Website Traffic คืออะไร? ทริกกู้วิกฤตเมื่อยอดผู้เข้าชมลดลง

Website Traffic คืออะไร ทริคเพิ่มยอด พร้อมสาเหตุวิธีแก้ถ้า Traffic ตก

Table of Contents

Key Takeaway

  • Website Traffic คือจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์จากช่องทางต่างๆ ส่งผลต่อการจัดอันดับในเสิร์ชเอนจินและโอกาสทางธุรกิจ สามารถวัดได้ด้วยสถิติ เช่น จำนวนผู้เยี่ยมชม และติดตามผ่าน Google Analytics
  • Website Traffic ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและเสริมความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ อีกทั้งยังส่งผลต่อการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Search Engine หากเว็บไซต์มี Traffic สูง จะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น
  • แหล่งที่มาของ Traffic แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Organic Traffic ที่มาจากการค้นหาผ่าน Search Engine, Direct Traffic ที่มาจากผู้ใช้ที่เข้าถึงเว็บไซต์โดยตรง และ Referral Traffic ที่มาจากลิงก์ที่เชื่อมโยงจากเว็บไซต์อื่น
  • เพื่อเพิ่ม Traffic ควรเน้นการปรับปรุง SEO ให้เหมาะสม สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและดึงดูดผู้ใช้ รวมถึงโปรโมทผ่านโซเชียลมีเดียและช่องทางอื่นๆ เช่น การโฆษณาออนไลน์ การสร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่นก็ช่วยเพิ่ม Traffic ได้เช่นกัน

นอกเหนือจากการทำเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ธุรกิจ สวยงาม เหมาะกับการใช้งาน ถูกใจผู้เข้าชมเว็บไซต์ หรือที่เรามักได้ยินบ่อยๆ ว่า UX/UI แล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจไม่น้อยไปกว่ากันคือ Website Traffic ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกถึงความสำเร็จของเว็บไซต์ เพราะจำนวนผู้เข้าชมมีผลต่อทั้งการจัดอันดับบนเสิร์ชเอนจิน การรับรู้แบรนด์ และโอกาสในการสร้างรายได้จากเว็บไซต์

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ Website Traffic ว่าคืออะไร ทำไมถึงมีความสำคัญ พร้อมทั้งเจาะลึกเทคนิคการเพิ่มยอด Traffic และวิธีป้องกันหรือแก้ไขเมื่อจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ลดลง เข้าใจแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์เติบโตได้อย่างมั่นคง

Website Traffic คืออะไร? ตัวชี้วัดสำคัญที่นักธุรกิจออนไลน์ต้องรู้

Website Traffic คืออะไร? ตัวชี้วัดสำคัญที่นักธุรกิจออนไลน์ต้องรู้

Website Traffic คือจำนวนผู้เข้าชมที่เข้ามายังเว็บไซต์ของเราผ่านช่องทางต่างๆ ยิ่งเว็บไซต์มี Traffic มากเท่าไร ก็หมายความว่ามีจำนวนผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับบนเสิร์ชเอนจิน ทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักมากขึ้น และเปิดโอกาสให้สามารถขยายการขายสินค้าและบริการภายในเว็บไซต์ได้มากขึ้น นอกจากนี้ Traffic ที่เพิ่มขึ้นยังช่วยสร้างรายได้และทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำในวงกว้างยิ่งขึ้น

โดยวัดปริมาณ Website Traffic ได้จากตัวเลขสถิติต่างๆ เช่น จำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ (Users) จำนวนครั้งที่มีการเข้าชมเว็บไซต์ (Sessions หรือ Visits) และจำนวนครั้งที่เปิดหน้าเว็บไซต์ (Pageviews)

นอกจากนี้ยังมีตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงคุณภาพของการเข้าชม เช่น ระยะเวลาเฉลี่ยของการเยี่ยมชมแต่ละครั้ง (Average Session Duration หรือ Average Visit Duration) และอัตราการออกจากเว็บไซต์หลังเข้ามาเพียงหน้าเดียว (Bounce Rate) ข้อมูลเหล่านี้สามารถติดตามได้โดยใช้ Google Analytics ซึ่งเป็นเครื่องมือฟรีจาก Google ที่ได้รับความนิยมสูงสุดและไม่มีค่าใช้จ่าย

ทำไม Website Traffic จึงเป็นมากกว่าแค่สถิติผู้เข้าชม?

Website Traffic มีความสำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จของเว็บไซต์ เพราะเป็นตัวชี้วัดการรับรู้แบรนด์ ช่วยสร้างโอกาสในการขายหรือเพิ่ม Conversion และเสริมความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาภายในเว็บไซต์ อีกทั้งยังส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับบนหน้าแสดงผลการค้นหา (Search Result Page)

โดยทั่วไปแล้วหากเว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้นๆ จำนวนผู้เข้าชมก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในขณะเดียวกันเมื่อเว็บไซต์มี Traffic สูง ระบบของ Search Engine จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือ และมีแนวโน้มที่จะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นบนหน้าแสดงผลการค้นหา

รู้จักแหล่งที่มาของ Traffic ที่สร้างยอดขายจริง

รู้จักแหล่งที่มาของ Traffic ที่สร้างยอดขายจริง

ก่อนที่จะไปสำรวจเทคนิคการเพิ่มยอด Traffic หลายคนอาจไม่ทราบว่า Traffic สามารถมาจากหลายแหล่ง เช่น การซื้อโฆษณา การค้นหาผ่านเสิร์ชเอนจิน หรือจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งแต่ละช่องทางมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป มาดูกันว่าช่องทางไหนที่เหมาะสมที่สุดกับเว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Organic Search หรือ Organic Traffic

Organic Search หรือ Organic Traffic คือจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่มาจากการค้นหาผ่าน “คีย์เวิร์ด” บนหน้า Search Engine เช่น Google, Baidu, Yandex เป็นต้น การเพิ่มยอด Organic Traffic สามารถทำได้โดยการทำ SEO เพื่อสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและตอบโจทย์การค้นหาของผู้ใช้บน Search Engine แม้ว่าการคาดหวังผลลัพธ์จากช่องทางนี้อาจต้องใช้เวลาและมีขั้นตอนที่ซับซ้อน การติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine อาจใช้เวลานาน แต่เป็นช่องทางที่สำคัญในการดึงดูดผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

Paid Search หรือ Paid Traffic

Paid Search หรือ Paid Traffic คือจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มาจากการทำโฆษณาผ่าน Google Ads (Google AdWords) โดยการประมูลคีย์เวิร์ดเพื่อให้เว็บไซต์ของเราแสดงบนหน้าแรกของ Search Engine เช่น Google ซึ่งระบบนี้เรียกว่า Pay Per Click (PPC) เราจะต้องจ่ายเงินตามจำนวนคลิกที่เกิดขึ้น โดยค่าใช้จ่ายสำหรับแต่ละคลิกจะขึ้นอยู่กับการแข่งขันของคีย์เวิร์ดและประเภทธุรกิจต่างๆ ข้อดีของ Paid Search คือสามารถเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วและตรงตามกลุ่มเป้าหมาย แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายตามจำนวนคลิก

Social Media

Social Media Traffic คือจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มาจากโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, Twitter เป็นต้น โดย Traffic นี้เกิดขึ้นจากการสร้างและแชร์คอนเทนต์บนแพลตฟอร์มเหล่านี้ หากคอนเทนต์ที่เรานำเสนอมีความน่าสนใจและได้รับความนิยม รวมถึงมีจำนวนผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียที่มาก ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คนเข้ามายังเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น แต่ละแพลตฟอร์มมีลักษณะการใช้งานและวิธีการทำคอนเทนต์ที่แตกต่างกัน 

ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องศึกษาและปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการใช้งานของผู้ใช้แต่ละแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์และกระตุ้นให้ผู้ใช้งานคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของเรา

Referral Traffic

Referral Traffic คือจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มาจากการที่เว็บไซต์อื่นๆ อ้างถึงเว็บไซต์ของเรา เช่น การแปะลิงก์เว็บไซต์ของเราในการลงโฆษณาหรือเนื้อหาบนเว็บไซต์อื่นๆ รวมถึงการคลิกลิงก์จากอีเมลและจาก Search Engine อื่นๆ ที่ไม่ใช่ Google ก็ถือเป็น Referral Traffic ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เรายังสามารถนำเสนอเนื้อหาและใส่ลิงก์เว็บไซต์ของเราในเนื้อหาของเว็บไซต์อื่นๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มยอด Traffic แล้ว ยังเป็นการทำ Backlinks ที่มีคุณภาพ ซึ่งส่งผลดีต่อการจัดอันดับ SEO บน Search Engine อีกด้วย

Direct Traffic

Direct Traffic คือ จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่เกิดจากการพิมพ์ URL ของเว็บไซต์เข้ามาโดยตรง หรือการคลิกลิงก์ผ่าน Bookmarks ไฟล์เอกสาร และแหล่งอื่นๆ โดยส่วนใหญ่ Direct Traffic จะเกิดขึ้นเมื่อเว็บไซต์ของเรามีชื่อเสียงและเป็นที่คุ้นเคยสำหรับผู้ใช้งาน จึงทำให้ผู้เข้าชมสามารถนึกถึงเว็บไซต์ของเราได้ทันที โดยไม่ผ่านช่องทางอื่น เช่น เมื่อผู้ใช้ต้องการหารีวิวเครื่องสำอางและนึกถึง Jeban มักเสิร์ชที่ https://www.jeban.com/ หรือเมื่อคิดถึงข่าวสารจะเสิร์ชไปที่ https://www.thairath.co.th/ เป็นต้น

เปลี่ยนคลิกให้เป็นลูกค้า! อยากให้ Traffic เพิ่ม ต้องทำอะไรบ้าง?

เปลี่ยนคลิกให้เป็นลูกค้า! อยากให้ Traffic เพิ่ม ต้องทำอะไรบ้าง?

เพิ่ม Website Traffic ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่าง Algorithm Update  ของทาง Google ที่เกิดขึ้นบ่อยจนบางครั้งเราแทบจะตามไม่ทัน หรือการขยายตัวและการแข่งขันจากคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ที่ Minimice เรามีเคล็ดลับในเพิ่ม Traffic แบบยั่งยืนมาฝาก ถ้าอยากรู้แล้วก็ตามมาดูกันเลย!

1. การจับคู่คีย์เวิร์ดที่ใช่กับ Landing Page ที่เหมาะสม

Landing Page หรือที่บางครั้งเรียกว่า Sale Page คือหน้าเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เฉพาะ เช่น แนะนำแบรนด์ โปรโมชัน ขยายฐานลูกค้า หรือให้ข้อมูลที่ตอบโจทย์ Pain Point ของผู้ใช้ รวมถึงกระตุ้นการขายหรือ Conversion การเลือก Keyword ที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์และ Landing Page จะช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้งานและตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ปรับแต่งคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์

การปรับแต่งคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่ม Website Traffic ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คอนเทนต์ที่ดีและมีคุณภาพ ที่ช่วยดึงดูดผู้เข้าชมให้ใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น และเพิ่มโอกาสในการแชร์ต่อไปยังช่องทางอื่นๆ การใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม การปรับโครงสร้างเนื้อหาให้อ่านง่าย เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้งานและง่ายต่อการเข้าใช้งานเว็บไซต์ (User Friendly) เช่นเดียวกัน

รวมไปถึงตัว Search Algorithm ด้วย เนื่องจาก On-page ที่ดีจะส่งผลดีต่อการทำ SEO โดยการปรับปรุงทุกอย่างที่ปรากฎอยู่บนเว็บไซต์ รวมถึงการเพิ่มสื่อประกอบ เช่น รูปภาพหรือวิดีโอ ล้วนมีส่วนช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีและทำให้เว็บไซต์ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มยอด Traffic อย่างต่อเนื่อง

3. อัปเดตคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ

อีกหนึ่งวิธีเพิ่ม Traffic ง่ายๆ ด้วยการอัปเดตคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ เพราะการนำเสนอเนื้อหาที่สดใหม่ มีประโยชน์ ทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน ไม่เพียงช่วยให้เว็บไซต์ของเรามีอันดับที่ดีขึ้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานที่เข้ามาค้นหาข้อมูลอีกด้วย นอกจากคอนเทนต์ที่อัปเดตตามกระแสแล้ว การสร้าง Evergreen Content ยังเป็นอีกแนวทางที่สำคัญ เนื่องจากเป็นเนื้อหาที่ไม่มีวันหมดอายุ ไม่ล้าสมัย ดึงดูด Organic Traffic ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เว็บไซต์มีผู้เข้าชมอยู่ตลอดเวลา

4. ใช้โซเชียลมีเดียเป็นตัวช่วย

ป็นอีกช่องทางในการเพิ่ม Organic Traffic เพื่อดันยอด Website Traffic คือการใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้หรือที่เรียกว่า Engagement เราสามารถเพิ่ม Traffic ได้โดยการแชร์ลิงก์เว็บไซต์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ รวมถึงการสื่อสารและโต้ตอบกับผู้ใช้โดยตรงบนแพลตฟอร์มเหล่านั้น วิธีนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่ม Organic Traffic ให้กับเว็บไซต์ แต่ยังมีส่วนสำคัญในการสร้าง Brand Awareness ทำให้สินค้าและบริการของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น

5. สร้างลิงก์จากข้างนอก

การทำ External Link หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Link Building และ Backlink เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ ด้วยการที่เว็บไซต์อื่นมีลิงก์อ้างอิงกลับมายังเว็บของเรา ซึ่งการสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพจำเป็นต้องมีกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้ได้ลิงก์ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มอันดับบนหน้า Search Engine และทำให้เว็บไซต์ของเราถูกค้นพบได้ง่ายขึ้น

การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพที่ดีควรมาจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมี Authority สูง เพราะจะช่วยเพิ่มค่า Domain Authority ของเราไปด้วย นอกจากนี้ลิงก์ที่ได้รับควรมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาเว็บไซต์ของเราและมีผู้ใช้งานจริง สิ่งนี้ทำให้ Search Engine มองว่าเว็บไซต์มีคุณภาพ ส่งผลให้มีอันดับที่ดีขึ้นบนหน้าผลการค้นหา

หากเราปรับปรุงและพัฒนา Backlink อย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น ทั้งยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับบน Search Engine และทำให้มีโอกาสได้รับ Traffic เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ถอดรหัส Traffic Insights ปัจจัยที่เปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้า

ถอดรหัส Traffic Insights ปัจจัยที่เปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้า

ในการเพิ่มและผลักดันยอด Website Traffic อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือต้องมีเครื่องมือที่ช่วยวัดผลได้อย่างแม่นยำ หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมคือ Google Analytics ที่สามารถช่วยติดตามและวิเคราะห์ Traffic ของเว็บไซต์ได้ในหลากหลายมิติ ดังนี้

วัดผลเชิงปริมาณ

การวัดผลเชิงปริมาณคือส่วนที่จำเป็นเป็นอย่างมากในการวัดผล Traffic และนำมาวิเคราะห์ในภายหลัง โดยมีข้อมูลที่เราใช้ในการวัดผล ดังนี้

  • Users คือจำนวนบุคคลที่เข้าชมเว็บไซต์ โดยไม่ว่าจะเข้ากี่ครั้ง Google Analytics จะยังคงนับเป็น 1 คน แต่หากเปลี่ยนเบราว์เซอร์หรืออุปกรณ์ จะนับเป็น New User แยกต่างหาก
  • Sessions คือจำนวนครั้งที่ผู้ใช้เข้าชมและมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์ภายในช่วงเวลาหนึ่ง โดย Google Analytics จะเริ่มนับ Session เมื่อลูกค้าเข้ามาใช้งานเว็บไซต์ และจะสิ้นสุดเมื่อไม่มีการกระทำใดๆ เป็นเวลา 30 นาที หรือเมื่อข้ามเวลาไปเป็นเที่ยงคืน ระบบก็จะเริ่มนับเป็น Session ใหม่ โดยอัตโนมัติ
  • Pageviews คือจำนวนครั้งที่หน้าเว็บไซต์ถูกเปิดใช้งาน โดยทุกครั้งที่ผู้ใช้เข้ามาและโหลดหน้าเว็บ ไม่ว่าจะเป็นหน้าเดิมหรือหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ ระบบจะนับเป็นหนึ่ง Pageview ข้อมูลนี้ช่วยวัดความนิยมของเว็บไซต์และระบุหน้าเว็บที่มีผู้ชมมากที่สุด

วัดผลเชิงคุณภาพ

นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีการวัดผลที่ได้รับความนิยม โดยใช้ในการประเมินคุณภาพของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ซึ่งมีเกณฑ์การวัดผลดังต่อไปนี้

  • Avg. Session Duration (Average Session Duration) ระยะเวลาเฉลี่ยของแต่ละ Session โดยคิดจาก Session Duration / Sessions คือช่วงระยะเวลาของ Session หารด้วยจำนวน Session ทั้งหมดเพื่อคิดเป็นค่าเฉลี่ยออกมา
  • Bounce Rate หรืออัตราการตีกลับ คือ อัตราของ User ที่เข้ามายังเว็บไซต์ของเราในหน้าใดหน้าหนึ่งเพียงแค่หน้าเดียวแล้วออก โดย Bounce Rate ที่ดี ต้องมีเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำ เพราะหมายความว่ามี Users คลิกไปยังหน้าอื่นบนเว็บไซต์ของเราต่อ
  • CTR (Click Through Rate) อัตราการคลิกผ่าน คืออัตราส่วนการคลิกต่อการมองเห็น เป็นตัวชี้วัดว่าโฆษณาและคีย์เวิร์ดที่เราทำนั้นมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน โดย Click Through Rate ยิ่งสูงหมายความว่าคอนเทนต์หรือโฆษณาของเรามีความน่าสนใจ
  • Conversion คือจำนวนครั้งที่ผู้ใช้ทำกิจกรรมตามเป้าหมายเว็บไซต์ เช่น คลิกสินค้า สมัครสมาชิก หรือสั่งซื้อ โดย Conversion สูงแปลว่าเว็บไซต์บรรลุเป้าหมายได้ดี
  • Conversion Rate คือสัดส่วนของผู้ที่ทำการตอบสนองต่อโฆษณา หรือยอดผู้ซื้อจริง โดยคิดจาก (ยอดรวมของ Conversion / จำนวนการเข้าชมหรือเข้าร่วมในส่วนนั้นๆ) x 100 = Conversion Rate โดย Conversion Rate สูงหมายถึงการทำโฆษณาได้ผลและสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้
Traffic ร่วงไม่มีเบรก! รู้ทันสาเหตุที่ทำให้เว็บร้าง ไร้ผู้เข้าชม

Traffic ร่วงไม่มีเบรก! รู้ทันสาเหตุที่ทำให้เว็บร้าง ไร้ผู้เข้าชม

ผู้ทำเว็บไซต์หลายคนมักพบปัญหา Website Traffic ลดลงหรือ Pageview น้อยลง แม้จะนำเสนอคอนเทนต์ใหม่หรือปรับโครงสร้างเว็บไซต์ใหม่แล้ว ซึ่งปัญหานี้อาจเกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ ดังนี้

1. Search Intent เปลี่ยน ทำให้ Traffic ลดลง

Search Intent คือเจตนาของผู้ใช้ในการค้นหา โดยการทำ SEO ใช้คีย์เวิร์ดเพื่อให้บทความติดอันดับบนหน้าแรกของ Google แต่เมื่อเวลาผ่านไป คีย์เวิร์ดที่ใช้อาจไม่ตรงกับเจตนาของผู้ใช้ ทำให้ Website Traffic ลดลง การแก้ไขคือการอัปเดตคอนเทนต์ให้ตรงกับ Search Intent ของผู้ใช้เพื่อดึง Traffic กลับมา

2. มีคอนเทนต์ใหม่มากขึ้นบน SERP

การนำเสนอเนื้อหาใหม่ๆ จากเว็บไซต์คู่แข่งที่มีความสดใหม่และครบถ้วน รวมถึงการปรับแต่ง Responsive ให้ดีทั้ง On-Page และ Off-Page จะทำให้อันดับของเราอาจตกลง วิธีแก้ไขคือการ Re-Optimize ปรับปรุงเนื้อหาและการตั้งค่าทั้ง On-Page และ Off-Page เพื่อให้กลับมาอยู่ในอันดับที่ดีได้อีกครั้ง

3. Algorithm Update

การอัปเดต Algorithm โดยเฉพาะ Google Search เป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เนื่องจาก Google มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ Core Update ที่เป็นการอัปเดตใหญ่แนะนำให้ทำตามคำแนะนำของ Google และนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพ มีแหล่งที่มาชัดเจน ตอบโจทย์ Search Intent และมุ่งเน้นผู้ใช้เป็นหลัก เพื่อคงอันดับที่ดีบน Google ได้อย่างยั่งยืน

4. ปัญหาด้าน Technical

Website Traffic อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาทางเทคนิคที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุดังนี้

มีเนื้อหาซ้ำกัน

คือการเผยแพร่เนื้อหาที่ซ้ำหรือคล้ายกันมากเกินไป (Duplicate Content) โดยหากมีการผลิตเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกันภายในเว็บไซต์ อาจจะทำให้กูเกิลสับสนและจับสัญญาณได้ไม่ถูกต้อง และทำให้ยอด Traffic หน้าที่เราต้องการให้ติดอันดับตกลงได้

การทำ Redirect ที่ไม่ถูกต้อง

Redirect ไม่ถูกต้องเกิดจากการย้าย URL ไปยังที่ไม่เหมาะสม ซึ่งทำให้ Traffic ลดลง บางครั้งการย้ายหน้าอาจจำเป็น แต่ถ้าผู้ที่ทำไม่เข้าใจพื้นฐาน SEO อาจทำให้เกิดการย้ายที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้ Website Traffic ตกลงได้

URL ไม่เรียบร้อย

ชื่อ URL ที่กลายเป็นภาษาต่างดาวมักเกิดกับเว็บไซต์ที่ใช้ชื่อ URL หรือ Slug ภาษาไทย เพราะถูก Auto Generate เป็นภาษาต่างดาว ซึ่งอาจทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ไม่น่าเชื่อถือ ควรปรับชื่อ URL ให้เหมาะสมและเป็นมิตรกับผู้อ่าน โดยแนะนำให้ใช้ภาษาอังกฤษที่สื่อถึงแบรนด์และมี คีย์เวิร์ด ที่จำเป็น เพื่อช่วยให้ Traffic คงที่หรือเพิ่มขึ้น

หน้าโหลดช้า แสดงผลช้า

หน้าเว็บไซต์ที่โหลดช้าหรือแสดงผลช้าทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจ เพราะส่วนใหญ่ต้องการเว็บไซต์ที่รวดเร็วไม่ต้องรอนาน ซึ่ง Google ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และใช้เป็นปัจจัยในการจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย

ไม่มีติดตั้ง HTTPS Security

การที่เว็บไซต์ไม่มีความปลอดภัยหรือมี Pop-up ให้ user ยินยอมใช้งานเว็บไซต์ที่ Google มองว่าไม่ปลอดภัย ทำให้ยูสเซอร์ส่วนใหญ่เลือกปิดเว็บไซต์ทันที ส่งผลให้ Website Traffic ลดลงและอันดับบน Google ตกตามไปด้วย

เว็บไซต์ไม่ถูก Index

คือการที่เว็บไซต์ไม่ถูกจัดเก็บข้อมูลลงบนดัชนีของ Search Engine ทำให้เว็บไซต์ไม่ถูกนำไปแสดงผลบนหน้า Search Engine จึงเป็นทำให้คุณไม่ได้รับ Traffic จากหน้าที่ไม่ Index เลย

Broken Links

ไฮเปอร์ลิงก์ของเว็บไซต์ไม่ถูกเชื่อมโยงกับหน้าเว็บไซต์ หรือไม่มีอยู่จริง โดยเมื่อคลิกลิงก์ดังกล่าว ระบบปรากฎข้อความแสดงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เราจึงจำเป็นต้องแก้ไขทันที เพราะส่งผลต่อการจัดอันดับ บน Google ทำให้ Website Traffic ตกลง และเสียเครดิตได้

ไม่ได้ทำ Canonical Tags หรือทำไม่ถูกต้อง

การใช้ Rel=Canonical ช่วยจัดการเนื้อหาที่ซ้ำหรือคล้ายกัน เพื่อไม่ให้ Google ลงโทษหรือลดอันดับคอนเทนต์ของเรา หากเว็บไซต์มีเนื้อหาคล้ายกันมากๆ Canonical Tags จะช่วยระบุหน้า Original ให้ Google รู้ และแก้ปัญหาการแย่งสัญญาณจาก Google ได้

ไม่มี XML Sitemaps

XML Sitemap คือแผนผังเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลทุกหน้าของเว็บไซต์ ช่วยให้บอทของ Google รู้จักและเข้าใจเว็บไซต์ได้ดีขึ้น พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการ Crawl หากไม่มี XML Sitemap อาจทำให้เสียโอกาสในการติดอันดับบน Google หรือทำให้การแก้ไขปัญหาหน้าไม่ Index ยากขึ้น

ไม่มี Robots.txt หรือไม่ถูกต้อง

การทำ Robots.txt จะช่วยให้เราสามารถระบุในไฟล์ Robots.txt ได้เลยว่า ‘อยากให้ และ ไม่อยากให้ Google Bot มาเก็บข้อมูลที่หน้าใดบ้าง’ หากเราไม่มี Robots.txt หรือทำผิดพลาด อาจจะทำให้การเก็บข้อมูลพันกันยุ่งเหยิง หน้าที่เราไม่อยากให้ติดอันดับอาจโผล่ขึ้นมาอยู่บน Google ได้โดยที่เราไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากมัน หรือร้ายแรงไปกว่านั้น คือหน้าที่อยากให้ติดอันดับ ดันหายไปจากผลการค้นหาบนหน้า Google!

เปิดโลกการวิเคราะห์ Traffic จับตาทุกการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์

เปิดโลกการวิเคราะห์ Traffic จับตาทุกการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์

การวิเคราะห์ด้วย Web Check Traffic เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้และการเติบโตของเว็บไซต์ การจับตาทุกการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ช่วยให้เราสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพในการดึงดูดผู้เยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง

Google Search Console

Google Search Console ช่วยวิเคราะห์ Website Traffic โดยการให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับการแสดงผลเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google เช่น จำนวนการคลิก (Click) การแสดงผล (Impressions) อัตราการคลิก (CTR) และตำแหน่งเฉลี่ยในผลการค้นหา (Average Position) นอกจากนี้ยังช่วยระบุคำค้นหาที่นำผู้ใช้เข้ามาที่เว็บไซต์ รวมถึงแสดงข้อผิดพลาดทางเทคนิคที่อาจส่งผลกระทบต่อการเข้าชม ช่วยให้สามารถปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพและดึงดูด Traffic ได้มากขึ้น

Google Analytics

Google Analytics เป็นเครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ Traffic โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม (Users) จำนวนครั้งที่เข้าชม (Sessions) หน้าที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด (Pageviews) ระยะเวลาที่อยู่บนเว็บไซต์ (Session Duration) และอัตราการออกจากเว็บไซต์หลังเข้ามาเพียงหน้าเดียว (Bounce Rate)

นอกจากนี้ยังสามารถติดตามแหล่งที่มาของ Website Traffic ไม่ว่าจะมาจาก Search Engine โซเชียลมีเดีย โฆษณา หรือการเข้าชมโดยตรง ช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่ม Traffic และปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น

Ahrefs

Ahrefs เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ Traffic ที่เชี่ยวชาญด้าน SEO และ Backlink Analysis โดยช่วยให้เราตรวจสอบว่าเว็บไซต์ได้รับ Traffic จากคีย์เวิร์ดใด รวมถึงวิเคราะห์อันดับบน Search Engine ได้ และ Ahrefs ยังช่วยให้เห็น Backlinks ที่ส่งเข้ามาเว็บไซต์ รวมถึงคุณภาพของลิงก์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ SEO นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบ Website Traffic ของคู่แข่ง วิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน และหาโอกาสในการเพิ่มอันดับเพื่อดึง Organic Traffic ได้มากขึ้น

Semrush

Semrush เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ Website Traffic และ SEO แบบครบวงจร ช่วยให้เราตรวจสอบแหล่งที่มาของ Traffic ทั้ง Organic, Paid, Referral และ Social Media นอกจากนี้ยังช่วยวิเคราะห์ คีย์เวิร์ด อันดับเว็บไซต์บน Search Engine และพฤติกรรมของคู่แข่ง Semrush ยังมีฟีเจอร์ Site Audit ที่ช่วยตรวจสอบปัญหาทางเทคนิคที่อาจส่งผลกระทบต่อ Traffic รวมถึงแนะนำวิธีปรับปรุง On-page SEO และ Backlink Profile เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และดึงดูดผู้เข้าชมมากขึ้น

สรุป

Traffic เป็นตัวบ่งชี้สำคัญของคุณภาพคอนเทนต์ในเว็บไซต์ ซึ่งช่วยสะท้อนถึงจำนวนผู้เข้าชมที่มาจากทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ การปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์ให้ดีขึ้นไม่เพียงแต่เพิ่ม Website Traffic แต่ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มากขึ้นอีกด้วย ดังนั้นการปรับปรุงเนื้อหาและเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้และอัลกอริธึมของเสิร์ชเอนจินถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จ

หากคุณต้องการเพิ่ม Website Traffic และสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจเรารับทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยเพิ่มอันดับของเว็บไซต์บนเสิร์ชเอนจิน และเรายังมีบริการเพิ่มเติม เช่น การออกแบบเว็บไซต์ การตลาดดิจิทัล และการพัฒนาเนื้อหาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตในโลกออนไลน์อย่างยั่งยืน

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

เมื่อพูดถึง Website Traffic หลายคนอาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเพิ่มยอดเข้าชม การวิเคราะห์ข้อมูล หรือปัจจัยที่ส่งผลต่ออันดับบน Search Engine ในช่วงถาม-ตอบนี้ เราจะมาคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับ Traffic พร้อมแนะนำแนวทางแก้ไขและปรับปรุงเว็บไซต์ให้มีผู้เข้าชมมากขึ้น

ผู้เข้าชมเว็บไซต์ Traffic มีความสำคัญต่อการทำ SEO อย่างไร?

Traffic มีความสำคัญต่อการทำ SEO เพราะเป็นตัวชี้วัดว่าเว็บไซต์ได้รับความสนใจจากผู้ใช้งานหรือไม่ Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มี Traffic คุณภาพสูง โดยเฉพาะ Organic Traffic ที่มาจากผลการค้นหาธรรมชาติ

นอกจากนี้ Website Traffic ยังส่งผลต่อ Engagement Metrics เช่น Bounce Rate, Session Duration และ Pages per Session ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ Google นำมาพิจารณาในการจัดอันดับ หากเว็บไซต์มีผู้เข้าชมจำนวนมากและมี Engagement ที่ดี อันดับบน Search Engine ก็มีโอกาสสูงขึ้น ช่วยให้เว็บไซต์เติบโตอย่างยั่งยืน

Traffic มีกี่ประเภท?

Traffic มี 4 กี่ประเภท ดังนี้

  • Organic Traffic – ผู้เข้าชมที่มาจากผลการค้นหาธรรมชาติบน Search Engine เช่น Google โดยไม่ได้มาจากโฆษณ
  • Direct Traffic – ผู้เข้าชมที่เข้ามาโดยพิมพ์ URL เว็บไซต์โดยตรง หรือกดบุ๊กมาร์กที่บันทึกไว้
  • Referral Traffic – ผู้เข้าชมที่มาจากลิงก์บนเว็บไซต์อื่นที่อ้างอิงมายังเว็บไซต์ของเรา
  • Paid Traffic – ผู้เข้าชมที่มาจากโฆษณาออนไลน์ เช่น Google Ads, Facebook Ads หรือแพลตฟอร์มโฆษณาอื่นๆ
    การทำความเข้าใจแต่ละประเภทของ Traffic จะช่วยให้เราสามารถวางกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Traffic Ads คืออะไร?

Traffic Ads คือการใช้โฆษณาออนไลน์เพื่อดึง Traffic เข้ามายังเว็บไซต์หรือ Landing Page โดยตรง โดยมักเป็น Paid Traffic ที่เกิดจากการซื้อโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Google Ads, Facebook Ads, Instagram Ads, TikTok Ads หรือ Display Ads บนเว็บไซต์อื่นๆ

Traffic Ads เหมาะสำหรับการเพิ่มยอดเข้าชมเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว กระตุ้นการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) และช่วยเพิ่มโอกาสในการ Conversion เช่น การสมัครสมาชิกหรือการสั่งซื้อสินค้า

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง