค่าเทคนิค SEO เพื่อให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาของ Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ
จุดเด่น
- ช่วยวิเคราะห์เนื้อหาในหน้า เพื่อตรวจสอบว่ามีการใช้ Keywords อย่างถูกต้อง และเพียงพอ รวมถึงแนะนำการปรับปรุงต่างๆ ที่จำเป็น
- วิเคราะห์ความอ่านง่ายของเนื้อหา เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหาสามารถเข้าถึง และเข้าใจได้ง่าย
- มีฟีเจอร์ในการแนะนำ Keywords ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถครอบคลุมการค้นหาที่หลากหลายมากขึ้น
- ช่วยในการปรับแต่ง Title และ Meta Description ให้เหมาะสมกับการทำ SEO และการดึงดูดความสนใจของผู้ค้นหา
- ช่วยปรับแต่งการแสดงผลของเนื้อหาเมื่อถูกแชร์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ
ค่าใช้จ่าย
- แพ็กเกจฟรี มีคุณสมบัติพื้นฐานสำหรับการทำ SEO เช่น การวิเคราะห์ SEO ในหน้า และการวิเคราะห์การอ่าน
- แพ็กเกจ Premium ราคา $99 ต่อปี (ประมาณ 3,600 บาท) รวมคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น คำแนะนำ Keywords เพิ่มเติม การแนะนำ Internal Linking การตรวจสอบความผิดพลาด และการเข้าถึงคอร์สออนไลน์
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
ตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO Tools ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจการเลือก และใช้งานเครื่องมือ SEO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ และการจัดอันดับในผลการค้นหา
SEO Tools แบบไหนดีสุด?
ไม่มี SEO Tools ตัวไหนที่ดีที่สุด เพราะแต่ละเครื่องมือมีจุดเด่น และการใช้งานที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความต้องการ และเป้าหมายของธุรกิจนั้น ๆ
SEO Tools แบบไหนใช้ตรวจสอบความยาว Title?
SEO Tools ที่ใช้ตรวจสอบความยาว Title ได้แก่
- Google SERP Snippet Optimizer Tool,
- Yoast SEO
- Screaming Frog
สามารถตรวจสอบได้ แต่ของ Screaming Frog จะใช้ในเชิง SEO Audit มากกว่า โดยทุกเครื่องมือที่กล่าวมาสามารถแสดงผลความยาว Title ของแต่ละหน้า เพื่อการปรับปรุงตามเกณฑ์ SEO ได้
เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ด มีอะไรบ้าง?
เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดที่สำคัญ ได้แก่ Google Keyword Planner, Ahrefs, SEMrush และ Moz Keyword Explorer