SEO คืออะไร? หัวใจสำคัญช่วยดันเว็บไซต์ ที่นักการตลาดห้ามพลาด!

SEO คืออะไร? หัวใจสำคัญช่วยดันเว็บไซต์ ที่นักการตลาดห้ามพลาด!

Table of Contents

Key Takeaway

  • SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับต้นๆ บนหน้าผลการค้นหาของ Search Engine ต่างๆ เช่น Google, Bing หรือ Yahoo เป้าหมายหลักคือการเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชมและสร้างการมองเห็นให้กับแบรนด์ผ่านคอนเทนต์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน โดยส่วนใหญ่เราจะเน้นไปที่ Google SEO เพราะเป็น Search Engine ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด
  • SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google แบบธรรมชาติ (Organic) โดยเน้นที่การสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้หรือบริการ ขณะที่ SEM (Search Engine Marketing) คือการใช้เงินซื้อโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับทันที โดยคิดค่าใช้จ่ายแบบ CPC (Cost Per Click) ทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเว็บไซต์ได้รวดเร็วขึ้นผ่านการลงทุน
  • ตำแหน่งในการขึ้นอันดับ SEO มีหลายช่องทาง ได้แก่ อันดับ SEO บนการค้นหา (Search Result) อันดับ SEO บนรูปภาพ (Google Image) อันดับ SEO บนแผนที่ (Local SEO) และอันดับ SEO บน VDO (YouTube)
  • ความสำคัญในการทำ SEO คือสามารถยกระดับ Brand ให้ค้นเจออยู่เสมอ กระจายเข้าสู่ทุกการค้นหา ช่วยสร้างยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ และการติดอันดับไม่เสียค่าคลิก หากทำถูกวิธียิ่งติดอันดับอย่างยั่งยืน

เชื่อว่าหลายคนที่มีธุรกิจ หรือสนใจทำการตลาดออนไลน์ น่าจะเคยเห็นคำว่า SEO ผ่านตามาบ้าง และอาจสงสัยว่า SEO มันคืออะไร? การทำ SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ บนหน้าแสดงผลการค้นหา เช่น Google ช่วยเพิ่มการมองเห็นแบรนด์ เน้นการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งานเป็นหลัก

จากมือใหม่สู่ผู้เชี่ยวชาญในบทความเดียว มาอัปเดตความรู้เรื่อง SEO คืออะไร และเทคนิคในการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงใน Google

SEO คืออะไร? จากธุรกิจไร้ตัวตนสู่แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ

SEO คืออะไร? จากธุรกิจไร้ตัวตนสู่แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ

SEO ย่อมาจากอะไร? ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ บนหน้าแสดงผลการค้นหาของเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลต่างๆ เช่น Google, Bing หรือ Yahoo โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์และเพิ่มการมองเห็นให้กับแบรนด์ ผ่านการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน เรามักให้ความสนใจกับ Google SEO เป็นหลัก เพราะเป็นเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด

“If it isn’t on Google, it doesn’t exist” (ถ้ามันไม่อยู่บนกูเกิล มันก็ไม่มีอยู่เลย)

จิมมี่ เวลส์ (Jimmy Wales) หนึ่งในผู้ก่อตั้งเว็บไซต์สารานุกรมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างวิกิพิเดียเคยกล่าวไว้ นั่นเพราะใครๆ ก็ใช้ Google โดย Google มีผู้ใช้งานจากทั่วโลกกว่า 4.3 พันล้านคน เข้าใช้งานกว่า 8.5 พันล้านครั้งต่อวัน และเติบโตขึ้นทุกๆ ปี

นั่นแปลว่าผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลสามารถค้นพบธุรกิจมากมายได้ผ่าน Google เช่นกัน กระบวนการทำ SEO ให้หน้าเว็บไซต์สามารถแข่งขันกับเว็บไซต์อื่นๆ และไต่ขึ้นไปติดอันดับบนหน้าแรกของ Google ได้ จึงเป็นการเปิดประตูบานแรกให้คนได้รู้จักกับธุรกิจของคุณ และเริ่มจดจำแบรนด์ของคุณได้ หรือเรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง Brand Awareness นั่นเอง

SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร เป็นคู่หูหรือคู่แข่ง?

SEO และ SEM ต่างกันอย่างไร เป็นคู่หูหรือคู่แข่ง?

หากดูเผินๆ SEO และ SEM ก็ฟังดูจะคล้ายกันมาก แต่จริงๆ แล้วทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกันในรายละเอียดที่นักการตลาดออนไลน์ไม่ควรพลาด

SEO คือการขึ้นอันดับบน Google โดยการขึ้นแบบธรรมชาติ หรือ Organic เป็นหลัก ซึ่งการทำนั้นจะมีหลากหลายส่วน แต่สุดท้ายแล้ว SEO คือการทำเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์เนื้อหาของ User ไม่ว่าจะเป็นในส่วนการให้ความรู้ หรือในส่วนบริการ แต่ SEM คือการขึ้นอันดับโดยการใช้เงิน หรือที่มีมาตรฐานการคิดแบบ CPC (Cost Per Click) ที่จะสามารถขึ้นอันดับได้ในทันที และผู้ใช้งานสามารถเข้าเว็บไซต์เราได้โดยการใช้เงินเป็นหลัก

หากเป็นเช่นนั้น เราทำแค่ SEM ไปก่อนไหม? เพราะ SEO นั้นใช้เวลานานกว่าเยอะ ในส่วนนี้ทาง Minimice จะแนะนำให้ทำ SEO และ SEM ควบคู่กัน เพื่อที่เราจะสามารถจับอันดับได้ทั้งคู่ ซึ่งเป็นหลักการที่ดีและเหมาะสำหรับทุกธุรกิจที่สามารถกระตุ้นยอดขายด้วย Google

ตำแหน่งในการขึ้นอันดับ SEO มีช่องทางไหนบ้าง?

ต่อไปมาดูกันว่า ตำแหน่งในการขึ้นอันดับ SEO มีช่องทางไหนบ้าง? เพื่อทำให้ SEO ในเว็บไซต์ติดอันดับอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

อันดับ SEO บนการค้นหา (Search Result)

อันดับ SEO บนการค้นหา (Search Result)

การติดอันดับ SEO บนผลการค้นหา (Search Result) คือการที่เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับสูงบนหน้าแสดงผลการค้นหา (SERP) ของ Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่นๆ โดยไม่ได้มาจากการซื้อโฆษณา แต่มาจากการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับเกณฑ์ของเครื่องมือค้นหา ซึ่งเรียกว่า “การติดอันดับแบบออร์แกนิก” หรือ “Organic Ranking”

วิธีดูอันดับ SEO

จากการวิเคราะห์ที่ได้อิงมาจาก Search Engine Journal นั้น การติดอันดับ 1 จะได้การคลิกมากกว่า 28.5% และอันดับ 2 นั้นลดลงมากถึง 50% หรือการคลิกเพียง 15.7% เท่านั้น บวกกับรูปภาพนั้น อันดับ 10 มีอัตราการคลิกเพียง 2.5% เท่านั้น ด้วยเหตุนั้นเองการติด Top 3 นั้นสามารถนำคลิกได้มากกว่า 50% แล้ว

อันดับ SEO บนรูปภาพ (Google Image)

อันดับ SEO บนรูปภาพ (Google Image)

ในช่อง Image ก็สามารถติดอันดับได้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งการติดอันดับของ Image นั้นจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเว็บไซต์ พร้อมกับ Alt Tag ที่นำมาติดในรูปภาพด้วย ทั้งนี้ การขึ้นอันดับของ Google Image นั้นมีนัยคนละแบบกับ Search อื่นๆ

การค้นหาใน Google Image จะโดดเด่นในธุรกิจดังนี้

  • ธุรกิจขายรูปภาพ เช่น Shutterstock
  • ธุรกิจที่สร้างไอเดียให้กับลูกค้า
  • ธุรกิจที่ต้องดูรูป Before – After
  • ธุรกิจที่ให้ความรู้

การติด Google Image นั้นมีโอกาสที่จะมาแย่งพื้นที่บนหน้า Search ด้วยเช่นเดียวกัน เราสามารถเพิ่มยอดคลิกและการรับรู้แบรนด์ได้มากขึ้นด้วย

อันดับ SEO บนแผนที่ (Local SEO)

อันดับ SEO บนแผนที่ (Local SEO)

Local SEO คือหัวใจสำคัญสำหรับธุรกิจท้องถิ่นที่มีหน้าร้าน เป็นกลยุทธ์ SEO ที่ช่วยให้ User ในพื้นที่ใกล้เคียงค้นหาธุรกิจของคุณเจอได้ง่ายขึ้นผ่านการค้นหาที่ระบุตำแหน่ง ยิ่ง User หาเจอง่ายเท่าไร โอกาสที่จะมาที่ร้านของคุณก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ทำให้ธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักและเข้าถึงได้สะดวกสำหรับกลุ่มเป้าหมายในท้องถิ่น

การติดอันดับบน Google มอบความได้เปรียบที่สำคัญเหนือคู่แข่ง โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้านจริง (Brick & Mortar) ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับคลิกและได้ลูกค้ารวดเร็วกว่าการพึ่งพาเพียงการติดอันดับบนหน้าผลการค้นหาทั่วไป (Search Result) ยิ่งไปกว่านั้น หากคุณมีธุรกิจที่มีหลายสาขา การปรากฎบน Google Maps จะเป็นประโยชน์มากๆ ในการดึงดูดลูกค้าและเพิ่มการเข้าชมหน้าร้านของคุณ

อันดับ SEO บน VDO (YouTube)

อันดับ SEO บน VDO (YouTube)

YouTube SEO คือกระบวนการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างของคลิปวิดีโอ เพื่อให้สอดคล้องกับอัลกอริทึมของ YouTube การทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสที่วิดีโอของคุณจะปรากฎในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาเมื่อผู้ใช้ค้นหาเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ทำให้วิดีโอเข้าถึงผู้ชมได้มากขึ้น

การติดอันดับของ VDO นั้นจะสามารถเสริมให้ยอดวิวของ YouTube เพิ่มขึ้นได้อย่างมาก เหมาะกับหลากหลายธุรกิจที่ต้องการเติบโตด้วย VDO ส่วนมากจะเป็นธุรกิจที่สามารถให้ความรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สเรียนต่างๆ ที่ความรู้ที่เป็นในเชิง How-To ด้วยเช่นเดียวกัน

รวม 5 สิ่งที่คนอยากเริ่มต้นทำ SEO ต้องรู้จัก!

รวม 5 สิ่งที่คนอยากเริ่มต้นทำ SEO ต้องรู้จัก!

SEO เริ่มต้นตั้งแต่การสร้างเว็บไซต์ที่ไว้ใช้ลงคอนเทนต์ จากนั้นจึงผลิตคอนเทนต์ที่ตรงใจผู้ใช้งาน โดยในเบื้องต้นมีวิธีเพิ่มโอกาสให้หน้าเว็บไซต์ขึ้นไปติดอันดับได้ ดังนี้

1. Keywords กุญแจสำคัญสู่การค้นหาที่ตอบโจทย์

Keywords คือคำ หรือวลี ที่ผู้ใช้งานใช้ในการค้นหาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยมีจุดประสงค์ในการค้นหา หรือเรียกว่า Search Intent ที่แตกต่างกันไป เช่น ผู้ใช้งานอาจค้นหาคำว่า “น้ำปั่นสุขภาพ” เพื่อหาสูตรน้ำปั่นเพื่อสุขภาพ ซื้อน้ำปั่นสุขภาพ หาวิดีโอการทำน้ำปั่นสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งการสำรวจ Keywords และ Search Intent ของ Keywords จะช่วยให้รู้ว่า User กำลังสนใจอะไร และสามารถนำ Keywords นั้นไปกำหนดทิศทางคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์ User ส่วนใหญ่ได้

ซึ่งในกระบวนการทำ SEO จะมีการสอดแทรก Keywords ลงไปในคอนเทนต์เพื่อช่วยให้ Bot รู้ว่าคอนเทนต์นี้กำลังพูดถึงอะไร เมื่อ Bot เห็นว่าสิ่งที่ผลิตกับสิ่งที่ผู้ใช้งานค้นหามีความเกี่ยวข้องกันก็จะดันอันดับหน้าเว็บไซต์ของคุณขึ้นไปนั่นเอง

เข้าใจ Search Intent และหลักการติดอันดับของ Google

Search Intent เป็นเหมือนคำใหม่สำหรับใครหลายๆ คน ทั้งนี้หากสามารถวิเคราะห์ Search Intent ได้ ก็สามารถเขียนบทความหรือเขียนเนื้อหาให้ติดอันดับได้ไม่ยากเลย Search Intent คือความประสงค์หรือความตั้งใจในการค้นหาของผู้ใช้ โดยอยู่บนหลักการพื้นฐานที่ Google เคยแนะนำไว้อยู่ 2 ข้อ คือ E-E-A-T และ YMYL

E-E-A-T” Expertise, Experience, Authority, Trust

“YMYL (Your Money Your Life)” เงินและชีวิตของคุณ

คอนเทนต์ที่เกี่ยวกับเงิน สุขภาพ และสิ่งที่ส่งผลกระทบกับชีวิตของผู้ใช้งาน เป็นคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ คนให้ความสนใจ แต่ก็มีเงื่อนไขอีกมากมายที่ต้องพิจารณาประกอบ เช่น ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งหากไม่ถึงมาตรฐานของ Google หรือเนื้อหาส่งผลต่อความคิด การตัดสินใจ และความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้งาน การเขียนคอนเทนต์ประเภทนี้ก็อาจทำให้การติดอันดับต้นๆ เป็นไปได้ยาก

เลือก Keywords ให้ดีที่สุด

  • ใช้เครื่องมือช่วยหา Keyword ที่ต้องการ โดยใช้ Keyword Planner เพื่อค้นหาคำที่เหมาะสมที่สุด
  • สำหรับเว็บไซต์ใหม่ ควรเน้น Keyword ที่มีการค้นหาไม่มากนัก (ประมาณ 50 – 800 ครั้งต่อเดือน) โดยเริ่มจากการเก็บคำรอบข้างและคำที่ประกอบด้วย 2 – 5 คำสำหรับสินค้า ขณะที่บทความเน้น Keyword ที่มีการค้นหาน้อย 
  • ส่วนเว็บไซต์ที่ดำเนินการมาสักระยะ ควรเน้น Keyword ที่มีการค้นหาปานกลาง (ประมาณ 1,000 – 5,000 ครั้งต่อเดือน) และให้ความสำคัญกับการสร้าง On-Page ที่แข็งแกร่งและ Backlink ที่ตรงกับธุรกิจสำหรับสินค้า รวมถึงใช้ Keyword ที่กว้างขึ้นสำหรับบทความ
  • เข้าใจ Search Intent ในแต่ละ keyword ให้ดี หากต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับ การวิเคราะห์ Search Intent ทำได้ง่ายๆ โดยการพิมพ์คีย์เวิร์ดที่ต้องการลงใน Google แล้วพิจารณาเนื้อหา 5 อันดับแรก ว่าเป็นบทความให้ข้อมูลหรือหน้าขายสินค้า จากนั้นจึงสร้างสรรค์เนื้อหาที่ตอบโจทย์และมีคุณภาพดีกว่าเพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน
  • ตรวจสอบ Keyword คู่แข่ง เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการสร้าง Traffic ให้กับเว็บไซต์ของคุณ โดยปกติแล้ว เราสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Ahrefs เพื่อระบุว่า Keyword ใดที่คู่แข่งใช้และสร้าง Traffic ได้มากที่สุด เมื่อทราบข้อมูลนี้ก็สามารถนำหลักการข้างต้นมาปรับใช้เพื่อแข่งขันและดึงดูดผู้เข้าชมกลุ่มเป้าหมายได้ทันที
 On-Page SEO ปรับแต่งหน้าเว็บให้ตอบโจทย์ Google และ User

2. On-Page SEO ปรับแต่งหน้าเว็บให้ตอบโจทย์ Google และ User

On-Page SEO คือการปรับแต่งเนื้อหาที่อยู่บนเว็บไซต์ให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน และ Google Bot โดยมีเทคนิคหลักๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือคอนเทนต์และภาพประกอบ ดังนี้

Content ต้องมีคุณภาพ

หนึ่งในปัจจัยการจัดอันดับของ Google คือความเกี่ยวข้องและคุณภาพของคอนเทนต์ การสร้างคอนเทนต์ให้ตอบคำถามผู้ใช้งานอย่างชัดเจน และครอบคลุมจึงเป็นหัวใจหลักในกระบวนการทำ SEO คอนเทนต์ SEO มีหลากหลายประเภท เช่น บทความให้ความรู้ทั่วไป บทความ How-to บทความรวมไอเดีย หรือ บทความแนะนำวิธีแก้ปัญหา เป็นต้น

เขียนเป็นระบบตาม SEO Structure

โครงสร้างคอนเทนต์ที่เป็นระบบ (HTML Structure) เช่น บทความมีหัวข้อหลัก หัวข้อรอง หรือหัวข้อย่อยเป็นลำดับ จะช่วยให้ Bot เข้าใจว่าในคอนเทนต์กล่าวถึงอะไรบ้าง

ส่วนการวาง Keyword อย่างเหมาะสมก็ถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำ SEO โดยปกติแล้ว Keyword หลัก ควรมีความหนาแน่นประมาณ 1 – 3% ของบทความ เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นสแปม แต่ก็เพียงพอให้ Bot เข้าใจเนื้อหาหลักได้ ตำแหน่งการวาง Keyword ควรอยู่ในส่วนสำคัญ เช่น หัวข้อหลัก หัวข้อรอง หรือช่วงแรกๆ ของเนื้อหา และกระจายอยู่ทั่วทั้งหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ

นอกจากนี้ การใช้ Keywords ที่ใกล้เคียง หรือ LSI Keywords (Latent Semantic Indexing Keywords) ร่วมด้วย จะช่วยเสริมความเข้าใจให้แก่ผู้ใช้งานและส่งสัญญาณที่ชัดเจนยิ่งขึ้นให้แก่ Bot

ปรับแต่ง Meta Tag

Meta tag คือองค์ประกอบที่อยู่ใน HTML เป็นตัวอธิบายเนื้อหาของเว็บไซต์ และเป็นตัวที่เครื่องมือใช้ในการทำความเข้าใจว่าหน้าเว็บไซต์นั้นเกี่ยวกับอะไร ซึ่งประกอบไปด้วย

  • Meta Title: Tag ที่อยู่ในส่วนหัวของบทความ เพื่อบอกว่าหัวข้อหลักของบทความคืออะไร
  • Meta Description: Tag ที่อยู่ในส่วนถัดมาจากหัวข้อหลัก เป็นส่วนที่สรุปเนื้อหาโดยย่อของบทความ

โดยสามารถปรับ Meta Tag ได้ในตัวเลือก Site Metadata ที่อยู่ใน Setting ของหลังบ้านแต่ละเว็บไซต์ การคิด Meta Tag สามารถอ้างอิงจากหัวข้อของบทความได้เลย ทั้งนี้ ควรคำนึงถึงการวาง Keyword และความยาวด้วย เนื่องจากหากยาวเกินไป ผู้ใช้งานอาจไม่เห็นข้อความทั้งหมด ทำให้พลาดข้อความที่คุณพยายามจะสื่อสารได้ แล้วถ้ายังสงสัยว่าต้องเขียนเท่าไรถึงจะพอดี? เราแนะนำให้คุณตรวจสอบง่ายๆ โดยใช้เครื่องมือตรวจสอบ Meta Tag ฟรี จาก Minimice ได้เลย

ทำ Internal Link

Internal Link คือการเพิ่มลิงก์เชื่อมโยงไปยังหน้าอื่นๆ ภายในเว็บไซต์เดียวกันของคุณลงในเนื้อหาบทความ การทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องและอ่านเพิ่มเติมได้อย่างสะดวก แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชม (Traffic) ให้กับคอนเทนต์ต่างๆ ภายในเว็บไซต์อีกด้วย การเชื่อมโยงภายในที่ดียังช่วยปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์และสนับสนุนการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา

ปรับแต่ง Schema

Schema (สคีมา) หรือ Schema Markup คือโค้ดที่คอยบอกประเภทข้อมูล และย่อยข้อมูลเพื่อให้ Google เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าข้อมูลในเว็บไซต์เกี่ยวกับอะไร เช่น เป็นบทความทั่วไป หน้าขายผลิตภัณฑ์ ร้านอาหาร กิจกรรม หรือรีวิว เป็นต้น ขณะเดียวกันผู้ใช้งานก็จะได้เห็นข้อมูลสรุปจากหน้าแสดงผล (SERPs) และเข้าใจทันทีว่าภายในหน้าเว็บไซต์นั้นเป็นข้อมูลที่กำลังตามหาอยู่หรือไม่ โดย Schema เป็นการจัดการทางเทคนิคเชิงลึกที่เจ้าของเว็บไซต์สามารถปรับแต่งเพื่อให้เพจของเราโดดเด่นได้

เพิ่ม Alt-Text ที่ไม่ซ้ำใคร

ในมุมมองของผู้ใช้งาน รูปภาพดึงดูดความสนใจได้ดีกว่าตัวอักษร และช่วยให้คอนเทนต์สวยงามน่าอ่านมากขึ้น ส่วนในมุมมองของ Bot นั้น เมื่อเราใส่ภาพ เราสามารถเพิ่มคำอธิบายภาพ หรือเรียกว่า Alt Text ลงไปในภาพได้ ซึ่งจะช่วยให้ Bot เข้าใจว่าภาพนี้คืออะไร นำไปจัดได้ถูกหมวดหมู่ และดึงรูปไปแสดงผลในผลการค้นหารูปภาพที่เกี่ยวข้องได้

แม้ว่าการใช้รูปภาพจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องเลือกให้ดีด้วย รูปที่ใช้ควรมีความแปลกใหม่ หากใช้รูปภาพฟรี หรือ Stock Image ที่มีการใช้ซ้ำๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนองค์ประกอบใดๆ เลย อาจทำให้ Google เห็นว่าเนื้อหานี้ซ้ำซ้อนและส่งผลทำให้อันดับไม่ดีได้

ปรับ URL Slug ให้อ่านง่าย เข้าถึงได้

การปรับ URL Slug ให้มี Keyword ของเราด้วยนั้น สามารถช่วยในเชิง On-Page ได้ดีมากๆ ทั้งนี้ ในส่วน URL Slug เราจะแนะนำการใช้เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น เนื่องจาก Google ไม่สามารถอ่านภาษาไทยได้ หากลอง Copy URL จาก Browser มาจะเป็นตัวอักษรแปลกๆ แต่หากเราใช้เป็นภาษาอังกฤษ Google ก็ยังคงสามารถจับคำนั้นๆ ได้อยู่ดี จึงแนะนำให้ใช้เป็นภาษาอังกฤษมากกว่า

Off-Page SEO ปรับแต่งข้างนอกเว็บไซต์

3. Off-Page SEO ปรับแต่งข้างนอกเว็บไซต์

Off-Page SEO เป็นการปรับแต่งข้างนอกเว็บไซต์ ได้แก่

Link Building

Link Building คือการสร้าง Backlink ซึ่งหมายถึงลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์อื่นๆ และเชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของคุณ กระบวนการนี้เกิดขึ้นเมื่อเว็บไซต์อื่นอ้างอิงข้อมูลของคุณ หรือมีการกล่าวถึงแบรนด์ของคุณ (Brand Mentions) ซึ่งส่งผลดีต่ออันดับการค้นหาของเว็บไซต์คุณ

Backlink มี 3 ประเภท ดังนี้

  1. Natural-Editorial คือ Backlink ที่เกิดขึ้นจากการที่คอนเทนต์มีประโยชน์ เข้าตาผู้ใช้งานจนมีการนำไปแชร์หรืออ้างอิง
  2. Manual Link Building คือ Backlink ที่เกิดจากการที่คุณทำเอง เช่น ทำเนื้อหาเดียวกันแต่เป็นวิดีโอ แล้วแปะลิงก์ฉบับบทความไว้ใต้วิดีโอเชิญชวนให้คนไปอ่าน
  3. Non-Editorial คือ Backlink ที่เกิดจากการเอาลิงก์ไปแปะไว้ในเว็บบอร์ดที่เปิดให้แสดงความคิดเห็น เพื่อเชิญชวนให้คนไปอ่าน

Backlink เป็นสัญญาณที่บอกว่าแบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จัก Google ก็จะมองว่าเว็บไซต์น่าเชื่อถือ และทำให้เว็บไซต์มีโอกาสเลื่อนอันดับขึ้นได้ แต่ใช่ว่ายิ่งมี Backlink เยอะจะยิ่งดีเสมอไป เพราะหาก Backlink จำนวนมากมาจากเว็บไซต์สแปม ก็ทำให้ดูไม่น่าเชื่อถือและส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ของเราได้เช่นกัน

Anchor Text

Anchor Text เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำ Backlink ซึ่งหมายถึงข้อความที่ถูกเน้น (Highlight) และใช้เป็น Hyperlink เชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของเรา การเลือกใช้ Anchor Text ที่เหมาะสมจะช่วยให้ Google เข้าใจว่า Backlink ที่เข้ามานั้นเน้นคำหรือหัวข้อใดเป็นหลัก โดย Anchor Text สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้

  • Brand
  • Naked URL
  • Exact Match
  • Phrase Match
  • Partial Match
  • Random Match

การเลือกใช้ Anchor Text มีผลกระทบโดยตรงต่อคะแนน SEO ของเว็บไซต์คุณ หากใช้ Anchor Text ซ้ำๆ มากเกินไป อาจส่งผลให้เว็บไซต์ถูก Google ลงโทษ (Penalize) ซึ่งจะทำให้อันดับการค้นหาของคุณตกลงได้ ดังนั้น จึงควรระมัดระวังในการใช้ Anchor Text ให้หลากหลายและเป็นธรรมชาติ

Local SEO

Local SEO คือเทคนิคในการทำให้ตัวตนในโลกออนไลน์เป็นที่รู้จักในระดับชุมชนเล็กๆ โดยโฟกัสคีย์เวิร์ดเฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งใกล้ๆ ธุรกิจของคุณ เช่น ร้านเบเกอรี ทองหล่อ

วิธีกระบวนการทำ Local SEO นอกจากทำในเว็บไซต์ของตัวเองแล้ว ควรจะทำใน Google My Business ควบคู่ไปด้วย โดย Google My Business คือเครื่องมือจัดการธุรกิจที่ช่วยให้คุณมีตัวตนอยู่บนพื้นที่ออนไลน์ได้ เพียงแค่เข้าไปเพิ่มชื่อแบรนด์ รายละเอียดการให้บริการ และพื้นที่ที่ให้บริการของธุรกิจในเว็บไซต์ Google My Business ข้อดีคือเมื่อมี User ค้นหาสินค้าและบริการในพื้นที่ให้บริการของคุณ คุณก็จะมีโอกาสปรากฎขึ้นมาบริเวณต้นๆ ของหน้าเว็บไซต์เลย

แชร์คอนเทนต์ผ่าน Social Media

นอกเหนือจากการสร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพบนเว็บไซต์แล้ว การส่งเสริมการเข้าถึงเนื้อหาผ่านช่องทาง Social Media ของแบรนด์ก็มีความสำคัญต่อ SEO คุณสามารถทำได้โดยการแชร์คอนเทนต์ หรือจัดกิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้ใช้งานเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชม การมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ และยังอาจนำไปสู่การเกิด Natural-Editorial Backlink ซึ่งเป็นผลดีต่อการจัดอันดับบน Search Engine อีกด้วย

4. Technical SEO ปรับแต่งเว็บไซต์ให้รุ่ง Google ปลื้มทุกเม็ด

Technical SEO ทุกส่วนนี้สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ เพียงใช้ Google Search Console เนื่องจาก GSC จะแสดงผลในสิ่งที่ Google Bot นั้นเห็นจริงๆ ซึ่งปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Page speed, Mobile Friendly หรือ UX/UI และส่วนอื่นๆ ที่มีปัญหาอยู่นั้นจะแสดงผลใน Google Search Console ทั้งหมด ซึ่ง Technical SEO เป็นการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ทางเทคนิค โดยมีปัจจัยดังนี้

ปรับ Page Speed ให้เร็วแรงทันใจ

หากเว็บไซต์ใช้เวลาในการโหลดนานเกินไป Google ก็จะเห็นว่าไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน เพราะนอกจากผู้ใช้งานจะต้องการคำตอบที่ถูกต้องแล้ว ยังต้องการคำตอบที่รวดเร็วด้วย โดยสามารถเช็ก Page Speed ของเว็บไซต์ได้ง่ายๆ ที่ Page Speed Insight

ปรับให้เป็น Mobile Friendly ใช้ง่าย ถูกใจ User

ในปัจจุบัน ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือมีมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกปี หากจะทำเว็บไซต์จึงจำเป็นต้องคำนึงว่าหน้าตาของเว็บไซต์จะเป็นอย่างไรหากใช้งานจากโทรศัพท์มือถือ เพราะ Google เองก็ประเมินข้อนี้เหมือนกัน โดยสามารถเช็กว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมือถือไหมได้จากเว็บไซต์ Mobile-Friendly Test เลย!

ออกแบบ User Interface (UI) ให้น่าใช้

UI คือการออกแบบหน้าตาและระบบตอบโต้ให้น่าใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผล รูปแบบตัวอักษร แป้นพิมพ์ สัญลักษณ์ สี แสง เสียง หรือรูปภาพ เป็นต้น เมื่อเข้าไปในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันแล้วเห็นสีพื้นหลังและสีตัวอักษรที่จับคู่กันมาแล้วโดดเด่นสวยงาม หรือเมื่อพิมพ์สิ่งต่างๆ ก็อาจได้ยินเสียงต็อกแต็กจากแป้นพิมพ์ ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ถือว่าเป็น UI

เสริม User Experience (UX) ที่ดี

UX คือการออกแบบระบบให้ใช้งานง่าย สะดวก เพื่อให้ผู้ใช้งานมีความรู้สึกดีต่อผลิตภัณฑ์ เวลาที่คุณอยากค้นหาอะไรบางอย่าง คุณมักมองหาสัญลักษณ์ แว่นขยาย และช่องค้นหาที่มุมใดมุมหนึ่งของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน รายละเอียดนี้ถือว่าเป็น UX

5. ใช้ SEO Tools ไม่มีพลาดทุกการทำ SEO

แม้ว่าขั้นตอนวิธีทำ SEO จะดูมีรายละเอียดมากมาย แต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องหาทางทำเองคนเดียว เพราะปัจจุบันมีเครื่องมือ SEO ให้เลือกสรรมากมาย จะมีเครื่องมือยอดนิยมอะไรบ้าง ตามมาดูกัน!

Google Keyword Planner

Google Keyword Planner

การเลือกใช้ Keyword ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างคอนเทนต์ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณกำลังตอบสนองความต้องการของผู้ชมได้อย่างแท้จริง เครื่องมือวางแผน Keyword มีให้เลือกใช้หลากหลาย โดย Google Keyword Planner เป็นตัวเลือกฟรีที่นิยมใช้ แต่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นบัญชีที่ใช้งาน Google Ads อยู่แล้ว หากไม่ได้ใช้ Google Ads คุณสามารถใช้ Ubersuggest เพื่อตรวจสอบ Keyword เบื้องต้นได้เช่นกัน

Snippet Checker

Snippet Checker

Snippet Checker คือเครื่องมือจำลองที่จะแสดงผลลัพธ์การค้นหาของ Google ในแบบที่ผู้ใช้จะเห็นจริง ช่วยให้คุณตรวจสอบว่าข้อมูลในส่วน Meta Tag แสดงผลครบถ้วนและเป็น SEO Friendly หรือไม่ คุณสามารถใช้เครื่องมือ Snippet Checker จาก Minimice ได้ฟรีเพื่อปรับแต่ง Snippet ของคุณให้ดึงดูดสายตาและเพิ่มโอกาสในการคลิก

Seoquake

Seoquake

Seoquake เป็น Extension ฟรีบน Google ที่คอยอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยเฉพาะการแสดงตัวชี้วัดของ SEO ไม่ว่าจะเป็น On-page หรือ Off-page ในแต่ละหน้าเว็บ ที่เรานิยมใช้จะเป็นการดู Meta Tag ที่ปรับแต่งแล้ว การดูโครงสร้างหน้าเว็บคร่าวๆ ตลอดจนการดูอันดับ (Ranking) บนหน้าผลการค้นหา

Google Search Console

Google Search Console

Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google สำหรับใช้ในการตรวจสอบประสิทธิภาพ และแก้ไขข้อบกพร่องเว็บไซต์ ทั้งยังนิยมใช้ในการดูจำนวนคลิก (Click) การมองเห็น (Impression) และคำค้นหาที่มี Traffic เข้ามาจริง (Queries) เป็นต้น ซึ่งจำเป็นจะต้องเป็นเจ้าของเว็บไซต์นั้นๆ หรือมี Permission ในการเข้าถึงเท่านั้นจึงจะสามารถตรวจสอบข้อมูลหรือแก้ไขเพิ่มเติมเองได้

Semrush

Semrush

Semrush เป็นแพล็ตฟอร์มวิเคราะห์ค้นคว้า Keywords ข้อมูลการจัดอันดับ และตัวชี้วัดต่างๆ เช่น ปริมาณการค้นหาคำ (Search Volume) โดยบางเครื่องมือสามารถใช้งานได้ฟรี หรือคุณสามารถเลือกสมัครสมาชิกได้ในราคา Pro – $119.95 (≈ 4,116 THB) Guru – $229.95 (≈ 7,896 THB) และ Business – $449.95(≈ 15,451 THB) ต่อเดือน

Ahref

Ahref

Ahref เป็นโปรแกรมวิเคราะห์รายงานผล SEO เชิงลึก ที่มีเครื่องมือต่างๆ สำหรับวิธีทำ SEO มากมาย เช่น การตรวจสอบประสิทธิภาพเว็บไซต์ ค้นคว้า Keywords และตรวจสอบ Backlink เบื้องต้น ซึ่งบางเครื่องมือสามารถใช้งานได้ฟรี หรือสมัครสมาชิกได้ในราคา Lite $99 (≈ 3,399 THB) Standard $199 (≈ 6,831 THB) Advance $399 (≈ 13,696 THB) และ Enterprise $999 (≈34,293 THB) ต่อเดือน

Moz

Moz

Moz เป็นเครื่องมือทำการตลาด ค้นหา Keywords ติดตามประสิทธิภาพละจัดการการสร้างลิงก์ และ Backlink หรือ Spam score เป็นต้น สามารถใช้งานบางเครื่องมือได้ฟรี หรือสมัครสมาชิกได้ในราคา Standard $99 (≈ 3,399 THB) Medium $179 (≈ 6,144 THB) Large $299 (≈ 10,264 THB) และ Premium $599 (≈ 20,563 THB) ต่อเดือน

ตัวชี้วัดความสำเร็จของการทำ SEO

เมื่อทำ SEO มาได้สักระยะแล้ว ก็ถึงเวลาสำรวจว่าได้ผลไหม โดยสามารถดูได้จากตัวชี้วัดความสำเร็จหลักๆ ได้แก่ Ranking, Traffic, Backlink และ Conversion เพื่อให้การทำ SEO ของคุณไม่หลงทาง!

Ranking

อันดับของเว็บไซต์ก็เปรียบเหมือนเกรดจาก Google ถ้าหากคอนเทนต์ของคุณมีคุณภาพ เลือกใช้ Keywords ได้เหมาะสม และโครงสร้างเว็บไซต์มีความสมบูรณ์ก็ควรติดอยู่ใน 1 – 9 อันดับแรก และได้ผู้เข้าชม (Traffic) จำนวนมากตามมาเป็นรางวัล

วิธีการเช็กอันดับง่ายๆ สามารถทำได้โดยการนำ Focus Keyword ของคุณไปค้นหาบนหน้า Google และนับลงมาได้เลยว่าเว็บไซต์ของอยู่ลำดับที่เท่าไร (แต่อย่าลืมเคลียร์แคชหรือเปิดโหมดไม่ระบุตัวตน)

หรือถ้าอยากให้แม่นยำขึ้นมาอีกหน่อยก็สามารถใช้ SEO Tools อย่าง SEO Quake หรือ SerpStat ช่วยอีกแรงก็ได้

Traffic

Traffic คือจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าเนื้อหาหรือตัวแบรนด์เองมีความน่าสนใจ น่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหนสำหรับผู้ใช้งาน สามารถดึงดูดให้ User คลิกเข้ามาอ่านได้หรือไม่ ซึ่งโดยส่วนมาก หากเว็บไซต์ของคุณติดเป็นอันดับแรกๆ บนหน้าค้นหา หรืออย่างน้อยติดอยู่ในหน้าแรก ก็จะมีโอกาสทำ Traffic ได้มากตามไปด้วย

“หากหน้าเว็บของคุณติดอันดับที่ 1 บน Google จะมี Traffic เข้ามาหน้านั้นๆ กว่า 30% เลยทีเดียว!”

Backlink

แน่นอนว่าคุณเองก็ต้องทำ Backlink ซึ่งก็คือ Off Page SEO ส่วนหนึ่งเพิ่มเติมด้วย แต่จะดีแค่ไหนถ้าพบว่าเว็บไซต์อื่นๆ ก็กำลังอ้างอิงถึงเว็บไซต์เราอยู่เหมือนกัน! จำนวน Backlink ที่อ้างอิงกลับมายังเว็บไซต์ของคุณเป็นการชี้ว่ามีคนรู้จักแบรนด์ของคุณ (ฺBrand Awareness) และกำลังพูดถึงหรือตอบโต้กับแบรนด์ของคุณ (Brand Engagement) มากแค่ไหน

Conversion

Conversion คือลูกค้าได้ทำในสิ่งที่คุณต้องการโน้มน้าวให้ทำหรือไม่ เช่น สมัครสมาชิก กรอกฟอร์มขอคำปรึกษา ซื้อสินค้า ข้อนี้ถือเป็นการวัดความสำเร็จระยะยาว และทำให้เกิดการเรียนรู้ว่าประสบการณ์ของผู้บริโภคตั้งแต่เริ่มรู้จักแบรนด์ไปจนถึงการตัดสินใจซื้อสินค้า (Customer Journey) เป็นอย่างไร ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถนำไปปรับเพื่อส่งโฆษณาติดตามลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Remarketing) ต่อได้

ประโยชน์ของ SEO ที่เหนือกว่าการติดอันดับ!

ช่องทางการทำการตลาดดิจิทัลที่มีมากมาย เช่น การทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย โฆษณาออนไลน์ อินฟลูเอนเซอร์ การทำไวรัลมาร์เก็ตติ้ง (Viral Marketing) หรือ SEM เป็นต้น แล้วทำไมต้องทำ SEO? มาดูคำตอบกันเลย

1. ยกระดับ Brand ให้ค้นเจออยู่เสมอ

เมื่อคุณได้เป็นตัวเลือกแรกของ Google คนย่อมเห็นคุณมากขึ้น การรับรู้ตัวแบรนด์ (Brand Perception) จะตามมาทันที นอกจากนี้ คอนเทนต์ SEO ยังสร้างภาพลักษณ์ว่าแบรนด์มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หากคอนเทนต์ที่ทำขึ้นมาสามารถแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ ลูกค้าจะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์ จดจำแบรนด์ได้ จนอาจมัดใจลูกค้า หรือเรียกว่าทำให้ลูกค้ามี Brand Loyalty ได้ในที่สุด

“SEO จึงไม่ใช่เพียงการโฆษณา แต่เป็นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ (Brand Building) ไปด้วยในตัว”


ยิ่งคุณทำธุรกิจท้องถิ่นเป็นแบรนด์เล็กๆ การทำ SEO สำหรับธุรกิจท้องถิ่นโดยเฉพาะที่เรียกว่า Local SEO จะทำให้คุณสามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกแรกๆ ในย่านของคุณได้

2. กระจายเข้าสู่ทุกการค้นหา ช่วยสร้างยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ

SEO มีค่าเฉลี่ยของยอดขายสินค้าจริงเทียบกับยอดคลิกเข้าชม (Conversion Rate) สูงกว่าการตลาดอื่นๆ หรือแปลว่า ลูกค้าเข้ามาแล้วซื้อของจริงๆ มากกว่าคลิกเข้ามาดู แล้วคลิกออก เพราะอะไร? ไปดู

  • คนที่เข้ามาอ่านคอนเทนต์เป็นกลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว เช่น คนที่จะมาเจอคอนเทนต์การเลือกกีตาร์สำหรับมือใหม่ในเว็บไซต์แบรนด์กีตาร์ของคุณ ก็คือคนที่กำลังค้นหาวิธีการเลือกกีตาร์สำหรับมือใหม่ แปลว่าคุณกำลังได้โอกาสในการเสนอขายกีตาร์ให้กับคนที่สนใจเล่นกีตาร์นั่นเอง
  • SEO ต้องใช้การออกแบบเว็บไซต์ที่เป็นระบบ ทำให้เว็บไซต์เป็นมิตรกับผู้ใช้งานไปด้วย เรียกว่าเป็นการสร้างเส้นทางประสบการณ์ผู้บริโภค (Customer Journey) ที่ดีโดยอัตโนมัติ จึงพาผู้ใช้งานไปสู่การตัดสินใจซื้อได้อย่างลื่นไหล

3. การติดอันดับไม่เสียค่าคลิก ทำถูกวิธียิ่งติดอันดับอย่างยั่งยืน

การทำ SEO มีอีกหนึ่งข้อดีที่แตกต่างกับการทำการตลาดออนไลน์รูปแบบอื่นๆ คือเมื่อเว็บไซต์หรือเว็บเพจของเราติดอันดับบน Google ได้เยอะ ก็สามารถลดราคาต่อคลิก (CPA) ของโฆษณาในช่องทางอื่นๆ ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, IG หรือ Social Media ลงได้ด้วย เนื่องจากเกิด Brand Awareness มาจากการทำ SEO อยู่แล้วนั่นเอง

สรุป

จบไปแล้วสำหรับเบื้องต้นของ SEO! แต่ในขณะที่โลกดิจิทัลเปลี่ยนแปลงรวดเร็วตลอดเวลา Google เองก็ปล่อยอัลกอริทึมใหม่ๆ ออกมาปรับปรุงระบบการค้นหาให้มีประโยชน์มากขึ้นเช่นกัน หน้าที่ของเราคือพยายามเอาใจ Google ให้มากที่สุด โดยการปรับปรุงเว็บไซต์และบทความอยู่ตลอดเวลานั่นเอง หากคุณอยากเริ่มการตลาดแบบ SEO ตอนนี้ก็ถือว่ายังไม่สายเกินไป เพราะยังมีโอกาสที่เว็บไซต์ของธุรกิจคุณจะสามารถเฉิดฉายอยู่บนหน้าแรกของ Google ได้

ดังนั้น อย่ารอช้า! ทีมมืออาชีพของเราพร้อมที่จะช่วยคุณเริ่มต้นลงมือทำ SEO เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีต่อธุรกิจ และช่วยคุณวิ่งไล่ตามให้ทัน Google มาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้เลยทันที ไม่มีค่าใช้จ่าย!

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

จ้าง SEO Agency คุ้มกว่า in-house ไหม?

การจ้าง SEO Agency จะทำให้สามารถลดรายจ่ายกับการทำ SEO ได้มาก เนื่องจาก Agency นั้นรวบรวมทีมมืออาชีพมาแล้ว และ Google ก็มักมีการปรับตัวอยู่เสมอ ทำให้กฎในการทำ SEO สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว การทำ SEO in-house ต้องเสียค่าใช้จ่ายยิบย่อยอะไรบ้าง?

  • ค่าใช้จ่าย SEO Specialist in-house นั้นสูง
  • ค่าใช้จ่ายในการเขียนบทความ
  • ค่าใช้จ่ายในการซื้อ Backlink
  • ค่าใช้จ่ายในการปรับเว็บไซต์ให้ตรง

ถ้าสินค้า Niche มากๆ ทำ SEO ได้ไหม?

หากสินค้าคุณเป็นสินค้าที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ยิ่งต้องทำ SEO อย่างมาก เนื่องจากการค้นหา Keyword อาจจะไม่เยอะ แต่ทุกการค้นหาที่เข้ามาในเป็นการค้นหาที่มีคุณภาพมากๆ ทำให้คุณสามารถเพิ่มยอดขายได้ง่าย และเป็นที่รู้จักในวงการได้รวดเร็ว

เว็บไซต์ทั่วไปทำบทความที่มีเนื้อหา YMYL ได้ไหม?

สามารถทำได้ โดยควรเน้นทำบทความที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานจริงที่อยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย ถูกต้องและน่าเชื่อถือ ทั้งนี้ การจัดอันดับของ Google จะพิจารณาจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือสูงสุด หรือกลุ่มเว็บไซต์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านขึ้นมาก่อน เช่น เว็บไซต์ของโรงพยาบาล เว็บไซต์ของสถาบันทางการเงิน ดังนั้น การที่ต้องการแข่งขันในกลุ่มคอนเทนต์เหล่านี้จึงอาศัยเวลาและข้อมูลจำนวนมากที่เหมาะสมและดีที่สุด

ให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบก้าวกระโดดไปกับทีมการตลาดมืออาชีพ
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง
รับการตอบกลับภายใน 2 ชั่วโมง