สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มทำเว็บไซต์ หรืออยากเริ่มต้นทำเว็บไซต์เป็นของตัวเอง นอกเหนือจากการทำเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ธุรกิจ สวยงาม เหมาะกับการใช้งาน ถูกใจผู้เข้าชมเว็บไซต์ หรือที่เรามักได้ยินบ่อยๆ ว่า UX/UI แล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ Website Traffic ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความสำเร็จของเว็บไซต์นั่นเอง
บทความนี้เหมาะสำหรับ Beginner ที่อยากรู้อยากลองเริ่มต้นเว็บไซต์ไปจนถึง Intermediate เราจะพาคุณไปดูกันว่า Website Traffic คืออะไร สำคัญอย่างไรกับเว็บไซต์ ตลอดจนลงลึกถึงเทคนิคการเพิ่มยอด Traffic และวิธีป้องกัน-แก้ไข เมื่อ Traffic ตกมาฝาก
Website Traffic คืออะไร?
Website Traffic คือ ปริมาณหรือจำนวนคนที่เข้ามายังเว็บไซต์ของเราผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งการที่เว็บไซต์ของเรามี Traffic มากเท่าไหร่ หมายความว่าเว็บไซต์ของเรามีจำนวนผู้เข้าชมมากขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้เว็บไซต์ของเรามีอันดับที่ดีขึ้น อีกทั้งยังทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก และขยายโอกาสไปถึงการขายสินค้าและบริการภายในเว็บไซต์ ซึ่งนั่นหมายถึงจำนวนเม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้ามา และทำให้แบรนด์สินค้าของเราเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
โดยเราสามารถวัดปริมาณ Website Traffic ออกมาได้เป็นตัวเลข ทั้งจำนวนคนเยี่ยมชมเว็บไซต์ (Users) จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ (Sessions หรือ Visits) จำนวนครั้งที่เปิดหน้าเว็บไซต์ (Pageviews) รวมถึงยังมีสถิติที่บ่งบอกถึงคุณภาพของการเยี่ยมชมเว็บไซต์ในแต่ละครั้ง อย่างระยะเวลาโดยเฉลี่ยของการเยี่ยมชมเว็บไซต์ในแต่ละครั้ง (Average Session Duration หรือ Average Visit Duration) และอัตราที่มีคนเข้ามาในเว็บไซต์เพียงหน้าเดียวแล้วออกไป (Bounce Rate) ซึ่งข้อมูล Traffic เหล่านี้เราสามารถติดตั้งได้ โดยใช้โค้ดของ Google Analytics เครื่องมือฟรีจาก Google ที่ได้รับความนิยมสูงสุด และไม่มีค่าใช้จ่าย
ความสำคัญของ Website Traffic
Website Traffic มีความสำคัญ คือ เป็นสิ่งที่ช่วยการันตีการเป็นที่รับรู้ของแบรนด์ สร้างโอกาสในการขาย หรือ Conversion เพิ่มความน่าเชื่อถือในส่วนของเนื้อหาภายในเว็บไซต์ ซึ่งสัมพันธ์กันกับการติดอันดับต้นๆ บน Search Result Page คือ ยิ่งเว็บไซต์ของคุณติดอันดับแรกๆ ได้มากเท่าไหร่ จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ หรือ Traffic ก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ในทางกลับกัน หากเว็บไซต์ของคุณมี Traffic มาก ตัว Search Engine เองก็จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือ เหมาะที่จะนำมาจัดอันดับให้ดียิ่งขึ้นบน Search Result Page นั่นเอง
“ดังนั้น การมี Website Traffic จำนวนมากจึงแสดงว่า เว็บไซต์ของคุณกำลังไปได้สวย !”
ประเภทแหล่งที่มาของ Traffic
ก่อนที่จะตามหาเทคนิคการดันยอด Traffic หลายคนคงไม่รู้ว่า จำนวนของ Traffic สามารถมาจากหลายช่องทาง ทั้งการซื้อ เสิร์ช และโซเชียลมีเดีย เป็นต้น ซึ่งแต่ละแหล่งก็มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป มาดูกันว่า ช่องทางไหนใช่ที่สุดสำหรับเว็บไซต์ของคุณ
1. Organic Search หรือ Organic Traffic
Organic Search หรือ Organic Traffic คือ ปริมาณผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ผ่านการเสิร์ช “คีย์เวิร์ด” บนหน้า Search Engine ทั้ง Google, Baidoo, Yandex เป็นต้น เราสามารถเพิ่มยอด Organic Traffic โดยการทำ SEO เพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาที่มีคุณภาพตอบรับกับการเสิร์ชของผู้ใช้งานบน Search Engine ซึ่งการคาดหวังที่จะเพิ่มปริมาณผู้ใช้ในช่องทางของ Organic Traffic นี้มีขั้นตอนมากมาย และการติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine จะค่อนข้างช้า แต่เป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้มีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราอย่างสม่ำเสมอ
2. Paid Search หรือ Paid Traffic
Paid Search หรือ Paid Traffic คือ ปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านการทำโฆษณาบน Google Ads (Google AdWords) โดยเราจำเป็นต้องประมูล Keywords เพื่อให้เว็บไซต์ของเราอยู่บนหน้าแรกของ Search Engine อย่าง Google หรือเราเรียกว่า Pay Per Click (PPC) โดยเราต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาจากจำนวนคลิก ซึ่งค่าเฉลี่ยของคลิกนั้นขึ้นอยู่กับการประมูลคีย์เวิร์ด ซึ่งกลุ่มคำต่างกัน ธุรกิจต่างกัน การแข่งขันต่างกัน ราคาก็ต่างกันไปด้วย สำหรับข้อดีของ Paid Search คือ สามารถสร้างจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือ Traffic ได้ค่อนข้างรวดเร็ว และตรง Target แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่เราต้องเสียไป
3. Social Media
Social Media Traffic คือ ปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ได้แก่ Facebook, Instagram, Twitter เป็นต้น โดยจำนวน Traffic มาจากการสร้างคอนเทนต์หรือเนื้อหาแล้วนำไปแชร์ลงบนโซเชียลมีเดีย หากคอนเทนต์ที่เรานำเสนอมีความน่าสนใจ รวมถึงมีจำนวนผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก ก็จะสร้างโอกาสให้คนเข้ามายังเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น ซึ่งแต่ละ Platform ก็มีวิธีการทำคอนเทนต์ที่แตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งานของ Users โดยเราจำเป็นต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อทำคอนเทนต์ที่มีความน่าสนใจ และทันกระแส ตอบโจทย์การค้นหาหรือการใช้งานของ Users เพื่อกระตุ้นให้คนคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของเรา
4. Referral
Referral Traffic คือ การได้รับปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์จากการที่เว็บไซต์อื่นๆ อ้างถึงเว็บไซต์ของเรา รวมถึงการลงโฆษณาโดยแปะลิงก์เว็บไซต์ของเราเอาไว้ และการคลิกลิงก์จาก Email และ Search Engine อื่นๆ ที่ไม่ใช่ Google ก็นับเป็น Referral ด้วยเช่นกัน รวมถึงเราสามารถนำเสนอเนื้อหาและใส่ลิงก์เว็บไซต์ของเราประกอบเนื้อหาก็ทำได้เช่นกัน ซึ่งนอกจากช่วยเพิ่มยอด Traffic ยังเป็นการทำ Backlinks ที่มีคุณภาพ ซึ่งส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO บน Search Engine อีกด้วย
5. Direct
Direct Traffic คือ ปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่เกิดจากการเสิร์ช URL เว็บไซต์เข้ามาโดยตรง รวมถึงการคลิกลิงก์ผ่าน Bookmarks, ไฟล์เอกสาร ฯลฯ โดยวิธีการ Direct ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากที่เว็บไซต์ของเรามีชื่อเสียงแล้ว ตลอดจนเป็นที่คุ้นเคยสำหรับผู้ใช้งาน จึงทำให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์นึกถึงเว็บไซต์ของเราได้ในทันที อาทิ การหารีวิวเครื่องสำอางนึกถึง Jeban ก็เสิร์ชเข้าไปยัง https://www.jeban.com/ นึกถึงข่าวสารเสิร์ช https://www.thairath.co.th/ เป็นต้น
อยากให้ Traffic เพิ่ม ต้องทำอะไรบ้าง ?
จะเพิ่ม Traffic ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะมีหลากหลายปัจจัยที่คอยควบคุมเราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นจากทาง Algorithm Update ของทาง Google ที่มาบ่อยจนเกือบจะตามไม่ทัน หรือจะเป็นการขยับขยายตีตื้นจากทางฝั่งของคู่แข่ง แต่ทาง Minimice เรามีเคล็ดลับเพิ่ม Traffic แบบยั่งยืนมาฝาก ถ้าอยากรู้แล้วก็ตามมาดูกันเลย!
1. การจับคู่คีย์เวิร์ดที่ใช่กับ Landing Page ที่เหมาะสม
โดย Landing Page บางทีก็เรียกว่า Sale Page จะเป็นหน้าเว็บไซต์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง อาทิ ต้องการแนะนำให้เป็นที่รู้จัก มีโปรโมชัน ต้องการเพิ่มฐานลูกค้า ต้องการให้ข้อมูลหรือความรู้ต่างๆ ที่ตอบ Pain Point ของ User รวมถึงต้องการให้เกิดการขายหรือมี Conversion เกิดขึ้น ซึ่งการจับคู่ Keyword ที่เราต้องการต้องเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ รวมถึงหน้า Landing Page นั้นๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อให้คีย์เวิร์ดดังกล่าว ส่งเสริมให้โอกาสที่จะมีผู้ใช้งานมายังหน้าเว็บไซต์ของเรามากยิ่งขึ้น และได้ประโยชน์จากสิ่งที่ตามหาด้วยนั่นเอง
2. ปรับแต่งคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์
คือ การทำให้เว็บไซต์ของเราเหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้งาน และง่ายต่อการเข้าใช้งานเว็บไซต์ (User Friendly) รวมถึงตัว Search Algorithm ด้วยเช่นกัน เนื่องจาก On-page ที่ดี จะส่งผลดีต่อการทำ SEO โดยการปรับปรุงทุกอย่างที่ปรากฎอยู่บนเว็บไซต์ ตั้งแต่โครงสร้างเว็บไซต์ หน้าตา การใช้งาน เนื้อหา เป็นต้น เพื่อให้ง่าย สะดวก และเกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน เมื่อเว็บไซต์เรามีคุณภาพ ก็จะดึงดูดให้เกิด Traffic เพิ่มมากขึ้น
3. อัปเดตคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ
วิธีง่ายๆ ในการดันให้ Traffic เพิ่มคือ ต้องอัปเดตคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ ด้านนึงคือการนำเสนอหน้าคอนเทนต์ที่มีความสดใหม่ มีประโยชน์รวมถึงทันต่อเหตุการณ์ในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะส่งผลดีต่อคะแนนอันดับของเว็บไซต์ของเราแล้ว ยังดีต่อผู้ใช้งานที่เข้ามาเจอเราด้วย เนื่องจากเนื้อหาที่เรานำเสนอสามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ได้จริง นอกจากนี้ยังมีแนวการทำคอนเทนต์แบบ Evergreen Content ซึ่งเป็นเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่ไม่มีวันหมดอายุ ไม่ตกยุค ไม่ล้าสมัย คอนเทนต์ประเภทนี้เป็นคอนเทนต์ที่มีคนเข้ามาอ่านอยู่เสมอ และสามารถดัน Organic Traffic ให้หลั่งไหลเข้ามาตลอดเวลา
4. ใช้โซเชียลมีเดียเป็นตัวช่วย
อีกหนึ่ง Organic Traffic สำหรับการดันยอด Website Traffic คือ โซเชียลมีเดีย โดยการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้มากมายภายในนั้น หรือที่เราเรียกว่า Engagement โดยเราสามารถทำได้ทั้งการแชร์ลิงก์เว็บไซต์ของเราไปยัง โซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ หรือการสื่อสารกับผู้ใช้ในโลกโซเชียลโดยตรง ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้เว็บไซต์ของเราได้ Organic Traffic รวมถึงสามารถสร้าง Brand Awareness ให้กับสินค้าและบริการภายในเว็บไซต์
5. สร้างลิงก์จากข้างนอก
การทำ External Link เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ทำให้เราได้ Traffic มากขึ้น โดยเราสามารถเรียกอีกอย่างได้ว่า Link Building หรือการทำ Backlink ซึ่งก็คือ การที่มีลิงก์อ้างอิงจากเว็บอื่น เข้ามายังเว็บไซต์ของเรา โดยเราต้องมีกลยุทธ์ ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้ Backlink มีคุณภาพถึงจะสามารถเพิ่มอันดับที่ดีบนหน้า Search Engine และทำให้คนเสิร์ชเจอเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น
การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ ต้องมาจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ และ Authority สูง จะช่วยให้ Domain Authority ของเราสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ลิงก์นั้นๆ ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา และมีคนใช้งานจริงๆ จะทำให้ Search Engine มองว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพ และทำให้อันดับบนหน้า Search Engine ดีขึ้น
หากเราสามารถปรับปรุงทุกข้อที่กล่าวมาให้ดีแล้ว จะช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้แก่ผู้ใช้ และยังดีต่อการจัดอันดับบน search engine ส่งผลให้มีผู้ใช้งานที่มองเห็นคอนเทนต์หรือเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น โอกาสที่จะได้รับ Traffic จึงมากขึ้นตามไปด้วย
ปัจจัยในการวัดผล Traffic มีอะไรบ้าง?
แน่นอนว่าการเพิ่มจำนวนหรือดันยอด Website Traffic คือเราต้องมีเครื่องมือที่ดีในการวัดผล Traffic ได้ ผ่าน Tool ที่มีชื่อว่า Google Analytics โดยสามารถวัดผล Traffic ได้หลากหลายมาก ดังนี้
วัดผลเชิงปริมาณ
การวัดผลเชิงปริมาณคือส่วนที่จำเป็นเป็นอย่างมากในการวัดผล Traffic และนำมาวิเคราะห์ในภายหลัง โดยมีข้อมูลที่เราใช้ในการวัดผล ดังนี้
- Users หรือ ผู้ใช้
คือ จำนวนคนที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเข้ามายังเว็บไซต์ของเรากี่ครั้ง Google Analytics จะนับเป็น 1 User แต่ถ้า Users เปลี่ยน Browser หรือ Device ก็จะนับเป็น New User
- Sessions
คือ จำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ หรือสิ่งที่ Users ได้กระทำบางสิ่งบางอย่างบนหน้าเว็บไซต์ในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น โดยจะถูกนับ Session ก็ต่อเมื่อ User คนนั้นไม่ทำอะไรบนเว็บไซต์เป็นเวลา 30 นาที รวมถึงเลยเที่ยงคืนของวันดังกล่าวไปแล้ว ทาง Google Analytics ก็จะตัด Session ตอนนั้นด้วย
- Pageviews
คือ จำนวนครั้งที่เปิดหน้าเว็บไซต์ โดยจะถูกนับทุกครั้งที่มี User เข้ามาใช้งาน เพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์ได้ว่ามีคนเข้ามาใช้งานในหน้าเว็บไซต์ของเรามาก-น้อยแค่ไหน และหน้าเว็บไซต์ใดมีคนเข้ามาใช้งานเยอะที่สุด
วัดผลเชิงคุณภาพ
เป็นอีกการวัดผลที่ได้รับความนิยม เพื่อใช้ในการวัดผลผู้เยี่ยมชมในเว็บไซต์ในเชิงคุณภาพ โดยมีเกณฑ์ในการวัด ดังนี้
- Avg. Session Duration(Average Session Duration)
หรือ ระยะเวลาเฉลี่ยของแต่ละ Session โดยคิดจาก Session Duration / Sessions คือช่วงระยะเวลาของ Session หารด้วยจำนวน Session ทั้งหมดเพื่อคิดเป็นค่าเฉลี่ยออกมา
- Bounce Rate
หรืออัตราการตีกลับ คือ อัตราของ User ที่เข้ามายังเว็บไซต์ของเราในหน้าใดหน้าหนึ่งเพียงแค่หน้าเดียวแล้วออก โดย Bounce Rate ที่ดี ต้องมีเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำ เพราะหมายความว่ามี Users คลิกไปยังหน้าอื่นบนเว็บไซต์ของเราต่อ
- CTR (Click Through Rate)
หรือ อัตราการคลิกผ่าน คืออัตราส่วนการคลิกต่อการมองเห็น เป็นตัวชี้วัดว่าโฆษณาและคีย์เวิร์ดที่เราทำนั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน โดย CTR ยิ่งสูงหมายความว่าคอนเทนต์หรือโฆษณาของเรามีความน่าสนใจ
- Conversion
หรือ จำนวนครั้งที่เป้าหมาย (Goals) ได้ถูกกระทำสำเร็จในเว็บไซต์ตามวัตถุประสงค์การทำเว็บไซต์ รวมถึงเป็นยอดขายที่เกิดขึ้นจริงในธุรกิจ อาจใช้สามารถวัดผลการสร้าง Brand Awareness โดยนับรวมทั้งการคลิกเข้ามาดู การกดถูกใจ การสมัครสมาชิก หรือการสั่งซื้อ เป็นตัน โดย Conversion ยิ่งมาก หมายถึงเปอร์เซ็นของความสำเร็จในการทำเว็บไซต์นั้นมากขึ้นตามไปด้วย
- Conversion Rate
คือ สัดส่วนของผู้ที่ทำการตอบสนองต่อโฆษณา หรือยอดผู้ซื้อจริง โดยคิดจาก (ยอดรวมของ Conversion / จำนวนการเข้าชมหรือเข้าร่วมในส่วนนั้นๆ) x 100 = Conversion Rate โดยอัตราของ Conversion Rate สูงหมายถึงการทำโฆษณาได้ผลและสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้
Traffic ตกมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง?
สิ่งที่ผู้ทำเว็บไซต์หลายคนต้องเจอก็คือ Traffic ตก Pageview ลดลง แม้ว่าจะนำเสนอคอนเทนต์ใหม่ๆ หรือปรับโครงสร้างเว็บไซต์แล้วยังไม่ดีขึ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ดังนี้
1. Search Intent เปลี่ยน ทำให้ Traffic ลดลง
โดย Search Intent คือ จุดประสงค์ในการค้นหาของคน หรือ เจตนาของการค้นหา โดยการทำ SEO มีการใช้คีย์เวิร์ดเพื่อช่วยในการค้นหาบน Search Engine ได้สะดวกจนทำให้บทความ SEO ของเราติดอันดับอยู่บนหน้าแรกของ Google แต่ผ่านไปสักระยะเวลานึง คีย์เวิร์ดที่เราใช้นั้นไม่ตรงกับเจตนาของการค้นหาของ User อีกต่อไป ทำให้ Traffic ลดลงตาม โดยเราสามารถแก้ได้ด้วยการเขียนคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่ตรงกับ Search Intent ของ User ก็จะช่วยให้ Traffic เพิ่มขึ้น
2. มีคอนเทนต์ใหม่มากขึ้นบน SERP !
พูดง่ายๆ ก็คือการนำเสนอเนื้อหาใหม่ๆ ของเว็บไซต์คู่แข่งที่มีความน่าสนใจมากกว่า สดใหม่มากกว่า และมีเนื้อหาที่ครบถ้วนมากกว่าเกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ รวมถึงยังมีการปรับแต่ง Responsive ให้มี On page และ Off page ที่ดี จะทำให้อันดับคอนเทนต์ของเราตกลง ซึ่งวิธีการแก้ไขก็คือ Re-optimize เพื่อปรับปรุงเนื้อหาและ Responsive ทั้ง On page และ Off page ให้ดีขึ้น เพื่อให้เราสามารถมั่นคงอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นดังเดิม
3. Algorithm Update
สำหรับการอัปเดต Algorithm โดยเฉพาะ Google Search นั้นเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้เลย เนื่องจาก Google มีการปรับเปลี่ยนและอัปเดตตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะ Core Update ซึ่งเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ โดย Google ซึ่งทางที่ดี เราแนะนำว่าควรทำตามคำแนะนำของ Google และต้องไม่ลืมที่จะนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพ มีแหล่งที่มาชัดเจน ตอบโจทย์ Search Intent เน้น Users เป็นหลัก เพียงเท่านี้ ก็จะทำให้เราสามารถคงอันดับที่ดีบน Google เอาไว้ได้แล้ว!
4. ปัญหาด้าน Technical
นอกจากนี้ การที่ Website Traffic อาจเป็นเรื่องทางเทคนิคที่เราไม่อาจควบคุมได้ ซึ่งอาจขึ้นได้จากสาเหตุ ดังนี้
- มีเนื้อหาซ้ำกัน
คือการเผยแพร่เนื้อหาที่ซ้ำหรือคล้ายกันมากเกินไป (Duplicate Content) โดยหากมีการผลิตเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกันภายในเว็บไซต์ อาจจะทำให้กูเกิลสับสนและจับสัญญาณได้ไม่ถูกต้อง และทำให้ยอด Traffic หน้าที่เราต้องการให้ติดอันดับตกลงได้
- การทำ Redirect ที่ไม่ถูกต้องเรียบร้อย
คือการย้าย Url ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมทำให้ Traffic ตกลง บางครั้งอาจจะมีลิงก์บางหน้าที่จำเป็นต้องทำการย้ายไปหน้าใหม่ ด้วยการทำ Redirect ถ้าหากไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้พื้นฐาน SEO ทำ ก็อาจจะทำให้เกิดการย้ายไปหน้าใหม่ที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นได้ และส่งผลให้ Website Traffic ลดลงได้
- URL ไม่เรียบร้อย
หรือชื่อ URL ที่กลายเป็นภาษาต่างดาว ซึ่งมักเกิดกับเว็บไซต์ที่ใช้ชื่อ URL หรือมี Slug บางส่วนเป็นภาษาไทย เพราะมันจะถูก Auto Generate ออกมาเป็นภาษาต่างดาว ซึ่ง Google อาจจะมองว่าเว็บไซต์ที่มีชื่อ URL ดังกล่าวดูไม่น่าเชื่อถือ ควรจะมีการปรับชื่อให้เหมาะสม เป็นมิตรกับคนอ่าน โดยขอแนะนำให้ใช้เป็นภาษาอังกฤษที่สื่อถึงแบรนด์และมีคีย์เวิร์ดที่จำเป็นจะทำให้ Traffic ของเราคงที่หรือเพิ่มมากขึ้น
- หน้าโหลดช้า แสดงผลช้า
เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่อยากใช้งานเว็บไซต์ที่มีความรวดเร็ว ไม่ต้องรอโหลดนานมาก ดังนั้น Google เองก็มองเห็นถึงความสำคัญในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน จึงนำมาเป็นปัจจัยในการเลือกจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย
- ไม่มีติดตั้ง HTTPS Security
จะทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์นี้ไม่มีความปลอดภัย และมีการขึ้น Pop up ให้ Users ยินยอมใช้งานเว็บไซต์ที่ Google มองว่าไม่ปลอดภัย จึงทำให้ Users ส่วนใหญ่เลือกกดปิดเว็บไซต์ทันที จนทำให้ Traffic ลดลง และอันดับบน Google ลดลงอีกด้วย
- เว็บไซต์ไม่ถูก Index
คือการที่เว็บไซต์ไม่ถูกจัดเก็บข้อมูลลงบนดัชนีของ Search Engine ทำให้เว็บไซต์ไม่ถูกนำไปแสดงผลบนหน้า Search Engine ดังนั้น จึงเป็นที่ทำให้คุณไม่ได้รับ Traffic จากหน้าที่ไม่ Index เลย
- Broken Links
ไฮเปอร์ลิงก์ของเว็บไซต์ไม่ถูกเชื่อมโยงกับหน้าเว็บไซต์ หรือไม่มีอยู่จริง โดยเมื่อคลิกลิงก์ดังกล่าว ระบบปรากฎข้อความแสดงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เราจึงจำเป็นต้องแก้ไขทันที เพราะส่งผลต่อการจัดอันดับ บน Google ทำให้ Traffic ตกลง และเสียเครดิตได้
- ไม่ได้ทำ Canonical Tags หรือทำไม่ถูกต้อง
การทำ Rel=Canonical จะช่วยจัดการเนื้อหาที่ซ้ำหรือคล้ายกันให้เป็นระบบ จะไม่ทำให้ Google ลงโทษหรือลดอันดับคอนเทนต์ของเราบน Search Engine โดยเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาของแต่ละหน้าที่ใกล้เคียงกันมากๆ อาจจะแย่งการจับสัญญาณจาก Google ได้ว่าเนื้อหาของหน้าไหนที่เป็น Original การทำ Canonical Tags สามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้
- ไม่มี XML Sitemaps
คือการสร้างแผนผังเว็บไซต์ ซึ่งเป็นไฟล์ที่รวบรวมข้อมูลทุกหน้าบนเว็บไซต์ของเราจะช่วยให้บอทของกูเกิลรู้จักและเข้าใจเว็บไซต์เราได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าไป crawl ของบอทได้ การที่เราไม่มี XML Sitemaps อาจจะทำให้เราเสียโอกาสในการติดอันดับบน Google หรืออาจสามารถแก้ปัญหาที่หน้านั้นๆ ไม่ Index ได้ยาก
- ไม่มี Robots.txt หรือไม่ถูกต้อง
การทำ Robots.txt จะช่วยให้เราสามารถระบุในไฟล์ Robots.txt ได้เลยว่า ‘อยากให้ และ ไม่อยากให้ Google Bot มาเก็บข้อมูลที่หน้าใดบ้าง’ หากเราไม่มี Robots.txt หรือทำผิดพลาด อาจจะทำให้การเก็บข้อมูลพันกันยุ่งเหยิง หน้าที่เราไม่อยากให้ติดอันดับ อาจโผล่ขึ้นมาอยู่บน Google ได้โดยที่เราไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากมัน หรือร้ายแรงไปกว่านั้น คือหน้าที่อยากให้ติดอันดับ ดันหายไปจากผลการค้นหาบนหน้า Google !
สรุปเกี่ยวกับ Website Traffic
Traffic คือสิ่งบ่งชี้หนึ่งของคุณภาพคอนเทนต์ในเว็บไซต์ของเราว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน การที่เราปรับปรุงเว็บไซต์ของเราให้มีคุณภาพดีเพียงพอก็จะสามารถเพิ่ม Traffic ได้ในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ แน่นอนว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจที่มากตามไปด้วย ดังนั้น สำหรับผู้ทำและต้องการสร้างเว็บไซต์ จำเป็นต้องปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์และเนื้อหาให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้และอัลออรึทึมอยู่เสมอ เพื่อให้ Traffic เพิ่มขึ้น และสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจของคุณได้มากขึ้นตามไปด้วย
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
Website Traffic คืออะไร?
การเข้าชมของผู้ใช้งานในเว็บไซต์ โดยจะมีค่าต่างๆ เช่น การนับจำนวนคนที่เข้าเว็บ จำนวนการคลิก ระยะเวลาในการใช้งานบนเว็บ
อยากให้ Traffic เพิ่ม ทำยังไงได้บ้าง
การเพิ่ม Traffic สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การวางแผนจับคู่ Keyword กับ Landing Page ที่เหมาะสม การปรับปรุง On page และสร้างสรรค์คอนเทนต์ใหม่ๆ สม่ำเสมอ รวมถึงการใช้ช่องทาง Social Media และการทำ Link Building
สาเหตุ Traffic ตกมีอะไรบ้าง
สาเหตุที่ทำให้ Traffic ตกเป็นไปได้หลายสาเหตุ เช่น Search Intent ของผู้ใช้เปลี่ยน มีคอนเทนต์ใหม่ๆ ของเว็บไซต์อื่นๆ ที่น่าสนใจกว่าเกิดขึ้น มีการอัปเดต Algorithm ของ Google หรืออาจจะเกิดจากปัญหาทางเทคนิคก็เป็นไปได้เช่นกัน