Key Takeaway
- Backlink คือลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของเรา ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและช่วยปรับปรุงอันดับ SEO บน Google
- Backlink สำคัญเพราะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้เว็บไซต์ของเรา และส่งผลดีต่อการจัดอันดับ SEO บน Google ทำให้เว็บไซต์ของเรามีโอกาสแสดงผลในอันดับต้นๆ
- เทคนิคสร้าง Backlink คุณภาพคือการเลือกแหล่งลิงก์จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรา สร้างเนื้อหาคุณภาพ ไม่ปั่นลิงก์ และหลีกเลี่ยงการใช้เว็บไซต์ที่เป็นสแปม
“Backlink” หรือ “ลิงก์ย้อนกลับ” คือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการทำ SEO ที่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google ได้ดีขึ้น หลายคนในสาย Digital Marketing อาจเคยได้ยินคำนี้อยู่บ่อยๆ แต่ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร สำคัญแค่ไหน และจะเริ่มต้นใช้งานอย่างไรดี
บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจง่ายว่า Backlink จริงๆ แล้วคืออะไร พร้อมเทคนิคการสร้าง Backlink แบบใช้งานได้จริง ช่วยให้คุณทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน

Backlink คืออะไร? จุดเริ่มต้นของ SEO ที่แข็งแรง
ถ้าอยากทำ SEO ให้เวิร์กและเข้าถึงผู้ใช้ได้แบบตรงจุด การใช้ Backlink ถือเป็นตัวช่วยสำคัญเพราะคือการที่เว็บอื่นแปะลิงก์กลับมาหาเว็บเรา เปรียบเหมือนการบอกว่า “เว็บนี้น่าเชื่อถือ ลองคลิกมาดูสิ”
พอมีเว็บอื่นพูดถึงหรือแชร์ลิงก์เราเยอะๆ Google จะมองว่าเว็บเราน่าสนใจ มีคุณภาพ ส่งผลให้คะแนน SEO หรือ Page Rank ดีขึ้น และทำให้อันดับบนหน้าค้นหาดีขึ้นตามไปด้วย สุดท้ายก็จะมีคนเห็นเว็บเราเยอะขึ้นนั่นเอง

ทำไม Backlink ถึงเป็นปัจจัยสำคัญของ SEO ที่ขาดไม่ได้
การทำ SEO ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับการใส่คีย์เวิร์ดของสินค้า บริการ หรือเนื้อหาในเว็บไซต์เท่านั้น เพราะถ้าอยากให้อันดับเว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Search Engine โดยเฉพาะ Google ซึ่งเป็นเครื่องมือค้นหาอันดับ 1 ของโลก ก็ต้องเข้าใจว่า Google ไม่ได้ดูแค่คีย์เวิร์ด แต่ยังวิเคราะห์คุณภาพของเว็บไซต์ด้วยหลายปัจจัย
หนึ่งในนั้นคือการทำ Backlink หรือการมีลิงก์จากเว็บอื่นเชื่อมกลับมาหาเว็บเรา ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพ ส่งผลต่ออันดับในการค้นหาโดยตรง ดังนั้นถ้าอยากทำ SEO ให้ได้ผลจริง Backlink จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ขาดไม่ได้

ประเภทของ Backlink พร้อมคุณสมบัติแต่ละแบบ
การทำ SEO โดยใช้ Backlink เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับรูปแบบของ Backlink ที่นำมาใช้งาน ซึ่งแต่ละประเภทมีจุดเด่นและบทบาทที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งประเภทของ Backlink ได้หลักๆ 7 ประเภท คือ
Dofollow vs Nofollow คืออะไร?
สองประเภทหลักของ Backlink ที่คนทำ SEO ต้องรู้จัก คือ Dofollow และ Nofollow ซึ่งแม้จะดูคล้ายกันเพราะเป็นลิงก์เหมือนกัน แต่ในมุมของ Google แล้ว ผลลัพธ์ที่ส่งต่อให้กับเว็บไซต์เรานั้นต่างกันพอสมควร ดังนี้
H4: Dofollow Backlink
Backlink ประเภทนี้มักมาจากสื่อใหญ่หรือเว็บไซต์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ซึ่งเมื่อมีการกล่าวถึงเว็บไซต์ของเราพร้อมแปะลิงก์ไว้ในเนื้อหา จะช่วยเพิ่มการมองเห็น ดึงคนเข้าเว็บไซต์ และส่งผลให้ Search Engine มองว่าเว็บของเรามีคุณภาพสูง จึงมีโอกาสติดอันดับได้เร็ว
นอกจากนี้ ถ้าเป็น DoFollow Backlink จะช่วยเพิ่มพลัง SEO ได้มากขึ้น เป็นประเภทที่หลายคนอยากได้ เพราะช่วยดึงยอด Traffic จากคนที่คลิกเข้ามา และยังช่วยให้อันดับเว็บไซต์ดีขึ้นในการค้นหาบน Google อย่างเห็นได้ชัด
โค้ดหลังบ้านของลิงก์ประเภท Dofollow เป็นการสร้างลิงก์ที่ Google สามารถติดตามได้และส่งผลต่อ SEO โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มคำสั่งพิเศษใดๆ เพียงแค่ใส่ลิงก์ปกติในโค้ด HTML คือ
<a href=”https://www.example.com” target=”_blank”>Visit Example Website</a>
H4: Nofollow Backlink
NoFollow Backlink คือการทำลิงก์ที่ไม่ส่งผลโดยตรงต่อยอดผู้ชมที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ แต่ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ SEO ที่สำคัญ เนื่องจากลิงก์ประเภทนี้มักพบได้บ่อยในโซเชียลมีเดีย ซึ่งไม่ได้เน้นเนื้อหาแต่อย่างใด แม้ว่า Google มักจะหักคะแนนและมองว่าเป็นลิงก์สแปม (SPAM) แต่ NoFollow Backlink ยังช่วยเพิ่มการมองเห็นและทำให้ผู้ใช้งานรู้จักแบรนด์เว็บไซต์ได้มากขึ้น จึงเป็นเครื่องมือที่ดีในการดึงดูดความสนใจจากผู้ใช้โดยตรง
โค้ดสำหรับ Nofollow Backlink คือการเพิ่มคำสั่ง rel=”nofollow” ในลิงก์ HTML เพื่อบอกให้ Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ไม่ติดตาม ลิงก์นี้หรือไม่ส่งผลต่อการจัดอันดับ SEO ของเว็บไซต์ที่ถูกเชื่อมโยง ตัวอย่างโค้ด เช่น
<a href=”https://www.example.com” target=”_blank” rel=”nofollow”>Visit Example Website</a>
Sponsored Backlink
Sponsored Backlink คือการสร้างลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์โดยได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากสปอนเซอร์ ซึ่งมักเกิดจากการลงโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ หรือการสร้างเนื้อหาที่มีการจ่ายเงินสำหรับทุกคลิกที่เข้ามาผ่านลิงก์ไปยังเว็บไซต์นั้นๆ โดย Sponsored Backlink นี้ถือเป็นประเภทที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2019 และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสามารถเพิ่มการเข้าถึงและความสนใจจากผู้ใช้งานได้โดยตรง
โค้ดของ Sponsored Backlink ใน HTML จะคล้ายกับโค้ดทั่วไปของลิงก์ แต่จะเพิ่มคำสั่ง rel=”sponsored” เพื่อบ่งชี้ว่าลิงก์นี้ได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์หรือเป็นการโฆษณา ตามตัวอย่าง คือ
<a href=”https://www.example.com” target=”_blank” rel=”sponsored”>Visit Sponsored Website</a>
UGC Backlink
Backlink ประเภทนี้ มักพบในการแปะลิงก์ไว้ในเว็บระบบเปิดที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานแสดงความคิดเห็นหรือโพสต์ข้อความ เช่น ฟอรัม หรือคอมเมนต์ต่างๆ ซึ่งมักจะเป็น UGC (User-Generated Content) ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของเว็บไซต์ โดยลิงก์ที่แปะไว้ไม่ให้ประโยชน์กับผู้ใช้หรือเว็บไซต์ที่ถูกลิงก์ไป ดังนั้น Search Engine จึงมักมองว่าเป็นการสแปม และมักเลือกแบนลิงก์ประเภทนี้เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ไม่เหมาะสม
UGC Backlink (User-Generated Content) จะใช้คำสั่ง rel=”ugc” ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่าเป็นลิงก์ที่มาจากเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น เช่น ฟอรัม บล็อก หรือความคิดเห็น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นลิงก์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของเว็บไซต์ เช่น
<a href=”https://www.example.com” rel=”ugc”>Visit Example Website</a>
Non-Editorial Link
Non-Editorial Link มักพบในเว็บไซต์ระบบเปิดที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานทั่วไปแสดงความคิดเห็นหรือโพสต์ข้อความ เช่น ฟอรัม หรือคอมเมนต์ต่างๆ ซึ่งลิงก์ที่ถูกแปะไว้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลัก และไม่ให้ประโยชน์กับผู้ใช้หรือเว็บไซต์ที่ถูกลิงก์ไป ทำให้ Search Engine มักพิจารณาลิงก์ประเภทนี้เป็นสแปมและมักเลือกแบนเพื่อลดการใช้งานในทางที่ไม่เหมาะสม
โค้ดสำหรับ Non-Editorial Link มักจะคล้ายกับการสร้างลิงก์ทั่วไป แต่ไม่มีการควบคุมหรือคัดเลือกอย่างเป็นทางการจากผู้ดูแลเว็บ ตัวอย่างโค้ดคือ
<a href=”https://www.example.com”>Visit Example Website</a>
Natural Editorial Links
การทำ Backlink ที่ดีที่สุดทั้งสำหรับผู้ใช้งานและ Search Engine คือการสร้าง Natural Editorial Links หรือการแทรกลิงก์ในบทความที่มีเนื้อหาน่าสนใจและมีประโยชน์ต่อลูกค้า โดยลิงก์จะเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้นๆ วิธีนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์เรา แต่ยังช่วยเสริมการทำ SEO ให้ถูกต้องตามหลักการของ Google และถือเป็นวิธีที่มีคุณภาพสูงในโลกออนไลน์
Natural Editorial Links มักจะเขียนโค้ดเป็นการแทรกลิงก์ในบทความที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน โดยลิงก์นั้นจะดูเป็นธรรมชาติและไม่เหมือนกับการโปรโมตหรือการแทรกลิงก์ที่ถูกจัดการอย่างเจาะจง ตัวอย่างโค้ดคือ
<p>หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาเว็บไซต์, คุณสามารถเยี่ยมชม <a href=”https://www.example.com” target=”_blank” rel=”noopener noreferrer”>Example Website</a> ซึ่งมีบทความที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์.</p>
Manual Link Building
การแนบลิงก์พร้อมข้อความสั้นๆ ไปยังช่องทางโพสต์บนเว็บไซต์ใหญ่ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับลิงก์เว็บไซต์ของเรา เป็นการทำ backlink ที่ช่วยลดโอกาสในการถูกมองว่าเป็นลิงก์สแปม (SPAM) จาก Search Engine ได้มากขึ้น
Manual Link Building คือการแทรกลิงก์ในเว็บไซต์หรือบล็อกที่สามารถควบคุมเนื้อหาได้ โดยลิงก์จะเกี่ยวข้องกับบทความ ตัวอย่างโค้ด เช่น
<p>เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO ที่ <a href=”https://www.example.com” target=”_blank” rel=”noopener noreferrer”>Example SEO Website</a>.</p>

ประเภทของลิงก์ที่ไม่ควรพลาด เสริมพลังให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก
ลิงก์ในการทำ Backlink มีหลายประเภท การเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบทความและหน้าเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อผลลัพธ์ที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ทั้งกับผู้ใช้งานและ Search Engine โดยต้องใช้ Anchor Text ที่เหมาะสมเพื่อเชื่อมโยงกับเนื้อหาอย่างชัดเจน มาดูกันว่า มีหลักการอะไรบ้างในการเลือกใช้ลิงก์เหล่านี้
ลิงก์แบบคำตรงตัว (Exact-Match Link)
การทำ Backlink แบบนี้คือการใช้ชื่อ URL ให้ตรงกับหัวข้อและเนื้อหาในบทความ เช่น ถ้าหัวข้อคือ “รีวิว Event ใหญ่ส่งท้ายปีที่ Central World” ลิงก์จะเป็นประมาณ “www.aaaaaaa.com/articles/Review-Event_CentralWorld/” ซึ่งช่วยให้ทั้งคนอ่านและ Google เข้าใจง่ายขึ้นว่าบทความเกี่ยวกับอะไร แถมยังมักฝังลิงก์แบบ Hyperlink ไว้ในข้อความอีกด้วย เลยเป็นวิธีที่หลายคนชอบใช้ เพราะช่วยดันอันดับบน Google ได้ง่ายและเร็ว
ลิงก์แบบวลีหรือประโยค (Partial-Match Link)
การเชื่อมโยงลิงก์ไปยังบทความอื่นๆ ในเว็บไซต์ของตัวเอง โดยใช้ข้อความจากหัวข้อบทความมาทำเป็น Hyperlink เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้คนอ่านคลิกไปดูเนื้อหาเพิ่มเติมได้ง่ายขึ้น แถมยังช่วยให้เขาอยู่ในเว็บเรานานขึ้นด้วย มักเห็นได้ในส่วนพวก “เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง” หรือ “บทความแนะนำ” ที่มีลิงก์หัวข้อให้กดเข้าไปดูต่อได้เลย เป็นวิธีที่หลายเว็บนิยมใช้กัน เพราะช่วยทั้งเรื่องประสบการณ์ User และ SEO ไปพร้อมกัน
ลิงก์ชื่อแบรนด์ (Branded Link)
Backlink แบบนี้จะเจอบ่อยเวลามีคนแนบลิงก์หน้าเว็บไซต์หลักแบบตรงๆ อย่างพวกแนะนำเว็บ หรือบอกช่องทางติดต่อ โดยพิมพ์เป็น URL ยาวๆ ไปเลย ซึ่งแบบนี้เสี่ยงโดนมองว่าเป็นสแปมอยู่เหมือนกัน วิธีที่ดีกว่าคือเอาชื่อเว็บหรือชื่อช่องทางมาใช้เป็นข้อความ เช่น เขียนว่า “Facebook” แล้วฝังลิงก์ไว้ในคำนั้น จะดูเนียนกว่า ช่วยให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น และไม่โดนแบนง่ายๆ ด้วย
ลิงก์ดึงดูดความสนใจ (Generic Link)
การใส่ Backlink แบบนี้คือแทรกไว้ในคำที่ชวนให้คนกดง่ายๆ อย่าง “คลิกที่นี่”, “ดูเพิ่มเติม”, หรือ “อ่านต่อที่นี่” ซึ่งช่วยเพิ่มยอดคนเข้าชมได้ดี เพราะคนเห็นแล้วมักจะคลิกแต่ในมุมของคะแนน SEO จาก Search Engine อาจไม่ได้เยอะเท่าการใช้คีย์เวิร์ดตรงๆ แต่ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ได้ยอดคลิกหรือ Traffic Organic เยอะพอตัวเลย
ลิงก์เปล่า (Naked Link)
การทำ Backlink แบบแปะลิงก์เต็มๆ ลงในเนื้อหาไม่ค่อยแนะนำเท่าไร เพราะทำให้บทความดูไม่น่าอ่านและลดความน่าเชื่อถือลง แถม Google ไม่ค่อยให้คะแนน SEO กับลิงก์แบบนี้อีกด้วย ถ้าจำเป็นต้องใส่จริงๆ แนะนำให้ใส่ไว้ช่วงท้ายในรูปแบบของการอ้างอิงหรือแหล่งที่มา จะดูเรียบร้อยและดูดีกว่า
ลิงก์รูปภาพ (Images Link)
วิธีสร้าง Backlink แบบนี้คือการใส่ลิงก์ไว้ในรูปภาพ คลิกที่รูปแล้วเด้งไปยังเว็บไซต์ที่ต้องการได้เลย มักเห็นกันบ่อยตามแบนเนอร์โฆษณาบนหน้าเว็บต่างๆ เป็นอีกวิธีที่ช่วยดึงคนเข้าเว็บได้แบบไม่ต้องพึ่งข้อความ

เปรียบเทียบชัดๆ กับตัวอย่าง Backlink คุณภาพ vs Spam
ก่อนทำ Backlink ควรเข้าใจว่าแบบไหนช่วยดัน SEO และแบบไหนเสี่ยงคือสแปม ลิงก์ที่ดีควรมีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทความ ขณะที่ลิงก์ที่ไม่เกี่ยวข้องอาจส่งผลเสียกับเว็บไซต์ มาเปรียบเทียบความต่างกันให้ชัดเจนยิ่งขึ้นกัน
ตัวอย่าง Backlink คุณภาพ
- Local Listings และ Directories คือ Backlink ที่ได้ง่ายที่สุด เป็นลิงก์ที่ควรเริ่มทำก่อน เพราะมีโอกาสได้สูงและค่อนข้างมั่นคง
- Industry-Specific Directories คือวิธีสร้าง Backlink ผ่านไดเรกทอรีที่เฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรม ซึ่งอาจเป็นทั้งในท้องถิ่น ระดับประเทศ หรือระดับโลก ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม
- Existing Relationships คือการใช้ความสัมพันธ์ที่มีอยู่แล้วในการสร้างลิงก์ โดยไม่ใช่แค่การส่งลิงก์ไปยังไดเรกทอรีอีกต่อไป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนคุณค่าเพื่อสร้างลิงก์
- Guest Posting คือการค้นหาบล็อกธุรกิจและอินฟลูเอนเซอร์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอเขียนบทความเป็นแขกรับเชิญบนเว็บไซต์ของพวกเขา
- Backlink ที่เกี่ยวกับข่าวและแถลงข่าวอาจไม่เหมาะกับทุกธุรกิจ แต่ในบางอุตสาหกรรมสามารถใช้ได้ผลดี โดยต้องมั่นใจว่าข่าวที่เผยแพร่มีความสำคัญและน่าสนใจ
- Rich content คือเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง น่าสนใจ และแตกต่างจากทั่วไป ซึ่ง Moz เรียกว่า 10x content เป็นประสบการณ์เนื้อหาที่ลึกซึ้งและน่าสนใจ
- ลิงก์ด้านการบริจาคและการสนับสนุนเป็นวิธีที่ดีในการได้ลิงก์จากแหล่งท้องถิ่น พร้อมทั้งได้สนับสนุนชุมชน
- การสร้างเครือข่ายออนไลน์คือการสร้างความสัมพันธ์ผ่านการแลกเปลี่ยนลิงก์ คล้ายกับการแจกบัตรธุรกิจในงาน แต่ผลลัพธ์คือการได้รับลิงก์ที่เป็นการสนับสนุนเว็บไซต์ของคุณ
ตัวอย่าง Spam Backlink
- ลิงก์ที่จ่ายเงินไม่เสมอไปที่ไม่ดี เช่น การซื้อพื้นที่โฆษณาบนเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องเป็นการแลกเปลี่ยนที่สามารถยอมรับได้ แต่บางไดเรกทอรีที่คุณภาพต่ำอาจดูเหมือนสแปมและนำไปสู่การทำลิงก์ฟาร์ม
- ลิงก์ที่ซ่อนคือเทคนิคที่ไม่ถูกต้องใน SEO ควรหลีกเลี่ยงทุกกรณี ถ้าเว็บไซต์เสนอลิงก์แบบซ่อน อย่าเข้าไปยุ่งเด็ดขาด
- ฟอรัมและบล็อกสามารถคือวิธีดีในการสร้าง Backlink แต่ต้องเลือกใช้ระมัดระวัง การใส่ลิงก์ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาถูกมองว่าเป็นสแปม
- ลิงก์แบบแลกเปลี่ยน (Reciprocal Links) ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีเสมอไป แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะเป็นเทคนิค SEO ที่เก่าและเกี่ยวกับการแลกลิงก์ระหว่างเว็บไซต์
- ลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์ที่ไม่รู้จักและไม่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์
- ลิงก์ที่มีการซ้ำซ้อนในหน้าเดียวกัน
- ลิงก์ที่อยู่ในคอมเมนต์สแปม
- ลิงก์จากประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา

วิธีเริ่มต้นสร้าง Backlink อย่างเป็นระบบ
การหา Backlink สามารถทำได้หลายวิธี โดยแต่ละวิธีมีทั้งข้อดีและข้อควรระวังที่แตกต่างกันไป มาดูกันว่าจะมีวิธีไหนบ้างที่ช่วยเสริมการทำ SEO และทำให้เว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพมากขึ้น
วิเคราะห์และหา Backlink จากคู่แข่ง
สามารถเริ่มต้นโดยใช้เครื่องมือ SEO อย่าง Ahrefs, SEMrush, Majestic หรือ Ubersuggest เพื่อลองวิเคราะห์คู่แข่ง แค่ใส่ URL ของเว็บไซต์คู่แข่งลงไปในเครื่องมือเหล่านี้ แล้วดูว่าเขามีลิงก์มาจากไหนบ้าง พอเห็นแหล่งที่มาของลิงก์แล้ว ลองขอลิงก์จากแหล่งเดียวกันดู เลือกลิงก์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ แล้วก็ติดตามดูผลลัพธ์ว่า SEO ของคุณดีขึ้นไหม
เขียนคอนเทนต์ให้ดี มีคุณภาพ อ่านง่าย
การเขียนคอนเทนต์ที่ดีและมีคุณภาพนั้นต้องเริ่มจากการเข้าใจผู้ที่อ่านและคำนึงถึงความชัดเจนในการสื่อสาร คอนเทนต์ที่ดีจะต้องมีลำดับที่เข้าใจง่าย และไม่ยาวเกินไปจนผู้อ่านเบื่อ ดังนั้นให้เน้นการใช้ภาษาที่เรียบง่ายและกระชับ แบ่งเป็นย่อหน้าสั้นๆ และใช้หัวข้อย่อยที่ช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมของเนื้อหาชัดเจน
นอกจากนี้ การใส่ Call-to-Action (CTA) เช่น “คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติม” หรือ “สมัครรับข่าวสาร” ยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจและกระตุ้นให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมกับเนื้อหามากขึ้น

วิธีสร้าง Backlink แบบธรรมชาติให้มีคุณภาพสูง
เทคนิคในการทำให้ Backlink มีคุณภาพนั้นไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเกินไป บางครั้งสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยวิธีการที่เหมาะสม เช่น
เพิ่มความน่าเชื่อถือ ด้วยการติดต่อกับเว็บข่าว
วิธีนี้เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเฉพาะทาง เพราะเว็บไซต์ที่เจาะกลุ่มผู้อ่านชัดเจนจะมีโอกาสเข้าถึงสื่อใหญ่หรือเว็บข่าวได้ง่าย เราสามารถยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนการลงลิงก์บทความกับเว็บข่าว หรืออาจให้เว็บข่าวนำบทความของเรามาเป็นคอนเทนต์และแทรกลิงก์บทความเก่าของเว็บเราด้วย วิธีนี้ช่วยเสริมคุณภาพและการเข้าถึงของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
เชื่อมโยงบล็อกนอกกับเว็บไซต์หลัก
เทคนิคนี้ทำได้ 2 แบบ คือสร้างเว็บบล็อกฟรีขึ้นมาเอง แล้วเขียนบทความดีๆ พร้อมแนบลิงก์กลับมายังเว็บหลักได้ตามใจหรือจะฝากลิงก์ไว้ในช่องคอมเมนต์ของบล็อกคนอื่น แต่ควรเขียนให้เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้นๆ จะได้ดูน่าเชื่อถือและไม่เป็นสแปม
หาข้อมูลด้วย Google Search
การเสิร์ชชื่อเว็บหรือบทความของเราบน Google ช่วยให้รู้ว่าเว็บเราติดอันดับไหนบ้าง และมีลิงก์ไหนที่โยงกลับมาหาเรา โดยสามารถใช้ประโยชน์จากหัวข้อ “การค้นหาเพิ่มเติม” ที่ Google แนะนำ เพื่อดูคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับหลักการจัดอันดับของ Google Algorithm ที่ให้ความสำคัญกับความเกี่ยวข้องของคอนเทนต์และคุณภาพของลิงก์ ช่วยให้เราวางแผนปรับปรุง SEO และต่อยอดบทความได้ตรงจุดมากขึ้น
หมั่นย้อนดูเว็บไซต์เก่า
การเข้าไปดูหรือคลิกบทความเก่าๆ บนเว็บไซต์ ช่วยกระตุ้นให้ Search Engine มองว่าเว็บยังมีการเคลื่อนไหว มีการใช้งานต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลดีต่อการรักษาอันดับและคะแนน SEO เพราะเหมือนเป็นการบอกว่าเว็บเรายังอัปเดตและมีคุณภาพอยู่เสมอ
ทำ Outreach เพื่อสร้าง SEO Backlink
การทำ Outreach คือการติดต่อเว็บหรือบล็อกที่เนื้อหาใกล้เคียงกับเรา เพื่อขอให้เขาแปะลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ อาจแนบคอนเทนต์คุณภาพ เสนอ Guest Post หรือแลกเปลี่ยนประโยชน์ร่วมกัน วิธีนี้ช่วยให้ได้ลิงก์ที่เกี่ยวข้องและมีคุณภาพ แต่ก็ต้องใช้เวลาและความใส่ใจในการสื่อสาร
หากคุณไม่สะดวกลงมือเอง Minimice มีบริการดูแลเรื่อง SEO แบบครบวงจร รวมถึงการทำ Outreach โดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยวิเคราะห์คู่แข่ง คัดเว็บเป้าหมาย และสร้างคอนเทนต์ที่เหมาะสม เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณได้ Backlink คุณภาพและช่วยดันอันดับให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
Guest Post ช่วยเพิ่มการมองเห็น
Guest Post คือการเขียนบทความลงเว็บไซต์อื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรา และแทรกลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา วิธีนี้ช่วยเพิ่มการมองเห็นและ SEO เพราะบทความของเราจะไปอยู่ในเว็บไซต์ที่มีผู้ติดตามหรือกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ทำให้คนเห็นแบรนด์หรือเว็บไซต์ของเรามากขึ้น หากบทความดีก็มีโอกาสที่ผู้อ่านจะคลิกลิงก์กลับมายังเว็บไซต์เรา ซึ่งช่วยเพิ่มทราฟฟิกและอันดับ SEO
แชร์บทความบน Social Media เพื่อดึงดูดผู้ชม
เราสามารถโพสต์บทความในเว็บไซต์หลายๆ แห่งแล้วแทรกลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา หรือคอมเมนต์ในบทความต่างๆ พร้อมแทรกลิงก์ได้ แต่ต้องระวังไม่ให้โพสต์มากเกินไปหรือสแปมเว็บคนอื่น เพราะถ้า Google ตรวจจับได้ อาจทำให้เว็บไซต์ของเราโดนลงโทษได้
ข้อควรระวังสำหรับการสร้าง Backlink
ก่อนที่เราจะเข้าไปสร้าง Backlink เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ให้ได้ผลดี มีข้อควรระวังบางอย่างที่ควรรู้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง เช่น
- การสร้าง Backlink ควรมาจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือและมีผู้เข้าชมสูง เพราะจะช่วยเพิ่มคุณภาพให้เว็บไซต์เราและส่งผลดีต่อการจัดอันดับใน Google ควรหลีกเลี่ยงการทำลิงก์จากเว็บไซต์ที่อันตราย เช่น เว็บพนันหรือเว็บไซต์ผิดกฎหมาย
- การทำ Backlink ควรเลือกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหรือวัตถุประสงค์เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา เพราะ Google จะพิจารณาความเกี่ยวข้องเพื่อความน่าเชื่อถือและผลกระทบต่อการจัดอันดับ
- การวาง Backlink ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่าย เช่น ด้านบนของเนื้อหาจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ลิงก์ถูกคลิกมากขึ้นและมีคุณภาพ
- อย่าทำ Backlink มากเกินไป เพราะ Google อาจคิดว่าคุณพยายามทำให้เว็บไซต์ตัวเองดูดีเกินจริง และอาจทำให้เว็บไซต์โดนลงโทษได้
- เนื้อหาที่ใช้ทำ Backlink ควรมีคุณภาพและไม่ควรคัดลอกจากที่อื่น เพราะ Google ให้ความสำคัญกับงานที่มีคุณภาพ
สรุป
Backlink คือเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้ SEO ของเว็บไซต์คุณประสบความสำเร็จและมีคุณภาพ หากทำอย่างรอบคอบและมีความน่าเชื่อถือ เว็บไซต์ของคุณจะสามารถขึ้นอันดับต้นๆ บน Google ได้ การสร้าง Backlink ต้องคำนึงถึงแหล่งที่มาของลิงก์และตำแหน่งที่วางลิงก์ เพื่อให้เว็บไซต์ที่เชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของธุรกิจเรา ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ SEO และลดความเสี่ยงจากการโดนลงโทษจาก Google อีกทั้งการสร้างเนื้อหาคุณภาพและหลีกเลี่ยงการสร้างลิงก์จำนวนมากเกินไป จะช่วยให้เว็บไซต์ของเรามีโอกาสขึ้นอันดับสูงได้อย่างยั่งยืน
หากคุณกำลังมองหาเอเจนซีที่เชี่ยวชาญด้านการทำ Backlink Minimice คือคำตอบที่ดีสำหรับคุณ เราคือเบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจชั้นนำมากมาย และบริการ Digital Marketing ที่ครบวงจร
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Backlink (FAQ)
การสร้าง Backlink คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพให้กับ SEO ของเว็บไซต์ แต่ยังมีหลายคำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับ Backlink วันนี้เราจะมาช่วยตอบคำถามที่พบบ่อย เพื่อให้เข้าใจการใช้ Backlink อย่างถูกต้องและเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณเติบโตได้มากขึ้น
Backlink สายเทาคืออะไร?
Backlink สายเทาคือการสร้างลิงก์ที่ไม่ได้มาจากแหล่งที่มีคุณภาพหรือไม่ได้ทำตามแนวทางที่ Google กำหนด อาจรวมถึงการใช้เทคนิคที่อาจหลีกเลี่ยงการตรวจจับหรือใช้วิธีที่ไม่เป็นธรรม เช่น การซื้อขายลิงก์ หรือการใช้ลิงก์จากเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
Backlink ช่วยส่งเสริมการทำ SEO อย่างไร
Backlink ช่วยส่งเสริมการทำ SEO โดยการเชื่อมโยงเว็บไซต์ของคุณกับแหล่งที่มีคุณภาพ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอำนาจของเว็บไซต์ในสายตาของ Google ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสขึ้นอันดับในผลการค้นหาได้ดีขึ้น
การสร้าง Backlink จากเว็บไซต์อื่นต้องทำอย่างไร
การสร้าง Backlink จากเว็บไซต์อื่นทำได้โดยการติดต่อเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณและขอลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ เช่น การเขียน Guest Post หรือการร่วมมือในการแลกเปลี่ยนลิงก์ ควรเลือกเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ลิงก์มีประสิทธิภาพ