SEO คืออะไร? สรุปวิธีทำ SEO ง่ายๆ อยากติดอันดับห้ามพลาด!

SEO คืออะไร? เจาะลึกกลยุทธ์ทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google ปี 2026

Table of Contents

Quick Summary: สรุปจบใน 1 นาที

หากคุณไม่มีเวลาอ่านทั้งหมด นี่คือแก่นสำคัญที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ SEO:

  • SEO (Search Engine Optimization) คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ Google และ Search Engine อื่นๆ มองเห็นว่าเป็น “คำตอบที่ดีที่สุด” เพื่อชิงพื้นที่บนหน้าผลการค้นหาแบบ Organic (ฟรี)
  • Landscape เปลี่ยนไปแล้ว: ปีนี้ไม่ใช่แค่ Google อีกต่อไป แต่คือยุคของ “Search Everywhere” ลูกค้าค้นหาข้อมูลบน TikTok, YouTube, Instagram และ Marketplace พฤติกรรมนี้บังคับให้แบรนด์ต้องทำ SEO บนทุกแพลตฟอร์ม
  • AI Search (SGE): Google กำลังเปลี่ยนจาก Search Engine เป็น “Answer Engine” ด้วยระบบ AI Overviews ที่สรุปคำตอบให้ทันที เป้าหมายของ SEO ยุคใหม่คือการทำเนื้อหาให้ AI หยิบไป “อ้างอิง” (Citation) ไม่ใช่แค่การติดอันดับลิงก์
  • เริ่มทำ SEO ได้ทันที: เริ่มต้นด้วยการ Audit เว็บไซต์, วางโครงสร้าง Keyword Strategy, ปรับ Technical SEO และสร้าง Content คุณภาพสูงที่เน้น E-E-A-T
  • ความสำเร็จวัดที่ ROI: SEO ที่ดีต้องไม่ได้แค่ Traffic แต่ต้องสร้าง Conversion และยอดขายที่วัดผลได้จริง

เชื่อว่าหลายคนที่มีธุรกิจหรือสนใจทำการตลาดออนไลน์ น่าจะเคยเห็นคำว่า SEO ผ่านตากันมาบ้าง และอาจสงสัยว่า SEO คืออะไร? — การทำ SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ บนหน้าแสดงผลการค้นหา เช่น Google ช่วยเพิ่มการมองเห็นแบรนด์ เน้นการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งานเป็นหลัก

จากมือใหม่สู่ผู้เชี่ยวชาญในบทความเดียว มาอัปเดตความรู้ว่า SEO คืออะไร และเทคนิคในการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงใน Google จาก บริษัทรับทำ SEO ชั้นนำในประเทศอย่างเรา Minimice Group

SEO คืออะไรฦ จากธุรกิจไร้ตัวตน สู่แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ

SEO คืออะไร? ความหมายที่แท้จริงที่มากกว่าแค่ “การทำอันดับ”

หลายคนเข้าใจว่า SEO (Search Engine Optimization) คือการทำให้เว็บติดหน้าแรก แต่ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญอย่างเราและทีมงาน Minimice Group การทำ SEO คือ “ศิลปะและวิทยาศาสตร์ในการสื่อสารกับ Algorithm” ครับ

มันคือกระบวนการปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ (Website Quality Improvement) เพื่อให้ Search Engine อย่าง Google, Bing หรือ Yahoo เข้ามาเก็บข้อมูล (Crawl) และนำไปจัดอันดับ (Index) ได้ง่ายที่สุด โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน (User Intent) ให้ตรงจุดที่สุด

“SEO is not about tricking Google. It’s about partnering with Google to provide the best search results for Google’s users.”Phil Frost

จากการศึกษาข้อมูลเชิงลึกของ Search Engine Land ซึ่งได้เผยแพร่ไว้ที่ https://searchengineland.com/seo-vs-ppc-pros-cons-246239 ระบุว่า การทำ SEO ที่ถูกต้องสามารถสร้างผลลัพธ์ที่คุ้มค่าในระยะยาวและเพิ่มความน่าเชื่อถือได้มากกว่า เมื่อเทียบกับการยิงโฆษณาแบบ Paid Search เพียงอย่างเดียว ซึ่งตอกย้ำว่า Organic Search ยังคงเป็นช่องทางหลักที่ผู้คนใช้นำทางบนโลกดิจิทัล

ทำไมธุรกิจต้องทำ SEO? (Why SEO Matters?)

ในยุคที่ “Search First” เป็นพฤติกรรมหลักของผู้บริโภค หากลูกค้าค้นหาชื่อสินค้าหรือบริการของคุณแล้วไม่เจอ เท่ากับว่าธุรกิจของคุณ “ไม่มีตัวตน” บนโลกออนไลน์ ข้อมูลจาก Search Engine Journal ยืนยันว่า 53.3% ของ Traffic ทั้งหมดบนเว็บไซต์มาจาก Organic Search นั่นหมายความว่า ถ้าคุณทิ้ง SEO คุณกำลังทิ้งลูกค้ากว่าครึ่งไปให้คู่แข่ง

  • เจาะกลุ่มลูกค้าที่พร้อมซื้อ (High Intent Leads): คนที่ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด (เช่น “รับทำ SEO ที่ไหนดี”) คือคนที่มีความต้องการซื้ออยู่แล้ว โอกาสปิดการขายจึงสูงมาก
  • สร้างความน่าเชื่อถือ (Brand Credibility): เว็บที่ติดอันดับแรกๆ มักถูกมองว่าเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆ โดยอัตโนมัติ
  • ลดต้นทุนระยะยาว (Cost Efficiency): แม้ช่วงแรกต้องลงแรงเยอะ แต่เมื่อติดอันดับแล้ว คุณจะได้ Traffic ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง ต่างจากการยิง Ads ที่หยุดจ่ายเงินเมื่อไหร่ Traffic ก็หายทันที

การทำงานของ Search Engine (How Search Engines Work)

เพื่อให้เข้าใจ SEO อย่างถ่องแท้ เราต้องเข้าใจก่อนว่า Google ทำงานอย่างไร? ลองจินตนาการว่า Google เป็น “บรรณารักษ์” ของห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีหนังสือ (เว็บไซต์) เป็นล้านล้านเล่ม หน้าที่ของบรรณารักษ์คนนี้คือการหาหนังสือที่ตรงกับคำถามของคุณที่สุดมาวางตรงหน้า

กระบวนการนี้แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ซึ่งทาง Moz เว็บไซต์ด้าน SEO ชื่อดังระดับโลกได้อธิบายไว้อย่างชัดเจน ดังนี้:

2.1 Crawling (การเก็บข้อมูล)

นี่คือขั้นตอนที่ Google ส่งหุ่นยนต์จิ๋วที่เรียกว่า “Spiders” หรือ “Crawlers” (Googlebot) ออกไปท่องเที่ยวตามเว็บไซต์ต่างๆ ผ่านลิงก์ (Links) บอทจะกระโดดจากหน้าหนึ่งไปสู่อีกหน้าหนึ่งเพื่อสำรวจว่ามีเนื้อหาอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นบ้าง

  • สิ่งที่ต้องทำ: คุณต้องมั่นใจว่าเว็บไซต์ของคุณไม่มี “กำแพง” กั้นบอท (เช่น ไฟล์ Robots.txt ที่ตั้งค่าผิด) และมีการทำ Internal Linking ที่ดีเพื่อให้บอทเดินทั่วถึง

2.2 Indexing (การจัดทำดัชนี)

เมื่อบอทเจอเนื้อหาแล้ว มันจะนำข้อมูลเหล่านั้นกลับไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลขนาดยักษ์ที่เรียกว่า “Google Index” เปรียบเสมือนการนำหนังสือเข้าชั้นวาง โดยจัดหมวดหมู่ว่าหน้านี้เกี่ยวกับอะไร มีคีย์เวิร์ดอะไร

  • สิ่งที่ต้องทำ: เนื้อหาของคุณต้องมีความเป็น Original (ไม่ก๊อปปี้ใคร) และมีโครงสร้าง HTML ที่ชัดเจน เพื่อให้ Google จัดหมวดหมู่ได้ถูกต้อง

2.3 Ranking (การจัดอันดับ)

เมื่อผู้ใช้งานพิมพ์คำค้นหา Google จะทำการประมวลผลผ่าน Algorithm ที่ซับซ้อนกว่า 200 ปัจจัย (Ranking Factors) เพื่อคัดเลือกหน้าเว็บจาก Index ที่ “ดีที่สุด” มาแสดงผลในหน้าแรก

  • สิ่งที่ต้องทำ: นี่คือหน้าที่ของการทำ SEO ทั้งหมด เพื่อตอบโจทย์ 200 ปัจจัยนั้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

Search Everywhere Optimization: SEO ยุคใหม่ที่ต้องแสดงทุกพื้นที่

ในอดีต เมื่อเราพูดถึง SEO เราหมายถึง Google เท่านั้น แต่ในปัจจุบัน พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อ้างอิงจากรายงานข่าวของ TechCrunch ที่ได้นำเสนอข้อมูลภายในของ Google ผ่านทางเว็บไซต์ https://techcrunch.com/2022/07/12/google-exec-suggests-instagram-and-tiktok-are-eating-into-googles-core-products-search-and-maps/ เปิดเผยว่า เกือบ 40% ของคนรุ่นใหม่ (Gen Z) เลือกที่จะค้นหาสถานที่กินเที่ยวหรือรีวิวสินค้าผ่าน TikTok และ Instagram ก่อน Google Maps หรือ Google Search เสียอีก

นี่คือจุดกำเนิดของกลยุทธ์ “Search Everywhere Optimization” คือการทำ SEO ให้แบรนด์ของคุณถูกค้นเจอใน “ทุกที่” ที่ลูกค้าของคุณอยู่

2.1 TikTok SEO: เมื่อวิดีโอคือคำตอบ

TikTok ไม่ใช่แค่แอปเต้น แต่เป็น Search Engine รูปแบบวิดีโอ การทำ SEO บน TikTok ต่างจาก Google ตรงที่เน้น “ความสดใหม่” และ “Engagement”

  • Keywords in Video: อัลกอริทึมของ TikTok สามารถ “ฟัง” เสียงในคลิปและ “อ่าน” ข้อความบนวิดีโอ (Text Overlay) ได้ คุณต้องพูด Keyword สำคัญออกมาในคลิป
  • Caption & Hashtags: เขียนแคปชั่นที่มี Keyword หลัก และใช้ Hashtag ที่เฉพาะเจาะจง (Niche) ผสมกับ Mass Hashtag
  • Trend Leveraging: การเกาะกระแสไวรัลช่วยเปิดการมองเห็น (Visibility) ได้มหาศาล

2.2 YouTube SEO: แหล่งค้นหาอันดับ 2 ของโลก

YouTube เป็น Search Engine ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก Google การทำ SEO ที่นี่เน้นเรื่อง “Watch Time” และ “Click-Through Rate”

  • Video Title & Description: ต้องเขียนให้ดึงดูดและแทรก Keyword ใน 100 ตัวอักษรแรก
  • Tags & Categories: ช่วยจัดหมวดหมู่ให้ AI เข้าใจเนื้อหา
  • Chapters (Timestamps): การแบ่งช่วงเวลาในคลิปช่วยให้ Google นำคลิปของคุณไปแสดงบนหน้าค้นหาหลักได้ (Key Moments)

2.3 E-Marketplace SEO (Shopee/Lazada)

สำหรับธุรกิจ E-Commerce การทำ SEO บนแพลตฟอร์มเหล่านี้คือทางรอด

  • Product Naming: ตั้งชื่อสินค้าโดยใช้สูตร [แบรนด์ + ประเภทสินค้า + คุณสมบัติเด่น + รุ่น/สี] เพื่อให้ตรงกับคำค้นหา
  • Sales History & Reviews: ยิ่งขายได้เยอะและรีวิวดี ระบบยิ่งดันอันดับให้สูงขึ้น

Minimice Insight: การทำ Search Everywhere ไม่ได้แปลว่าต้องทำทุกช่องทาง แต่ต้องเลือกว่า “ลูกค้าของคุณสิงอยู่ที่ไหน” แล้วไปดักรอที่นั่นให้ถูกจังหวะ

ประเภทของการทำ SEO: 3 เสาหลักสู่ความสำเร็จ

การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ต้องทำควบคู่กันไปทั้ง 3 ด้าน เหมือนเก้าอี้สามขาที่ขาดขาใดขาหนึ่งไปไม่ได้ หากคุณปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่าง Minimice Group เราจะเน้นย้ำเสมอถึงความสมดุลของ 3 ส่วนนี้:

3.1 On-Page SEO (การปรับแต่งปัจจัยภายใน)

คือการปรับแต่งทุกอย่างที่อยู่ “บนเว็บไซต์ของเรา” ให้มีคุณภาพและสอดคล้องกับคีย์เวิร์ด

  • Keyword Research: การวิจัยคำค้นหาที่ลูกค้าใช้จริง ไม่ใช่คำที่เรามโนขึ้นเอง
  • Content Quality: การเขียนบทความที่มีประโยชน์ ลึกซึ้ง และตอบโจทย์ E-E-A-T
  • Title Tags & Meta Descriptions: เปรียบเสมือนป้ายหน้าร้าน ต้องเขียนให้น่าคลิก (Click-Through Rate สูง)
  • Header Tags (H1, H2, H3): การจัดลำดับความสำคัญของหัวข้อให้บอทเข้าใจโครงสร้างบทความ
  • Image Optimization: การบีบอัดรูปภาพและใส่ Alt Text เพื่อให้บอทรู้ว่ารูปคืออะไร

3.2 Off-Page SEO (การสร้างความน่าเชื่อถือจากภายนอก)

คือการกระทำต่างๆ ที่อยู่ “นอกเว็บไซต์ของเรา” เพื่อส่งสัญญาณบอก Google ว่าเว็บเราดังและน่าเชื่อถือ หลักการนี้อ้างอิงจากแนวคิดของ Backlinko ที่เน้นย้ำเรื่อง Authority

  • Backlinks: เปรียบเสมือนการ “โหวต” จากเว็บอื่น ถ้าเว็บดังๆ (เช่น เว็บสำนักข่าว, เว็บมหาวิทยาลัย) ลิงก์มาหาเรา Google จะมองว่าเราเจ๋งจริง
  • Social Signals: การแชร์เนื้อหาบน Social Media ช่วยเพิ่ม Traffic และสัญญาณความนิยม
  • Brand Mentions: การที่มีคนพูดถึงชื่อแบรนด์ของคุณในโลกออนไลน์ แม้ไม่มีลิงก์ ก็ช่วยเรื่อง SEO ได้ (เรียกว่า Linkless Mention)

3.3 Technical SEO (ประสิทธิภาพเชิงเทคนิค)

คือการปรับโครงสร้างหลังบ้านให้เว็บทำงานได้ลื่นไหล ไม่มีสะดุด

  • Site Speed: เว็บต้องโหลดเร็ว (Core Web Vitals) เพราะคนยุคนี้รอไม่ได้
  • Mobile-Friendliness: เว็บต้องแสดงผลสวยงามบนมือถือ (Google ใช้ Mobile-First Indexing)
  • SSL Certificate (HTTPS): ความปลอดภัยของเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับ
  • XML Sitemap: แผนที่เว็บไซต์ที่ช่วยให้บอทเดินเก็บข้อมูลได้ครบทุกหน้า

ตารางเปรียบเทียบ On-Page vs Off-Page vs Technical

ประเภท SEOจุดโฟกัสหลักตัวอย่างสิ่งที่ต้องทำความสำคัญ
On-Pageเนื้อหา & คีย์เวิร์ดเขียนบทความ, ปรับ Title/Meta, ใส่ Keywordสูงมาก (เป็นรากฐาน)
Off-Pageความน่าเชื่อถือ (Authority)หา Backlink, PR, Social Shareสูง (ตัวตัดสินอันดับแข่งกับคู่แข่ง)
Technicalประสิทธิภาพระบบความเร็วเว็บ, HTTPS, Sitemap, Mobile Friendlyจำเป็น (ถ้าไม่ดี ส่วนอื่นพังหมด)
SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร?

SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร?

หากดูเผินๆ SEO และ SEM ก็ฟังดูจะคล้ายกันมาก แต่จริงๆ แล้วทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันในรายละเอียดที่นักการตลาดออนไลน์ไม่ควรพลาด

  • SEO คือการขึ้นอันดับบน Google โดยการขึ้นแบบธรรมชาติ หรือ Organic เป็นหลัก ซึ่งการทำนั้นจะมีหลากหลายส่วน แต่สุดท้ายแล้ว SEO คือการทำเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์เนื้อหาของ User ไม่ว่าจะเป็นในส่วนการให้ความรู้หรือในส่วนบริการ 
  • SEM คือการขึ้นอันดับโดยการใช้เงิน หรือที่มีมาตรฐานการคิดแบบ CPC (Cost Per Click) ที่จะสามารถขึ้นอันดับได้ในทันที และผู้ใช้งานสามารถเข้าเว็บไซต์เราได้โดยการใช้เงินเป็นหลัก

หากเป็นเช่นนั้น เราควรทำแค่ SEM ไปก่อนดีไหม? เพราะ SEO นั้นใช้เวลานานกว่าเยอะ ในส่วนนี้ทาง Minimice จะแนะนำให้ทำ SEO และ SEM ควบคู่กัน เพื่อที่เราจะสามารถจับอันดับได้ทั้งคู่ ซึ่งเป็นหลักการที่ดีและเหมาะสำหรับทุกธุรกิจที่สามารถกระตุ้นยอดขายด้วย Google

ตำแหน่งในการขึ้นอันดับ SEO มีช่องทางไหนบ้าง?

“Tips! ตำแหน่งในการขึ้นอันดับ SEO มี Search Result, Google Image, Local SEO และ YouTube”

อันดับ SEO บนการค้นหา (Search Result)

อันดับ SEO บนการค้นหา (Search Result)

การติดอันดับ SEO บนผลการค้นหา (Search Result) คือการที่เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับสูงบนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP) ของ Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่นๆ โดยไม่ได้มาจากการซื้อโฆษณา แต่มาจากการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับเกณฑ์ของเครื่องมือค้นหา ซึ่งเรียกว่า “การติดอันดับแบบออร์แกนิก” หรือ “Organic Ranking”

อันดับ SEO บนการค้นหา (Search Result)

จากการวิเคราะห์ที่ได้อิงมาจาก Search Engine Journal นั้น การติดอันดับ 1 จะได้การคลิกมากกว่า 28.5% และอันดับ 2 นั้นลดลงมากถึง 50% หรือการคลิกเพียง 15.7% เท่านั้น บวกกับรูปภาพนั้น อันดับ 10 มีอัตราการคลิกเพียง 2.5% เท่านั้น ด้วยเหตุนั้นเองการติด Top 3 นั้นสามารถนำคลิกได้มากกว่า 50% แล้ว

อันดับ SEO บนรูปภาพ (Google Image)

อันดับ SEO บนรูปภาพ (Google Image)

ในช่อง Image ก็สามารถติดอันดับได้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งการติดอันดับของ Image นั้นจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเว็บไซต์ พร้อมกับ Alt Tag ที่นำมาติดในรูปภาพด้วย ทั้งนี้การขึ้นอันดับของ Google Image มีหลักเกณฑ์คนละแบบกับ Search อื่นๆ

โดยการค้นหาใน Google Image จะโดดเด่นในธุรกิจดังนี้

  • ธุรกิจขายรูปภาพ เช่น Shutterstock
  • ธุรกิจที่สร้างไอเดียให้กับลูกค้า
  • ธุรกิจที่ต้องดูรูป Before – After
  • ธุรกิจที่ให้ความรู้

การติด Google Image นั้นมีโอกาสที่จะมาแย่งพื้นที่บนหน้า Search ด้วยเช่นเดียวกัน เราสามารถเพิ่มยอดคลิกและการรับรู้แบรนด์ได้มากขึ้นด้วย

อันดับ SEO บนแผนที่ (Local SEO)

อันดับ SEO บนแผนที่ (Local SEO)

Local SEO คือหัวใจสำคัญสำหรับธุรกิจท้องถิ่นที่มีหน้าร้าน เป็นกลยุทธ์ SEO ที่ช่วยให้ User ในพื้นที่ใกล้เคียงค้นหาธุรกิจของคุณเจอได้ง่ายขึ้นผ่านการค้นหาที่ระบุตำแหน่ง ยิ่ง User หาเจอง่ายเท่าไร โอกาสที่จะมาที่ร้านของคุณก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักและเข้าถึงได้สะดวกสำหรับกลุ่มเป้าหมายในท้องถิ่น

การติดอันดับบน Google มอบความได้เปรียบที่สำคัญเหนือคู่แข่ง โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้านจริง (Brick & Mortar) ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับคลิกและได้ลูกค้ารวดเร็วกว่าการพึ่งพาเพียงการติดอันดับบนหน้าผลการค้นหาทั่วไป (Search Result) ยิ่งไปกว่านั้น หากคุณมีธุรกิจที่มีหลายสาขา การปรากฏบน Google Maps จะเป็นประโยชน์มากๆ ในการดึงดูดลูกค้าและเพิ่มการเข้าชมหน้าร้านของคุณ

อันดับ SEO บน VDO (YouTube)

อันดับ SEO บน VDO (YouTube)

YouTube SEO คือกระบวนการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างของคลิปวิดีโอ เพื่อให้สอดคล้องกับอัลกอริทึมของ YouTube การทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสที่วิดีโอของคุณจะปรากฏในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาเมื่อผู้ใช้ค้นหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ทำให้วิดีโอเข้าถึงผู้ชมได้มากขึ้น

การติดอันดับของ VDO นั้นจะสามารถเสริมให้ยอดวิวของ YouTube เพิ่มขึ้นได้อย่างมาก เหมาะกับหลายธุรกิจที่ต้องการเติบโตด้วย VDO ส่วนมากจะเป็นธุรกิจที่สามารถให้ความรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สเรียนต่างๆ ที่ความรู้ที่เป็นในเชิง How-To ด้วยเช่นเดียวกัน

อยากเริ่มต้นทำ SEO ต้องรู้อะไรบ้าง?

อยากเริ่มต้นทำ SEO ต้องรู้อะไรบ้าง?

“Tips! อยากเริ่มต้นทำ SEO ต้องรู้เกี่ยวกับ Keywords การปรับแต่ง On-Page SEO, Off-Page SEO, Technical SEO และการใช้ SEO Tools”

1. Keywords กุญแจสำคัญสู่การค้นหาที่ตอบโจทย์

Search Intent ที่แตกต่างกันไป เช่น ผู้ใช้อาจค้นหาคำว่า “น้ำปั่นสุขภาพ” เพื่อหาสูตรน้ำปั่นเพื่อสุขภาพ ซื้อน้ำปั่นสุขภาพ หาวิดีโอการทำน้ำปั่นสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งการสำรวจ Keywords และ Search Intent ของ Keywords จะช่วยให้รู้ว่า User กำลังสนใจอะไร และสามารถนำ Keywords นั้นไปกำหนดทิศทางคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์ User ส่วนใหญ่ได้

ซึ่งในกระบวนการทำ SEO จะมีการสอดแทรก Keywords ลงไปในคอนเทนต์เพื่อช่วยให้ Bot รู้ว่าคอนเทนต์นี้กำลังพูดถึงอะไร เมื่อ Bot เห็นว่าสิ่งที่ผลิตกับสิ่งที่ผู้ใช้งานค้นหาตรงกัน เว็บไซต์ก็จะได้รับการจัดอันดับที่สูงขึ้น

เข้าใจ Search Intent และหลักการติดอันดับของ Google

Search Intent เป็นเหมือนคำใหม่สำหรับใครหลายๆ คน ทั้งนี้หากสามารถวิเคราะห์ Search Intent ได้ ก็สามารถเขียนบทความหรือเขียนเนื้อหาให้ติดอันดับได้ไม่ยากเลย Search Intent คือความประสงค์หรือความตั้งใจในการค้นหาของผู้ใช้ โดยอยู่บนหลักการพื้นฐานที่ Google เคยแนะนำไว้อยู่ 2 ข้อ คือ E-E-A-T และ YMYL

E-E-A-T” Expertise, Experience, Authority, Trust

“YMYL (Your Money Your Life)” เงินและชีวิตของคุณ

คอนเทนต์ที่เกี่ยวกับเงิน สุขภาพ และสิ่งที่ส่งผลกระทบกับชีวิตของผู้ใช้งาน เป็นคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ คนให้ความสนใจ แต่ก็มีเงื่อนไขอีกมากมายที่ต้องพิจารณาประกอบ เช่น ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งหากไม่ถึงมาตรฐานของ Google หรือเนื้อหาส่งผลต่อความคิด การตัดสินใจ และความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้งาน การเขียนคอนเทนต์ประเภทนี้ก็อาจทำให้การติดอันดับต้นๆ เป็นไปได้ยาก

เลือก Keywords ให้ดีที่สุด

  • ใช้เครื่องมือช่วยหา Keyword ที่ต้องการ โดยใช้ Keyword Planner เพื่อค้นหาคำที่เหมาะสมที่สุด
    • สำหรับเว็บไซต์ใหม่ ควรเน้น Keyword ที่มีการค้นหาไม่มากนัก (ประมาณ 50-800 ครั้งต่อเดือน) โดยเริ่มจากการเก็บคำรอบข้างและคำที่ประกอบด้วย 2-5 คำสำหรับสินค้า ขณะที่บทความเน้น Keyword ที่มีการค้นหาน้อย 
    • ส่วนเว็บไซต์ที่ดำเนินการมาสักระยะ ควรเน้น Keyword ที่มีการค้นหาปานกลาง (ประมาณ 1,000 – 5,000 ครั้งต่อเดือน) และให้ความสำคัญกับการสร้าง On-Page ที่แข็งแกร่งและ Backlink ที่ตรงกับธุรกิจสำหรับสินค้า รวมถึงใช้ Keyword ที่กว้างขึ้นสำหรับบทความ
  • เข้าใจ Search Intent ในแต่ละ keyword ให้ดี หากต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับ ทำได้ลองค้นคีย์เวิร์ดใน Google แล้วดูเนื้อหา 5 อันดับแรก ว่าเป็นบทความให้ข้อมูลหรือขายสินค้า แล้วสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์และมีคุณภาพดีกว่าเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน
  • ตรวจสอบ Keyword คู่แข่ง เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการสร้าง Traffic ให้กับเว็บไซต์ โดยใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs วิเคราะห์ Keyword ที่คู่แข่งทำได้ดีและสร้าง Traffic ได้มากที่สุด แล้วนำมาปรับใช้เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้ทันที
On-Page SEO ปรับแต่งหน้าเว็บให้ตอบโจทย์ Google และ User

2. On-Page SEO ปรับแต่งหน้าเว็บให้ตอบโจทย์ Google และ User

On-Page SEO คือการปรับแต่งเนื้อหาที่อยู่บนเว็บไซต์ให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน และ Google Bot โดยมีเทคนิคหลักๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือคอนเทนต์และภาพประกอบ ดังนี้

Content ต้องมีคุณภาพ

Google จัดอันดับเว็บไซต์โดยพิจารณาจากความเกี่ยวข้องและคุณภาพของคอนเทนต์ การสร้างคอนเทนต์ให้ตอบคำถามผู้ใช้งานอย่างชัดเจนและครอบคลุม จึงเป็นหัวใจหลักในกระบวนการทำ SEO โดยคอนเทนต์ SEO มีหลากหลายประเภท เช่น บทความให้ความรู้ทั่วไป บทความ How-to บทความรวมไอเดีย หรือบทความแนะนำวิธีแก้ปัญหา เป็นต้น

เขียนเป็นระบบตาม SEO Structure

โครงสร้างคอนเทนต์ที่เป็นระบบ (HTML Structure) เช่น บทความมีหัวข้อหลัก หัวข้อรอง หรือหัวข้อย่อยเป็นลำดับ จะช่วยให้ Bot เข้าใจว่าในคอนเทนต์กล่าวถึงอะไรบ้าง

ส่วนการวาง Keyword อย่างเหมาะสมก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำ SEO โดยปกติแล้ว Keyword หลัก ควรมีความหนาแน่นประมาณ 1-3% ของบทความ เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นสแปม แต่ก็เพียงพอให้ Bot เข้าใจเนื้อหาหลักได้ ตำแหน่งการวาง Keyword ควรอยู่ในส่วนสำคัญ เช่น หัวข้อหลัก หัวข้อรอง หรือช่วงแรกๆ ของเนื้อหา และกระจายอยู่ทั่วทั้งหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ

นอกจากนี้การใช้ Keywords ที่ใกล้เคียง หรือ LSI Keywords (Latent Semantic Indexing Keywords) ร่วมด้วย จะช่วยเสริมความเข้าใจให้แก่ผู้ใช้งานและส่งสัญญาณที่ชัดเจนยิ่งขึ้นให้แก่ Bot

ปรับแต่ง Meta Tag

Meta tag คือองค์ประกอบที่อยู่ใน HTML เป็นส่วนอธิบายเนื้อหาของเว็บไซต์ และเป็นส่วนที่เครื่องมือใช้ในการทำความเข้าใจว่าหน้าเว็บไซต์นั้นเกี่ยวกับอะไร ซึ่งประกอบไปด้วย

  • Meta Title: Tag ที่อยู่ในส่วนหัวของบทความ เพื่อบอกว่าหัวข้อหลักของบทความคืออะไร
  • Meta Description: Tag ที่อยู่ในส่วนถัดมาจากหัวข้อหลัก เป็นส่วนที่สรุปเนื้อหาโดยย่อของบทความ

โดยสามารถปรับ Meta Tag ได้ในตัวเลือก Site Metadata ที่อยู่ใน Setting ของหลังบ้านแต่ละเว็บไซต์ การคิด Meta Tag สามารถอ้างอิงจากหัวข้อของบทความได้เลย ทั้งนี้ควรคำนึงถึงการวาง Keyword และความยาวด้วย เพราะหากยาวเกินไป ผู้ใช้งานอาจไม่เห็นข้อความทั้งหมด ทำให้พลาดข้อความที่พยายามจะสื่อสารได้ 

แล้วถ้ายังสงสัยว่าต้องเขียนเท่าไรถึงจะพอดี? เราแนะนำให้ตรวจสอบง่ายๆ โดยใช้เครื่องมือตรวจสอบ Meta Tag ฟรี จาก Minimice ได้เลย

ทำ Internal Link

Internal Link คือการเพิ่มลิงก์เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่นๆ ภายในเว็บไซต์เดียวกันของคุณลงในเนื้อหาบทความ การทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องและอ่านเพิ่มเติมได้อย่างสะดวก แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชม (Traffic) ให้กับคอนเทนต์ต่างๆ ภายในเว็บไซต์อีกด้วย การเชื่อมโยงภายในที่ดียังช่วยปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์และสนับสนุนการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา

ปรับแต่ง Schema

Schema (สคีมา) หรือ Schema Markup คือโค้ดที่คอยบอกประเภทข้อมูลและย่อยข้อมูล เพื่อให้ Google เข้าใจง่ายขึ้นว่าข้อมูลในเว็บไซต์เกี่ยวกับอะไร เช่น เป็นบทความทั่วไป หน้าขายผลิตภัณฑ์ ร้านอาหาร กิจกรรม หรือรีวิว เป็นต้น ขณะเดียวกันผู้ใช้งานจะเห็นข้อมูลสรุปบนหน้าแสดงผล (SERPs) และตัดสินใจได้ทันทีว่าเว็บไซต์มีข้อมูลที่กำลังตามหาอยู่หรือไม่ โดย Schema คือเทคนิคเชิงลึกที่สามารถปรับแต่งให้เพจโดดเด่นยิ่งขึ้นได้

เพิ่ม Alt-Text ที่ไม่ซ้ำใคร

ในมุมมองของผู้ใช้งาน รูปภาพดึงดูดความสนใจได้ดีกว่าตัวอักษร และช่วยให้คอนเทนต์สวยงามน่าอ่านมากขึ้น ส่วนในมุมมองของ Bot นั้น เมื่อเราใส่ภาพ เราสามารถเพิ่มคำอธิบายภาพ หรือเรียกว่า Alt Text ลงไปในภาพได้ ซึ่งจะช่วยให้ Bot เข้าใจว่าภาพนี้คืออะไร นำไปจัดได้ถูกหมวดหมู่ และดึงรูปไปแสดงผลในผลการค้นหารูปภาพที่เกี่ยวข้องได้

แม้ว่าการใช้รูปภาพจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องเลือกให้ดีด้วย รูปที่ใช้ควรมีความแปลกใหม่ หากใช้รูปภาพฟรีหรือ Stock Image ที่มีการใช้ซ้ำๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนองค์ประกอบใดๆ เลย อาจทำให้ Google เห็นว่าเนื้อหานี้ซ้ำซ้อนและส่งผลทำให้อันดับไม่ดีได้

ปรับ URL Slug ให้อ่านง่าย เข้าถึงได้

การใส่ Keyword ลงใน URL Slug ของเราด้วยนั้น สามารถช่วยเรื่อง On-Page ได้ดีมากๆ ทั้งนี้ ในส่วน URL Slug เราแนะนำให้ใช้เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น เพราะหากเป็นภาษาไทย Google จะอ่านไม่ออกและแปลงเป็นอักขระแปลกๆ แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ Google ยังคงสามารถจับความหมายของคำนั้นได้อยู่ดี

Off-Page SEO ปรับแต่งข้างนอกเว็บไซต์

3. Off-Page SEO ปรับแต่งข้างนอกเว็บไซต์

Off-Page SEO เป็นการปรับแต่งข้างนอกเว็บไซต์ ได้แก่

Link Building

Link Building คือการสร้าง Backlink ซึ่งหมายถึงลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์อื่นๆ และเชื่อมกลับมายังเว็บไซต์ กระบวนการนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการอ้างอิงข้อมูลหรือกล่าวถึงแบรนด์ (Brand Mentions) ซึ่งช่วยให้อันดับการค้นหาดีขึ้น

Backlink มี 3 ประเภท ดังนี้

  1. Natural-Editorial คือ Backlink ที่เกิดจากคอนเทนต์มีประโยชน์จนผู้ใช้งานนำไปแชร์หรืออ้างอิง
  2. Manual Link Building คือ Backlink ที่สร้างขึ้นเอง เช่น ทำวิดีโอเนื้อหาเดียวกับบทความที่เคยทำ แล้วใส่ลิงก์บทความต้นฉบับไว้ใต้วิดีโอ เพื่อชวนให้คนไปอ่านต่อ
  3. Non-Editorial คือ Backlink ที่เกิดจากการเอาลิงก์ไปแปะไว้ในเว็บบอร์ดที่เปิดให้แสดงความคิดเห็น เพื่อเชิญชวนให้คนไปอ่าน

Backlink เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าแบรนด์เป็นที่รู้จัก ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์น่าเชื่อถือและมีโอกาสได้อันดับสูงขึ้น แต่มี Backlink เยอะ ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะหาก Backlink จำนวนมากมาจากเว็บไซต์สแปม ก็อาจลดความน่าเชื่อถือและส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ได้เช่นกัน

Anchor Text

Anchor Text เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำ Backlink ซึ่งหมายถึงข้อความที่ถูกเน้น (Highlight) และใช้เป็น Hyperlink เชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ การเลือกใช้ Anchor Text อย่างเหมาะสมช่วยให้ Google เข้าใจหัวข้อหลักของ Backlink  โดย Anchor Text สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้

  • Brand
  • Naked URL
  • Exact Match
  • Phrase Match
  • Partial Match
  • Random Match

การเลือกใช้ Anchor Text มีผลต่อคะแนน SEO โดยตรง หากใช้ซ้ำมากเกินไป อาจทำให้เว็บไซต์ถูก Google ลงโทษ (Penalize) ซึ่งจะทำให้อันดับการค้นหาตกได้ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการใช้ Anchor Text ให้หลากหลายและเป็นธรรมชาติ

Local SEO

Local SEO คือเทคนิคในการทำให้ตัวตนในโลกออนไลน์เป็นที่รู้จักในระดับชุมชนเล็กๆ โดยโฟกัสคีย์เวิร์ดเฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งใกล้ๆ ธุรกิจของคุณ เช่น ร้านเบเกอรี ทองหล่อ

วิธีกระบวนการทำ Local SEO นอกจากทำในเว็บไซต์ของตัวเองแล้ว ควรจะทำใน Google My Business ควบคู่ไปด้วย โดย Google My Business คือเครื่องมือจัดการธุรกิจที่ช่วยให้คุณมีตัวตนอยู่บนพื้นที่ออนไลน์ได้ เพียงแค่เข้าไปเพิ่มชื่อแบรนด์ รายละเอียดการให้บริการ และพื้นที่ที่ให้บริการของธุรกิจในเว็บไซต์ Google My Business ข้อดีคือเมื่อมี User ค้นหาสินค้าและบริการในพื้นที่ให้บริการของคุณ คุณก็จะมีโอกาสปรากฏขึ้นมาบริเวณต้นๆ ของหน้าเว็บไซต์เลย

แชร์คอนเทนต์ผ่าน Social Media

นอกเหนือจากคอนเทนต์คุณภาพบนเว็บไซต์แล้ว การโปรโมตผ่านช่องทาง Social Media ของแบรนด์ก็มีความสำคัญต่อ SEO สามารถทำได้โดยการแชร์คอนเทนต์ หรือจัดกิจกรรมกระตุ้นผู้ใช้ให้เข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชม การมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ และยังอาจนำไปสู่การเกิด Natural-Editorial Backlink ซึ่งเป็นผลดีต่อการจัดอันดับบน Search Engine อีกด้วย

4. Technical SEO ปรับแต่งเว็บไซต์ให้รุ่ง Google ปลื้มทุกเม็ด

Technical SEO สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ เพียงใช้ Google Search Console เนื่องจาก GSC จะแสดงสิ่งที่ Google Bot นั้นเห็นจริง ซึ่งปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Page speed, Mobile Friendly หรือ UX/UI และส่วนอื่นๆ จะแสดงผลใน Google Search Console ทั้งหมด ซึ่ง Technical SEO เป็นการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ทางเทคนิค โดยมีปัจจัยดังนี้

ปรับ Page Speed ให้เร็วแรงทันใจ

การโหลดเว็บไซต์ที่รวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญของ Technical SEO เพราะหากใช้เวลาในการโหลดนานเกินไป Google จะมองว่าไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ เพราะผู้ใช้งานนอกจากต้องการข้อมูลที่ถูกต้องแล้ว ยังต้องการเข้าถึงได้รวดเร็วด้วย การปรับปรุง Page Speed ของเว็บไซต์จึงช่วยให้เว็บไซต์มีอันดับดีขึ้น และสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้งาน ลดอัตราการออกจากหน้าเว็บ (Bounce Rate) และเพิ่มระยะเวลาอยู่บนเว็บไซต์ ตรวจสอบและปรับปรุงได้ง่ายๆ ที่ Page Speed Insight

ปรับให้เป็น Mobile Friendly ใช้ง่าย ถูกใจ User

ในปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือมากกว่า 90 % และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นการทำเว็บไซต์จึงจำเป็นต้องคำนึงว่าหน้าตาของเว็บไซต์จะเป็นอย่างไรหากใช้งานจากการแสดงผลบนมือถือ เพราะ Google เองก็ประเมินข้อนี้เหมือนกัน สามารถเช็กว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมือถือหรือไม่ ได้ที่ Mobile-Friendly Test เลย!

ออกแบบ User Interface (UI) ให้น่าใช้

UI คือการออกแบบหน้าตาและระบบตอบโต้ให้น่าใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผล รูปแบบตัวอักษร แป้นพิมพ์ สัญลักษณ์ สี แสง เสียง หรือรูปภาพ เป็นต้น เมื่อเข้าไปในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันแล้วเห็นสีพื้นหลังและสีตัวอักษรที่จับคู่กันมาแล้วโดดเด่นสวยงาม หรือเมื่อพิมพ์สิ่งต่างๆ ก็อาจได้ยินเสียงต็อกแต็กจากแป้นพิมพ์ ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ถือว่าเป็น UI

เสริม User Experience (UX) ที่ดี

UX คือการออกแบบระบบให้ใช้งานง่ายและสะดวก เพื่อให้ผู้ใช้งานมีความรู้สึกดีต่อผลิตภัณฑ์ เช่น การวางสัญลักษณ์แว่นขยายและช่องค้นหาในมุมที่คุ้นเคยบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน รายละเอียดนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ UX

5. ใช้ SEO Tools ไม่มีพลาดทุกการทำ SEO

แม้ว่าขั้นตอนวิธีทำ SEO จะดูมีรายละเอียดมากมาย แต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องหาทางทำเองคนเดียว เพราะปัจจุบันมีเครื่องมือ SEO ให้เลือกสรรมากมาย จะมีเครื่องมือยอดนิยมอะไรบ้าง ตามมาดูกัน!

Google Keyword Planner

Google Keyword Planner

การเลือก Keyword ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างคอนเทนต์ เพื่อให้มั่นใจว่ากำลังตอบสนองความต้องการของผู้ชมอย่างแท้จริง มีเครื่องมือวางแผน Keyword ให้เลือกใช้อยู่หลายตัว โดย Google Keyword Planner เป็นตัวเลือกฟรีที่นิยมใช้ แต่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นบัญชีที่ใช้งาน Google Ads อยู่แล้ว หากไม่ได้ใช้ Google Ads คุณสามารถใช้ Ubersuggest เพื่อตรวจสอบ Keyword เบื้องต้นได้เช่นกัน

Snippet Checker

Snippet Checker

Snippet Checker คือเครื่องมือจำลองที่จะแสดงผลลัพธ์การค้นหาของ Google ในแบบที่ผู้ใช้จะเห็นจริง ช่วยให้คุณตรวจสอบว่าข้อมูลในส่วน Meta Tag แสดงผลครบถ้วนและเป็น SEO Friendly หรือไม่ คุณสามารถใช้เครื่องมือ Snippet Checker จาก Minimice ได้ฟรีเพื่อปรับแต่ง Snippet ของคุณให้ดึงดูดสายตาและเพิ่มโอกาสในการคลิก

Seoquake

Seoquake

Seoquake เป็น Extension ฟรีบน Google ที่คอยอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยเฉพาะแสดงตัวชี้วัดของ SEO ไม่ว่าจะเป็น On-page หรือ Off-page ในแต่ละหน้าเว็บ ที่เรานิยมใช้จะเป็นการดู Meta Tag ที่ปรับแต่งแล้ว การดูโครงสร้างหน้าเว็บคร่าวๆ ตลอดจนการดูอันดับ (Ranking) บนหน้าผลการค้นหา

Google Search Console

Google Search Console

Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google สำหรับใช้ในการตรวจสอบประสิทธิภาพ และแก้ไขข้อบกพร่องเว็บไซต์ ทั้งยังนิยมใช้ในการดูจำนวนคลิก (Click) การมองเห็น (Impression) และคำค้นหาที่มี Traffic เข้ามาจริง (Queries) เป็นต้น ซึ่งจำเป็นจะต้องเป็นเจ้าของเว็บไซต์นั้นๆ หรือมี Permission ในการเข้าถึงเท่านั้นจึงจะสามารถตรวจสอบข้อมูลหรือแก้ไขเพิ่มเติมเองได้

Semrush

Semrush

Semrush เป็นแพล็ตฟอร์มวิเคราะห์ค้นคว้า Keywords ข้อมูลการจัดอันดับ และตัวชี้วัดต่างๆ เช่น ปริมาณการค้นหาคำ (Search Volume) โดยบางเครื่องมือสามารถใช้งานได้ฟรี หรือคุณสามารถเลือกสมัครสมาชิกได้ในราคาต่อเดือนดังนี้

  • Pro – $119.95 (≈ 4,116 THB) 
  • Guru – $229.95 (≈ 7,896 THB) 
  • Business – $449.95(≈ 15,451 THB)
Ahref

Ahref

Ahref เป็นโปรแกรมวิเคราะห์รายงานผล SEO เชิงลึก ที่มีเครื่องมือต่างๆ สำหรับวิธีทำ SEO มากมาย เช่น การตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์ ค้นคว้า Keywords และตรวจสอบ Backlink เบื้องต้น ซึ่งบางเครื่องมือสามารถใช้งานได้ฟรี หรือสมัครสมาชิกได้ในราคาต่อเดือนดังนี้

  • Lite $99 (≈ 3,399 THB) 
  • Standard $199 (≈ 6,831 THB) 
  • Advance $399 (≈ 13,696 THB) 
  • Enterprise $999 (≈34,293 THB) 
Moz

Moz

Moz เป็นเครื่องมือทำการตลาด ค้นหา Keywords ติดตามประสิทธิภาพละจัดการการสร้างลิงก์ และ Backlink หรือ Spam score เป็นต้น สามารถใช้งานบางเครื่องมือได้ฟรี หรือสมัครสมาชิกได้ในราคาต่อเดือนดังนี้ 

  • Standard $99 (≈ 3,399 THB) 
  • Medium $179 (≈ 6,144 THB)
  • Large $299 (≈ 10,264 THB) 
  • Premium $599 (≈ 20,563 THB)

ตัวชี้วัดความสำเร็จของการทำ SEO คืออะไร?

Tips! ดูตัวชี้วัดความสำเร็จหลักๆ ของการทำ SEO ได้จาก Ranking, Traffic, Backlink และ Conversion

Ranking

อันดับของเว็บไซต์เปรียบเหมือนเกรดจาก Google ถ้าคอนเทนต์มีคุณภาพพอ เลือกใช้ Keywords ได้เหมาะสม และโครงสร้างเว็บไซต์มีความสมบูรณ์ เว็บไซต์ควรติดอยู่ใน 1-9 อันดับแรก และได้ผู้เข้าชม (Traffic) จำนวนมากตามมาเป็นรางวัล

วิธีการเช็กอันดับง่ายๆ สามารถทำได้โดยการนำ Focus Keyword ของคุณไปค้นหาบนหน้า Google และนับลงมาได้เลยว่าเว็บไซต์ของอยู่ลำดับที่เท่าไร (แต่อย่าลืมเคลียร์แคชหรือเปิดโหมดไม่ระบุตัวตน)

หรือถ้าอยากให้แม่นยำขึ้นมาอีกหน่อยก็สามารถใช้ SEO Tools อย่าง SEO Quake หรือ SerpStat ช่วยอีกแรงได้

Traffic

Traffic คือจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าเนื้อหาหรือตัวแบรนด์เองมีความน่าสนใจ น่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหนสำหรับผู้ใช้งาน สามารถดึงดูดให้ User คลิกเข้ามาอ่านได้หรือไม่ ซึ่งโดยส่วนมาก หากเว็บไซต์ของคุณติดเป็นอันดับแรกๆ บนหน้าค้นหา หรืออย่างน้อยติดอยู่ในหน้าแรก จะยิ่งมีโอกาสทำ Traffic ได้มากตามไปด้วย

“หากหน้าเว็บของคุณติดอันดับที่ 1 บน Google จะมี Traffic เข้ามาหน้านั้นๆ กว่า 30% เลยทีเดียว!”

Backlink

แน่นอนว่าคุณเองก็ต้องทำ Backlink ซึ่งคือ Off Page SEO ส่วนหนึ่งเพิ่มเติมด้วย แต่จะดีแค่ไหนถ้าพบว่าเว็บไซต์อื่นๆ ก็กำลังอ้างอิงถึงเว็บไซต์เราอยู่เหมือนกัน! จำนวน Backlink ที่อ้างอิงกลับมายังเว็บไซต์ของคุณเป็นการชี้ว่ามีคนรู้จักแบรนด์ของคุณ (Brand Awareness) และกำลังพูดถึงหรือตอบโต้กับแบรนด์ของคุณ (Brand Engagement) มากแค่ไหน

Conversion

Conversion คือลูกค้าได้ทำในสิ่งที่คุณต้องการโน้มน้าวให้ทำหรือไม่ เช่น สมัครสมาชิก กรอกฟอร์มขอคำปรึกษา ซื้อสินค้า ข้อนี้ถือเป็นการวัดความสำเร็จระยะยาว และทำให้เกิดการเรียนรู้ว่าประสบการณ์ของผู้บริโภค ตั้งแต่เริ่มรู้จักแบรนด์ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อสินค้า (Customer Journey) ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถนำไปปรับเพื่อส่งโฆษณาติดตามลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Remarketing) ต่อได้

ประโยชน์ของ SEO มีอะไรบ้าง?

Tips! ประโยชน์ของ SEO ช่วยยกระดับแบรนด์ให้ถูกค้นเจอเสมอ ช่วยสร้างยอดขายได้ ติดอันดับได้แบบไม่เสียค่าคลิก และยิ่งทำถูกวิธียิ่งติดอันดับอย่างยั่งยืน

1. ยกระดับ Brand ให้ค้นเจออยู่เสมอ

เมื่อคุณได้เป็นตัวเลือกแรกของ Google คนย่อมเห็นคุณมากขึ้น การรับรู้ตัวแบรนด์ (Brand Perception) จะตามมาทันที นอกจากนี้คอนเทนต์ SEO ยังสร้างภาพลักษณ์ว่าแบรนด์มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หากคอนเทนต์ที่ทำขึ้นมาสามารถแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ ลูกค้าจะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์ จดจำแบรนด์ได้ จนอาจมัดใจลูกค้า หรือเรียกว่าทำให้ลูกค้ามี Brand Loyalty ได้ในที่สุด

SEO จึงไม่ใช่เพียงการโฆษณา แต่เป็นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ (Brand Building) ไปด้วยในตัว”

ยิ่งคุณทำธุรกิจท้องถิ่นแล้วยังเป็นแบรนด์เล็กๆ การทำ SEO สำหรับธุรกิจท้องถิ่นโดยเฉพาะที่เรียกว่า Local SEO จะทำให้คุณสามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกแรกๆ ในย่านของคุณได้

2. กระจายเข้าสู่ทุกการค้นหา ช่วยสร้างยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ

SEO มีค่าเฉลี่ยของยอดขายสินค้าจริงเทียบกับยอดคลิกเข้าชม (Conversion Rate) สูงกว่าการตลาดอื่นๆ หรือแปลว่าลูกค้าเข้ามาแล้วซื้อของจริงๆ มากกว่าคลิกเข้ามาดู แล้วคลิกออก เพราะอะไร? ไปดู

  • คนที่เข้ามาอ่านคอนเทนต์เป็นกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว เช่น คนที่อ่านเรื่องการเลือกกีตาร์สำหรับมือใหม่ ก็เป็นโอกาสในการเสนอขายกีตาร์ให้กับคนที่สนใจเล่นกีตาร์นั่นเอง
  • SEO ต้องใช้การออกแบบเว็บไซต์ที่เป็นระบบ ทำให้เว็บไซต์เป็นมิตรกับผู้ใช้งานไปด้วย เรียกว่าเป็นการสร้างเส้นทางประสบการณ์ผู้บริโภค (Customer Journey) ที่ดีโดยอัตโนมัติ จึงพาผู้ใช้งานไปสู่การตัดสินใจซื้อได้อย่างลื่นไหล

3. การติดอันดับไม่เสียค่าคลิก ทำถูกวิธียิ่งติดอันดับอย่างยั่งยืน

การทำ SEO มีอีกหนึ่งข้อดีที่แตกต่างกับการทำการตลาดออนไลน์รูปแบบอื่นๆ คือเมื่อเว็บไซต์หรือเว็บเพจของเราติดอันดับบน Google ได้เยอะ ก็สามารถลดราคาต่อคลิก (CPA) ของโฆษณาในช่องทางอื่นๆ ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, IG หรือ Social Media ลงได้ด้วย เนื่องจากเกิด Brand Awareness มาจากการทำ SEO อยู่แล้วนั่นเอง

ทำ SEO ไปพร้อมกับ Google Ads ได้ไหม?

สามารถทำ SEO ไปพร้อมกับ Google Ads ได้ เรียกได้ว่าทั้งสองอย่างสามารถเสริมกันได้ดีเลย 

  • ทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มการมองเห็น (Visibility) SEO ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับแบบธรรมชาติในระยะยาว ขณะที่ Google Ads ทำให้เว็บไซต์ปรากฏในทันทีที่ต้องการ เมื่อใช้ร่วมกันจะเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้เห็นแบรนด์มากขึ้น 
  • ใช้ Ads เป็นตัวทดสอบคีย์เวิร์ดสำหรับ SEO Google Ads ช่วยให้คุณรู้ได้ว่า คีย์เวิร์ดไหนมี Conversion สูงหรือ CTR ดี จากนั้นสามารถนำข้อมูลนั้นไปปรับใช้ในกลยุทธ์ SEO ได้ เพื่อโฟกัสกับคำที่คุ้มค่าที่สุด
  • เสริมกันทั้งระยะสั้นและระยะยาว Google Ads เหมาะกับการสร้างผลลัพธ์ทันที เช่น โปรโมชันหรือแคมเปญใหม่ ส่วน SEO สร้างฐาน Traffic ระยะยาว ลดค่าใช้จ่ายโฆษณาในอนาคต การทำคู่กันทำให้ธุรกิจได้ประโยชน์ทั้งสองด้าน
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เมื่อผู้ใช้เห็นเว็บไซต์ของคุณทั้งในผลลัพธ์ SEO และ Google Ads พร้อมกัน จะช่วยสร้างความมั่นใจและความน่าเชื่อถือมากขึ้น ว่าแบรนด์มีความจริงจังและน่าไว้วางใจ

AI Overview คืออะไร? ส่งผลต่อ SEO มากน้อยแค่ไหน?

ในปัจจุบันหลายๆ คนอาจกังวลเพราะการมาของ AI Overview ที่เข้ามาในระบบการค้นหา เช่น Google AI Overview ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อ SEO แบบเดิม มาไขข้อสงสัยกันเพิ่มเติมว่า SEO and AI ส่งผลต่อกันมากน้อยแค่ไหน! 

  • อัตราการคลิก (CTR) ลดลง เพราะผู้ใช้งานได้คำตอบแบบสรุปทันทีบนหน้าแรกโดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ ทำให้เกิด Zero-click Search เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Traffic ของเว็บไซต์ลดลง
  • การแข่งขันของเว็บไซต์เปลี่ยนจากแย่งอันดับในหน้าค้นหา มาเป็นการแข่งขันเพื่อให้ AI เลือกเนื้อหาของตัวเองไปใช้สรุปคำตอบใน AI Overview ซึ่งต้องเน้นเนื้อหาคุณภาพสูง น่าเชื่อถือ และตอบโจทย์ตรงประเด็น
  • ความสำคัญของ E-E-A-T เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะ AI จะเลือกสรรข้อมูลจากแหล่งที่มี E-E-A-T สูง
  • พฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยนไป เสิร์ชจึงสั้นลงและเน้นคำตอบที่ได้ทันที ทำให้เว็บไซต์ต้องสร้างคอนเทนต์ที่กระชับ ชัดเจน และมีคุณภาพลึกเพื่อดึงดูด AI ให้เลือกใช้งาน
  • บทความคุณภาพต่ำหรือขาดการปรับโครงสร้างตามหลัก SEO จะถูกมองข้ามโดย AI
  • SEO ต้องปรับกลยุทธ์จากการโฟกัสที่การติดอันดับ ไปสู่การทำเนื้อหาให้ AI เข้าใจง่าย เช่น ใช้โครงสร้างชัดเจน มีหัวข้อย่อย และใช้ Schema Markup ช่วยเพิ่มโอกาสที่เนื้อหาจะถูกเลือกใน AI Overview

โดยรวมแล้ว ‘AI Overview ไม่ได้ฆ่า SEO แต่เปลี่ยนวิธีการทำ SEO ไปเป็นการทำให้เนื้อหาของเว็บไซต์โดดเด่นและถูกเลือกโดย AI เพื่อแสดงผลในหน้าผลการค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง

ปรับ SEO อย่างไรให้ AI นำไปแสดงผล?

  1. ปรับเนื้อหาให้อ่านง่ายและตรงประเด็น AI มักดึงข้อมูลที่สรุปได้ชัดเจน จึงควรใช้ประโยคสั้น กระชับ มีคำตอบตรงคำถาม ไม่วกวน การใช้หัวข้อย่อยหรือ Bullet Point จะช่วยให้ AI เข้าใจและเลือกไปแสดงผลได้ง่ายขึ้น
  2. ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เขียนเนื้อหาด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและไม่ซับซ้อน หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เทคนิคที่ไม่จำเป็น หรือถ้าจำเป็นควรมีคำอธิบายที่ชัดเจน เพื่อให้ AI สามารถประมวลผลและทำความเข้าใจเนื้อหาได้ถูกต้อง
  3. ใช้คีย์เวิร์ดตามเจตนาการค้นหา (Search Intent) ไม่เพียงแค่ใส่คีย์เวิร์ดหลัก แต่ต้องวิเคราะห์ว่าผู้ใช้ต้องการข้อมูล ขายสินค้า หรือเปรียบเทียบ แล้วปรับเนื้อหาให้ตอบสนอง Intent นั้นๆ อัปเดตเนื้อหาสม่ำเสมอให้สดใหม่ เพื่อให้ AI เห็นว่าเนื้อหามีคุณค่ามากกว่าคู่แข่ง
  4. จัดโครงสร้างข้อมูลแบบเป็นระบบ ใช้ Heading (H1, H2, H3), Bullet, FAQ,  Schema Markup และตาราง เพื่อช่วยให้ AI แยกแยะข้อมูลและนำไปสรุปได้ถูกต้อง ซึ่งจะเพิ่มโอกาสปรากฏใน Featured Snippet หรือ AI Overview
  5. เน้นความน่าเชื่อถือและแหล่งอ้างอิง AI ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มาจากแหล่งข้อมูลเชื่อถือได้ จึงควรเสริมด้วยสถิติ ข้อมูลจากงานวิจัย ลิงก์อ้างอิง และการอัปเดตเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจทั้งต่อ AI และผู้อ่าน

สรุป

จบไปแล้วสำหรับเบื้องต้นของ SEO! แต่ในขณะที่โลกดิจิทัลเปลี่ยนแปลงรวดเร็วตลอดเวลา Google เองก็ปล่อยอัลกอริทึมใหม่ๆ ออกมาปรับปรุงระบบการค้นหาให้มีประโยชน์มากขึ้นเช่นกัน หน้าที่ของเราคือพยายามเอาใจ Google ให้มากที่สุด พยายามติดตาม SEO Core Update พร้อมปรับปรุงเว็บไซต์และบทความอยู่ตลอดเวลา หากคุณอยากเริ่มการตลาดแบบ SEO ตอนนี้ก็ถือว่ายังไม่สายเกินไป เพราะยังมีโอกาสที่เว็บไซต์ของธุรกิจคุณจะสามารถเฉิดฉายอยู่บนหน้าแรกของ Google ได้

  • ปรับตัวสู่ Search Everywhere: ลูกค้าอยู่ที่ไหน คุณต้องไปทำ SEO ที่นั่น ไม่จำกัดแค่ Google
  • เตรียมพร้อมรับมือ AI: สร้างเนื้อหาที่เป็น “Original Source” เพื่อให้ AI เลือกคุณเป็นผู้ชนะในยุค SGE
  • รากฐานสำคัญที่สุด: อย่าละเลย 7 ขั้นตอนพื้นฐาน เพราะต่อให้เทคโนโลยีเปลี่ยนไปแค่ไหน หลักการเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือ (Trust) จะยังคงอยู่ตลอดไป
  • เริ่มทำทันที: คู่แข่งของคุณอาจกำลังเริ่มทำขั้นตอนที่ 1 อยู่ในขณะที่คุณกำลังอ่านบทความนี้ การทำ SEO คือการแข่งกับเวลาและวินัยครับ

หากคุณคือธุรกิจที่ต้องการยกระดับการตลาดดิจิทัลอย่างครบวงจร Minimice Group คือเพื่อนที่พร้อมเดินเคียงข้างคุณ ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญรับทำ SEO, Google Ads, Social Media Ads ตลอดจนการพัฒนาเว็บไซต์ เรามุ่งสร้างกลยุทธ์ที่เน้นผลลัพธ์ชัดเจน วัดผลได้จริง และรับประกัน KPI ทุก 3 เดือน เพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมเสริมความแข็งแกร่งและความมั่นคงในระยะยาว


คำถามที่พบบ่อยที่พบบ่อยเกี่ยวกับ SEO (FAQ)

SEO Youtube ทำอย่างไร?

  1. วิเคราะห์คีย์เวิร์ด (Keyword Research) ใช้เครื่องมืออย่าง Google Keyword Planner, TubeBuddy หรือ VidIQ เพื่อหาคำที่คนค้นหาจริง เลือกคีย์เวิร์ดที่เจาะจง (Long-tail Keyword) เช่น “สอนแต่งหน้าไปทำงาน” แทนคำกว้างๆ อย่าง “แต่งหน้า”
  2. ปรับแต่ง Title (ชื่อวิดีโอ) ใส่คีย์เวิร์ดหลักไว้ตอนต้นของชื่อ ทำให้ชื่อน่าดึงดูด คลิกแล้วรู้ว่าจะได้อะไร เช่น “5 ทริกแต่งหน้าสไตล์เกาหลี | ทำง่ายได้ทุกวัน”
  3. เขียน Description (คำอธิบายวิดีโอ) สรุปเนื้อหาวิดีโอ 2-3 บรรทัดแรกให้ชัดเจน พร้อมใส่คีย์เวิร์ด เพิ่มลิงก์สำคัญ เช่น เว็บไซต์ โซเชียล วิดีโอที่เกี่ยวข้อง ใช้คำอธิบายยาว 250-500 คำ เพื่อช่วยให้ AI เข้าใจเนื้อหา
  4. ใช้ Tags & Hashtags ใส่แท็กที่ตรงกับคีย์เวิร์ดและเนื้อหา (ไม่ต้องใส่เยอะเกินไป) ใช้ Hashtag ในคำอธิบาย เช่น #แต่งหน้า #MakeupTutorial เพื่อเพิ่มโอกาสถูกค้นหา
  5. ออกแบบ Thumbnail ให้น่าสนใจ ใช้ภาพชัดเจน สีตัดกัน ตัวหนังสือใหญ่พออ่านได้ ให้ผู้ชมเข้าใจได้ทันทีว่าวิดีโอนั้นเกี่ยวกับอะไร
  6. เพิ่ม Engagement (การมีส่วนร่วม) กระตุ้นให้คนกด Like, Comment, Share และ Subscribe พร้อมตอบคอมเมนต์เพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งช่วยให้วิดีโอติดอันดับง่ายขึ้น
  7. ทำ Playlist และ Internal Linking จัดกลุ่มวิดีโอให้ง่ายต่อการดูต่อเนื่อง ใส่การ์ด (Cards) และ End Screen ชวนให้ User เข้าชมวิดีโออื่นๆ ของคุณ
  8. ดูสถิติและปรับปรุง (Analytics) ติดตามค่า CTR, Watch Time และ Retention (ระยะเวลาที่คนดูวิดีโอจริง) ปรับเนื้อหาและรูปแบบตามข้อมูลจริง เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ชมมากขึ้น

ถ้าสินค้า Niche มากๆ ทำ SEO ได้ไหม?

หากสินค้าคุณเป็นสินค้าที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ยิ่งต้องทำ SEOอย่างมาก เนื่องจากการค้นหา Keyword อาจจะไม่เยอะ แต่ทุกการค้นหาที่เข้ามาในเป็นการค้นหาที่มีคุณภาพมากๆ ทำให้คุณสามารถเพิ่มยอดขายได้ง่าย และเป็นที่รู้จักในวงการได้รวดเร็ว

เว็บไซต์ทั่วไปทำบทความที่มีเนื้อหา YMYL ได้ไหม?

สามารถทำได้ โดยควรเน้นทำบทความที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานจริงที่อยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย ถูกต้องและน่าเชื่อถือ ทั้งนี้การจัดอันดับของ Google จะพิจารณาจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือสูงสุด หรือกลุ่มเว็บไซต์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านขึ้นมาก่อน เช่น เว็บไซต์ของโรงพยาบาล เว็บไซต์ของสถาบันทางการเงิน ดังนั้นการที่ต้องการแข่งขันในกลุ่มคอนเทนต์เหล่านี้จึงอาศัยเวลาและข้อมูลจำนวนมากที่เหมาะสมและดีที่สุด

On-Page SEO กับ Off-Page SEO ต่างกันอย่างไร?

  • On-Page SEO คือการปรับทุกอย่างบนหน้าเว็บของเราเอง เช่น โครงสร้างคอนเทนต์ คีย์เวิร์ด Title หรือ Meta เนื้อหา ความเร็วเว็บ และ Internal Link​
  • Off-Page SEO คือสิ่งที่เกิดนอกเว็บเรา เช่น Backlink จากเว็บอื่น การพูดถึงแบรนด์บนโซเชียล บทความภายนอก เป็นต้น เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของโดเมน

Google Algorithm คืออะไร?

Google Algorithm คือชุดกฎและสมการที่ Google ใช้ตัดสินว่าเว็บเพจไหนควรถูกแสดง และอยู่ลำดับเท่าไรในผลการค้นหา อัลกอริทึมจะดูปัจจัยหลายร้อยอย่าง เช่น ความเกี่ยวข้อง คุณภาพคอนเทนต์ ลิงก์เข้า ความเร็วเว็บ และประสบการณ์ผู้ใช้ แล้วจัดอันดับผลลัพธ์ให้ตรงกับเจตนาการค้นหามากที่สุด

ทำ SEO ใช้เวลานานแค่ไหน?

โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นภายในประมาณ 3 – 6 เดือน และชัดขึ้นในช่วง 6 – 12 เดือน ขึ้นกับความยากของคีย์เวิร์ด และสภาพเว็บเดิม ถ้าเว็บไซต์ใหม่มากๆ หรืออยู่ในตลาดแข่งขันสูงอาจใช้เวลานานกว่า 12 เดือน ขณะที่เว็บที่มีฐานดีอยู่แล้วอาจเห็นผลใน 1 – 3 เดือน เมื่อปรับ SEO จริงจัง

ทำไมเว็บไซต์ไม่ติดอันดับ Google?

สาเหตุหลักมักมาจากเลือกคีย์เวิร์ดไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย คอนเทนต์คุณภาพต่ำ หรือไม่ได้อัปเดตเนื้อหาให้สดใหม่ อีกกลุ่มคือปัญหาเทคนิค เช่น เว็บโหลดช้า บอตเข้าไม่ถึงเพราะ Robots.txtไม่มี Sitemap หรือหน้าไม่ได้ถูก Index เลยทำให้ไม่ขึ้นอันดับ

วิธีแก้ Google Index ช้า ทำได้อย่างไร?

  1. ใช้ Google Search Console ตรวจ URL 
  2. กด Request Indexing 
  3. ส่ง XML Sitemap ให้ Google เห็นโครงสร้างเว็บชัดๆ
  4. ปรับเทคนิค เช่น เพิ่ม Internal Link มายังหน้าที่ต้องการให้ Index แก้ลิงก์เสีย 
  5. ปรับความเร็วหน้า และเช็กว่าไม่ได้บล็อกบอตใน robots.txt หรือแท็ก noindex โดยไม่ตั้งใจ

เครื่องมือค้นหา Keyword ฟรี ภาษาไทย มีอะไรบ้าง?

เครื่องมือตัวหลักคือ Google Keyword Planner (อยู่ใน Google Ads) ที่รองรับภาษาไทยและให้ Volume คำค้นได้ค่อนข้างแม่น นอกจากนี้ยังมี Ubersuggest, Keywordtool.io, KWFinder (เวอร์ชันฟรีจำกัดจำนวนค้นหา) ที่รองรับภาษาไทยและช่วยแตกไอเดียคีย์เวิร์ดยาวๆ

สมัคร Google Search Console ได้อย่างไร?

  1. เสร็จแล้ว Google จะเริ่มเก็บข้อมูลและรายงานสถานะเว็บของเรา
  2. เข้าไปที่หน้า Google Search Console แล้วกด Start Now 
  3. ล็อกอินด้วย Google Account
  4. จากนั้นเพิ่ม Property (แนะนำแบบ Domain) 
  5. ยืนยันความเป็นเจ้าของโดเมนผ่าน DNS และอัปโหลดไฟล์หรือแท็ก HTML ตามวิธีที่ระบบให้มา

Warisara Butchadee

Warisara Butchadee

SEO SPECIALIST

SEO Specialist at Minimice Group , Expert in On-page, Off-page, and Technical SEO, helping businesses achieve top search rankings, grow sustainable organic traffic, and maximize conversions.

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง